สวัสดีค่ะ เรากำลังจะไปเป็นออแพร์ที่อเมริกา ดูแลเด็กผญ. 1 คน อายุ 2 ขวบ ที่รัฐ Massachusetts เมือง Lexington เดินทาง 14/07/2025 อยากมาแชร์ประสบการณ์เก็บชั่วโมงเลี้ยง ฉบับคนทำงานประจำไม่เกี่ยวกับเด็ก (จ-ศ) และเตรียมตัวสำหรับสัมภาษณ์วีซ่าเมกาสำหรับคนที่หลังจบโครงการแล้วไม่ได้อยากทำงานเกี่ยวกับเด็ก
เราเชื่อว่าหลายๆคนเองก็กังวล กลัววีซ่าจะไม่ผ่าน อ่านรีวิวสัมภาษณ์วีซ่ามาก็เยอะ แล้วคนที่ผ่านก็มีแต่คนที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กมาตลอด และหลังจบโครงการทุกคนก็มีแผนเหมือนๆกันหมด นั้นก็คือจะกลับมาทำงานเกี่ยวกับเด็ก ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในคนที่กังวลเรื่องนี้สุดๆเหมือนกัน เพราะเราเองก็อยากจะแตกต่างอและจุดประสงค์ของการเข้าร่วมโครงการนี้คือ อยากไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ใช้ชีวิตที่อเมริกา ฝึกภาษาอังกฤษ อยากพูดให้เหมือนเจ้าของภาษา และอยากถือโอกาสไปท่องเที่ยวที่นู้นด้วย
เราอยากให้กำลังใจสำหรับคนที่กำลังเตรียมตัวที่จะไปเป็นออแพร์ที่อเมริกาและกำลังจะมีสัมภาษณ์วีซ่าในเร็วๆนี้นะคะ กระทู้นี้ขอออกตัวก่อนว่ามันคือประสบการณ์ของเราโดยตรง เป็นมุมมอง ความคิดเห็นส่วนตัวเราที่อยากจะแชร์ เผื่อเป็นประโยชน์กับใครสักคน สามารถใช้ประสบการณ์ของเราเป็นแรงบันดาลใจได้เลยค่ะ
ประวัติส่วนตัว
- ปัจจุบันทำงาน office administrator and accounting ให้กับบริษัทญี่ปุ่น 11 เดือน
- จบเอกอิ้ง มก
- เราอายุ 24 ปี จะ 25 ปีเต็ม เดือนมิ.ย ปีนี้
- ประสบการณ์การทำงานในอดีต: office administrator 1 ปี 2 เดือน บริษัทต่างชาติ งานเเรกที่ทำหลังจากเรียนจบ
ประสบการเลี้ยงเด็ก:
1. เลี้ยงหลานแฝด แบบไม่ทางการ occasionally (Apr 2022 - Jan 2023 )
2. TA แบบ Volunteer ตอนอยู่มหาลัย 4 เดือน ปี 2022 แบบไม่ทางการ
3. เก็บชั่วโมงสอนเด็กแบบทางการ เป็น English Teaching Assistant แค่เสาร์-อาทิตย์ เราทำงาน 7วันต่อสัปดาห์ติดต่อกันนาน 8 เดือน ไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ ขั้นตอนนี้ใช้เวลานานสุด เหนื่อยมากก แต่ไม่ท้อค่ะ เพราะเริ่มมาเกินครึ่งทางแล้วตอนนั้น เด็กๆที่รร ก็น่ารัก เลยมีกำลังใจทำต่อจนเก็บครบเกิน 500+ ชั่วโมง เก็บเสร็จเมื่อเดือน ม.ค ปี 2025
ช่วงหาโฮสต์ออนไลน์โปรไฟล์: เราแมชกับโฮสต์ ภายใน 2 อาทิตย์ มีคนเข้ามาดูโปรไฟล์ 3 บ้าน เราชอบบ้าน ที่ 2 สุดเพราะโฮสต์พ่อและแม่น่ารัก + กันเองสุดๆ แล้วน้องที่จะไปดูแลก็น่ารัก ขี้อ้อนเก่งด้วย บ้านนี้พูดไทยกันได้นิดหน่อย น่ารักมากเอ็นดูสุดๆ เพราะปัจจุบันบ้านนี้มีออแพร์ที่เป็นคนไทยดูแลน้องตั้งแต่ 3 เดือน จนน้อง 2 ขวบ แต่พี่เขาจะหมดสัญญาตอนเราไปที่นู้นพอดี โชคดีที่โฮสต์อยากให้เราไปเรียนรู้งานกับพี่เขาก่อน 1 อาทิตย์ก่อนพี่เขากลับไทย
**ปล.พี่เขาน่ารัก และใจดีมาก แชร์ประสบการณ์ให้เราฟังแบบไม่กักเลย โชคดีสุดๆ
สิ่งที่เรากังวลสุดๆคงจะเป็นเรื่องขอวีซ่า J1 ออแพร์
เรากรอก DS-160 เสร็จ ปลายเดือนก.พ ก่อนกดส่งก็ให้พี่เอเจนซี่เช็คให้ + จองคิวสัมภาษณ์วีซ่า 4 เมษา 2025 เวลา 7.30 น. สัมจริง 8.35 คนรอคิวเยอะมากกกกก ขั้นตอนนี้เตรียมตัวอย่างน้อย 2 อาทิตย์สำหรับฝึกท่องจำคำตอบและใช้ภาษาอังกฤษให้คุ้นปาก + ทำให้ตัวเองไม่ตื่นเต้นจนเกินไปด้วย (ซ้อมหน้ากระจกวนไปค่ะ ยิ้มเข้าไว้) // สำหรับใครที่ไปสัมและขอวีซ่าอเมริกาครั้งแรกเหมือนเรา บรรยากาศข้างใน จะแบ่งเป็นช่องๆมีกระจกคั่น (เหมือนขายตั๋วบีทีเอสเลยค่ะ) แบ่งเป็น 1. ตรวจสอบเอกสารกับเจ้าหน้าที่ไทย (ต้องตรวจเช็คตรงนี้+พิมพ์ลายนิ้วมือก่อน) และ 2. สัมภาษณ์กับท่านทูตต่างชาติ (คนจะต่อเเถวเยอะมาก รวมกันอยู่ตรงนี้ คิวก่อนหน้าเราตอบอะไร ผ่านไม่ผ่าน ทุกคนได้รับทราบพร้อมกันเลยค่ะ เพราะเป็นเเบบเปิด ตรงนี้แนะนำไม่ต้องไปสนใจอะไรทั้งสิ้น หันหน้าหนี ไม่ต้องไปจดจ่อ ตอนคนอื่นกำลังสัมภาษณ์อยู่ มันรบกวนสมาธิเราค่ะ เราเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น...ไม่เอา..ไม่รับรู้...)//
เราได้สัมช่อง 6 (เปิด 3 ช่อง 6, 8, 9) กับท่านทูตผู้หญิงแขก (ขอไม่ลงรายละเอียด) เหตุการณ์จริงตอนสัมประมาณนี้ค่ะ
เรา: Hello, Good morning (ยื่นพาสปอร์ต)
ท่านทูต: How old are you?
เรา: 24 years old, and I will turn 25 on June, 21st this year
ท่านทูต: Why do you want to join this program?
เรา: I want to be an au pair because…(ตะกุกตะกัก เพราะตื่นเต้นไปเลยลืมที่จะพูด)….I want to learn about new culture, take care of children and improve my English skills while living in America. This program aligns with my career goal of working as an Executive Assistant for a leading international company like....(company name). I plan to significantly improve my English skills by taking advanced and business English courses at...(collage/university name)....in Boston and practice daily with my host family. This program will help me achieve this career goal. It will develop my independence, adaptability and cross cultural understandings. (เราพูดรวดเดียวจบ เพราะเครื่องกำลังติด และท่านก็ตั้งใจฟังมาก)
ท่านทูต: what was your major?
เรา: English major from Kasetsart University
ท่านทูต: English? and what you will be again?
เรา: Executive Assistant for the international company like (company name) (เราเน้นพูดประโยคนี้บ่อยมากๆ)
ท่านทูต: Do you have any children experiences?
เรา: Yes, I have childcare experiences. I took care of my twin nieces from April 2022 to January 2023, preparing meals, changing diapers and helping with naptime. Next during my time at university, I volunteered as TA for 4 months at …………………… I helped foreign teachers in English class for children aged 10-12 years. I helped them practice speaking English, learn basic grammar, and participate in cultural activities....กำลังจะเล่าต่อ…เเต่ท่านทูตเปลี่ยนคำถามใหม่
ท่านทูต: so what is your plan after the program? you will apply for the job or..?
เรา: Yes, after completing the au pair program for one year, I plan to return to Thailand and take the IELTS exam to reflex my improve English skills to pursue my career goal of working as an Executive Assistant for a leading international company like (company name) in Thailand branch. This program will help me achieve this goal. (จริงๆเตรียมมาเยอะมาก พูดสลับกันไปหมด)
ท่านทูต: ….พิมพ์….. เซ็นตัว DS-2019 ....ok your visa is approved now, did you have this ..เเล้วโชว์ตัวใบสิทธิ...แล้วคืนตัว DS-2019ให้
เรา: Thank you so much. Have a good day สัมเสร็จเร้วมากไม่ถึง 10 นาที
ปล.เราเตรียมเอกสารมา แต่ไม่ได้ยื่นให้ท่านดูเลยสักอย่างค่ะ ยกเว้น passport, ds-2019, sevis receipt
สายมูมามุงทางนี้ เราหาที่พึ่งทางใจโดยไปขอพรที่ (เน้นขอพรเอาจริงๆ ไม่ได้ไปบนสักที)
1.พระแม่ลักษมี ตึกเกษร
2.พระแม่ลักษมี วัดแขก
3.ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง
4.ขอพรจากพ่อแม่
พอวีซ่าผ่านแล้ว วันเดียวกันเรานั่งวินไปไหว้บอกข่าวดี และขออวยพรให้ชีวิตที่เมกาเราราบรื่นไปด้วยดี
ปล. ที่เรามู เพราะเรามั่นใจว่าเราจะตอบคำถามท่านทูตได้แน่นอน แบบว่าจำคำตอบทุกอย่างได้แล้ว ภาษาไม่ห่วง แต่จิตใจมันไม่มั่นคง เพราะทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับท่านทูต เสี่ยววิเดียว เขาก็สามารถตัดสินไม่ให้วีซ่าเราได้ เราเลยไปขอพรให้ดวงชะตาเราเปิด ให้ได้เป็นผู้ถูกเลือก ให้ใจสงบด้วยค่ะ (เรากินเจ งดกินเนื้อสัตว์ใหญ่ด้วย เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ)
ทริคสำหรับการเตรียมตอบคำถามวีซ่า ฉบับคนไม่ได้อยากกลับมาทำงานเกี่ยวกับเด็กหลังจบโครงการ อย่างครูสอนภาษาอังกฤษ หรือเปิดสถาบันเกี่ยวกับเด็ก (ในมุมมองเรานะคะ)
เราเน้นเตรียมคำตอบที่เว่อร์ (ที่เป็นจริง) ตำแหน่งงานสูงๆที่มันเกี่ยวข้องกับงานประจำที่เคยทำอยู่ หรือ เกี่ยวประสบการณ์การทำงาน เลือกทำให้กับบริษัทข้ามชาติที่ดังระดับโลก แต่มีสาขาที่ไทย แบบที่คนรู้จักกันเยอะๆ มันจะได้ดูเหมือนว่าโครงการนี้จะเป็นตัวหลักสำคัญในการพัฒนาภาษา ส่งเสริมให้เราได้เพิ่มพูนความรู้ใหม่จากคอร์สเรียนที่ได้รับมาตรฐานสากลที่อเมริกา หรือพัฒนาพวก hard skills/soft skills ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานเรา แต่อย่าลืมเน้นว่าเราไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม กับ โฮสต์ หรือ เพื่อนต่างชาติ ใดๆ (เราใส่ cross-cultural understanding หรือใครอยากจะใส่เป็น cross-cultural communication skills ก็ได้ แล้วเเต่ภาษาของแต่ละคน) เหนือสิ่งอื่นใด ท่านทูตไม่ได้เช็คเรื่องภาษาเรา พูดผิดไม่ถูกแกรมม่า ออกเสียงไม่ถูก ไม่ต้องสนใจ เลือกใช้คำที่เราคุ้นเคย ตามสไตล์เราได้เลย ขอแค่มันเป็นโยคที่คนเข้าใจได้ สื่อความหมายให้คนฟังได้ ไม่จำเป็นต้องใช้คำศัพท์ยาก สวยหรูอะไรมากมาย มั่นใจเข้าไว้ว่าตัวเองทำได้ ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ
**เราท่องจำ+เตรียมตัว เกิน 2 อาทิตย์นะคะ เราท่องจนชินปาก ท่องหน้ากระจก สบตากับตัวเองและยิ้มเข้าไว้ค่ะ เราบอกกับตัวเองตลอดว่า "ทำได้"
**แนะนำให้ปริ้น+ตัดคำถามที่คิดว่าน่าจะโดนถาม แล้วสุ่มจับเหมือนฉลากดู จะช่วยให้เราไม่ตื่นเต้นเวลาโดนยิ่งคำถาม
**ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ มั่นใจเเละยิ้มแย้มเข้าไว้
แชร์ประสบการณ์เตรียมตัวเป็นออแพร์ที่อเมริกา ฉบับคนทำงานประจำที่ไม่เกี่ยวกับเด็ก (เก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็กเพิ่มเอา) ปี 2025
เราเชื่อว่าหลายๆคนเองก็กังวล กลัววีซ่าจะไม่ผ่าน อ่านรีวิวสัมภาษณ์วีซ่ามาก็เยอะ แล้วคนที่ผ่านก็มีแต่คนที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กมาตลอด และหลังจบโครงการทุกคนก็มีแผนเหมือนๆกันหมด นั้นก็คือจะกลับมาทำงานเกี่ยวกับเด็ก ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในคนที่กังวลเรื่องนี้สุดๆเหมือนกัน เพราะเราเองก็อยากจะแตกต่างอและจุดประสงค์ของการเข้าร่วมโครงการนี้คือ อยากไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ใช้ชีวิตที่อเมริกา ฝึกภาษาอังกฤษ อยากพูดให้เหมือนเจ้าของภาษา และอยากถือโอกาสไปท่องเที่ยวที่นู้นด้วย
เราอยากให้กำลังใจสำหรับคนที่กำลังเตรียมตัวที่จะไปเป็นออแพร์ที่อเมริกาและกำลังจะมีสัมภาษณ์วีซ่าในเร็วๆนี้นะคะ กระทู้นี้ขอออกตัวก่อนว่ามันคือประสบการณ์ของเราโดยตรง เป็นมุมมอง ความคิดเห็นส่วนตัวเราที่อยากจะแชร์ เผื่อเป็นประโยชน์กับใครสักคน สามารถใช้ประสบการณ์ของเราเป็นแรงบันดาลใจได้เลยค่ะ
ประวัติส่วนตัว
- ปัจจุบันทำงาน office administrator and accounting ให้กับบริษัทญี่ปุ่น 11 เดือน
- จบเอกอิ้ง มก
- เราอายุ 24 ปี จะ 25 ปีเต็ม เดือนมิ.ย ปีนี้
- ประสบการณ์การทำงานในอดีต: office administrator 1 ปี 2 เดือน บริษัทต่างชาติ งานเเรกที่ทำหลังจากเรียนจบ
ประสบการเลี้ยงเด็ก:
1. เลี้ยงหลานแฝด แบบไม่ทางการ occasionally (Apr 2022 - Jan 2023 )
2. TA แบบ Volunteer ตอนอยู่มหาลัย 4 เดือน ปี 2022 แบบไม่ทางการ
3. เก็บชั่วโมงสอนเด็กแบบทางการ เป็น English Teaching Assistant แค่เสาร์-อาทิตย์ เราทำงาน 7วันต่อสัปดาห์ติดต่อกันนาน 8 เดือน ไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ ขั้นตอนนี้ใช้เวลานานสุด เหนื่อยมากก แต่ไม่ท้อค่ะ เพราะเริ่มมาเกินครึ่งทางแล้วตอนนั้น เด็กๆที่รร ก็น่ารัก เลยมีกำลังใจทำต่อจนเก็บครบเกิน 500+ ชั่วโมง เก็บเสร็จเมื่อเดือน ม.ค ปี 2025
ช่วงหาโฮสต์ออนไลน์โปรไฟล์: เราแมชกับโฮสต์ ภายใน 2 อาทิตย์ มีคนเข้ามาดูโปรไฟล์ 3 บ้าน เราชอบบ้าน ที่ 2 สุดเพราะโฮสต์พ่อและแม่น่ารัก + กันเองสุดๆ แล้วน้องที่จะไปดูแลก็น่ารัก ขี้อ้อนเก่งด้วย บ้านนี้พูดไทยกันได้นิดหน่อย น่ารักมากเอ็นดูสุดๆ เพราะปัจจุบันบ้านนี้มีออแพร์ที่เป็นคนไทยดูแลน้องตั้งแต่ 3 เดือน จนน้อง 2 ขวบ แต่พี่เขาจะหมดสัญญาตอนเราไปที่นู้นพอดี โชคดีที่โฮสต์อยากให้เราไปเรียนรู้งานกับพี่เขาก่อน 1 อาทิตย์ก่อนพี่เขากลับไทย
**ปล.พี่เขาน่ารัก และใจดีมาก แชร์ประสบการณ์ให้เราฟังแบบไม่กักเลย โชคดีสุดๆ
สิ่งที่เรากังวลสุดๆคงจะเป็นเรื่องขอวีซ่า J1 ออแพร์
เรากรอก DS-160 เสร็จ ปลายเดือนก.พ ก่อนกดส่งก็ให้พี่เอเจนซี่เช็คให้ + จองคิวสัมภาษณ์วีซ่า 4 เมษา 2025 เวลา 7.30 น. สัมจริง 8.35 คนรอคิวเยอะมากกกกก ขั้นตอนนี้เตรียมตัวอย่างน้อย 2 อาทิตย์สำหรับฝึกท่องจำคำตอบและใช้ภาษาอังกฤษให้คุ้นปาก + ทำให้ตัวเองไม่ตื่นเต้นจนเกินไปด้วย (ซ้อมหน้ากระจกวนไปค่ะ ยิ้มเข้าไว้) // สำหรับใครที่ไปสัมและขอวีซ่าอเมริกาครั้งแรกเหมือนเรา บรรยากาศข้างใน จะแบ่งเป็นช่องๆมีกระจกคั่น (เหมือนขายตั๋วบีทีเอสเลยค่ะ) แบ่งเป็น 1. ตรวจสอบเอกสารกับเจ้าหน้าที่ไทย (ต้องตรวจเช็คตรงนี้+พิมพ์ลายนิ้วมือก่อน) และ 2. สัมภาษณ์กับท่านทูตต่างชาติ (คนจะต่อเเถวเยอะมาก รวมกันอยู่ตรงนี้ คิวก่อนหน้าเราตอบอะไร ผ่านไม่ผ่าน ทุกคนได้รับทราบพร้อมกันเลยค่ะ เพราะเป็นเเบบเปิด ตรงนี้แนะนำไม่ต้องไปสนใจอะไรทั้งสิ้น หันหน้าหนี ไม่ต้องไปจดจ่อ ตอนคนอื่นกำลังสัมภาษณ์อยู่ มันรบกวนสมาธิเราค่ะ เราเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น...ไม่เอา..ไม่รับรู้...)//