คบแฟนมานาน พอจะแต่งงานกลับลังเล จัดการความรู้สึกยังไงดีครับ

มีใครมีประสบการณ์คบกับแฟนเป็นสิบปี พอถึงเวลาจะแต่งงานกลับรู้สึกว่า เราน่าจะไปกันไม่รอด บ้างครับ? อยากรู้ว่าจัดการความรู้สึกยังไง สุดท้ายแล้วลงเอยยังไง

สำหรับผมเราคบกันตั้งแต่จบใหม่ๆ เหมือนเติบโตมาด้วยกัน เขาเป็นคนที่น่าจะรู้จักเราดีที่สุดในชีวิตมากกว่าพ่อแม่ไปแล้ว แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เหมือนเขาไม่มีความเกรงใจเราแล้ว พูดอะไรไม่เชื่อไม่ฟัง ผมไม่ได้จะสั่งอะไรเขานะ ยกตัวอย่างเช่น เขาเป็นคนบ้างานมาก ผมขอแค่ตอนขับรถอย่ารับโทรศัพท์ ขอให้จอดข้างทางก่อน เขาทำให้ไม่ได้ เพราะโทรศัพท์งานเข้าแทบตลอดเวลา เราทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อยมาก สุดท้ายกลายเป็นเพราะผมขับรถไม่เป็นไงเขาเลยต้องขับเอง (ทั้งที่ผมแค่ติดรถไปธุระเขา ปกติผมขี่มอไซค์) หรือเรื่องสุขภาพ เวลาป่วยผมจะไปหาหมอใช้สิทธิ์ประกันสังคม เวลาเขาป่วยจะเข้าร้านขายยา เขาไม่เคยตรวจสุขภาพ ชวนก็ไม่ไป ไม่แม้แต่จะบอกน้ำหนักด้วยซ้ำ (มีที่ชั่งในคอนโด) เข้าใจว่าเป็นเรื่องเซ้นสิทีฟสำหรับเขา แต่เราเป็นห่วงไง ก็บังคับกันไม่ได้สุดท้ายก็ไม่รู้ ช่วงนี้ผมต้องลดน้ำหนักเพราะปัญหาสุขภาพก็ชวนเขาด้วย เขาก็ไม่ไปอ้างว่าแค่งานก็เหนื่อยมากแล้ว

ล่าสุดทะเลาะกันตอนขับรถอีกแล้ว เขาใช้โทรศัพท์อยู่ มีมอเตอร์ไซค์ข้างหน้าเปลี่ยนเลนกระทันหัน เอาเป็นว่าไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ไม่มีการเฉี่ยวชน แต่วิธีจัดการกับสถานการณ์ตอนนั้นมันแย่มาก เขาบีบแตรยาวเหมือนระบายอารมณ์ กับสายในโทรศัพท์ก็ตะโกน พี่ขับรถอยู่! พี่ขับรถอยู่! ก่อนจะตัดสายไป แล้วก็ขับรถต่อ อารมณ์รุนแรงจนผมก็กลัวไปด้วย พอใจเราสงบลงแล้วก็พูดเรื่องการควบคุมอารมณ์ขึ้นมา เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อยู่ๆ เขาก็หงุดหงิดอารมณ์รุนแรง ก็อ้างประจำเดือนบ้าง อ้างโมโหหิวบ้าง พอบอกว่าเรา(ทั้งคู่)ควรไปหาหมอกันนะ ก็ทะเลาะกันอีก บอกว่าเราเอาแต่ตำหนิเขาทุกเรื่อง เราหาว่าเขาบ้าไปอีก 

ผมรู้นะว่าเพื่อจะประคองความสัมพันธ์ให้มันยั่งยืนเราไม่ควรเก็บคำพูดตอนทะเลาะเอามาคิด แต่ผมรู้สึกเหมือนจะไม่ไหวอ่ะ ยิ่งเราคุยกันว่าด้วยอายุเราทั้งคู่ คิดว่าในปีนี้เราจะจดทะเบียนกัน มันทำให้ผมคิดอะไรๆ มากขึ้น มันทำให้ผมชักไม่แน่ใจว่าเรายังจะมีกันตลอดไปได้หรือเปล่า ควรจัดการความรู้สึกตัวเองยังไงดีครับ

เรามีงานทำกันทั้งคู่ แฟนมีธุรกิจส่วนตัว ผมทำงานประจำ เรื่องเงินมีแชร์กันบ้างแต่แยกกระเป๋ากัน เขามีบ้าน(แม่) ผมมีคอนโด เอาตรงๆ ถ้าเลิกกันจริงๆ ต่างฝ่ายก็คงไม่ลำบาก แต่สภาพจิตใจนี่เดาไม่ถูกเลยครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ปัญหาปกติของชีวิตคู่คือการสื่อสารเลยค่ะ
เรื่องของคู่คุณเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คู่เคยเจอ เราก็เคย เข้าใจคุณเลยว่ามันหงุดหงิดยังไงเวลาเราปรารถนาดีแล้วอีกฝ่ายโวยวาย
แฟนคุณน่าจะทำนองรู้สึกว่า คุณจู้จี้ ทำอะไรก็ไม่พอใจ โดนว่าตลอด น่ารำคาญ
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ชีวิตคู่จะมีช่วงเวลาที่รู้สึกเชิงลบมากกว่าเชิงบวก ความสุขเล่าจะอยู่ที่ใด

ถ้าคุณเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์นี้ คือถ้ามองว่า เรื่องใหญ่ ๆ เช่น ความรัก ความผูกพัน ความซื่อสัตย์ ฯลฯ ไปกันได้
แต่มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร  อยากให้คุณลองหาหนังสือจิตวิทยาความรักหรือคู่มือข้างหมอนมาอ่าน แล้วหาเวลานั่งคุยกันจริงจังว่าต้องแก้ปัญหานี้ร่วมกันแล้วนะ ให้เวลากับการปรับปรุงตัว

ชีวิตคูุ่ถ้าจะให้มีความสุข

- ปล่อยวางเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย
- เรื่องส่วนรวมของครอบครัว ให้เคารพความเห็นของกันและกัน ตัดสินใจร่วมกัน
- อยากให้อีกฝ่ายทำอะไร หรือปรับปรุงอะไร ให้ขอความเห็น ใช้คำว่า "... ดีไหม" "ช่วย...น้าาา"   งดเว้นการสั่งหรือสอน งดเว้นการว่ากล่าวว่าใครผิดใครถูก  และงดเว้นการพูดออกมาขณะที่ไม่พอใจ เพราะนั่นจะเป็นการระบายอารมณ์ของเราเอง ไม่ใช่การส่งความปรารถนาดีให้อีกฝ่ายปรับปรุงตัว
-  เปิดใจฟังในข้อความที่อีกฝ่ายกำลังสื่อสาร ด้วยการทวนประโยคนั้นอีกครั้งหนึ่ง ว่า "เธออยากให้.... ใช่ไหม" เสียก่อน อีกฝ่ายจะได้รับทราบว่าเรารับข้อมูลนี้แล้ว

เรื่องสุขภาพ เรื่องวิธีการขับรถ จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เมื่อวันที่เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะเป็นเรื่องส่วนรวม เนื่องจากหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดประสบอุบัติเหตุหรือจากไปก่อน ภาระครอบครัวก็จะตกอยู่กับอีกฝ้าย
อยากให้ลองคุยกันอารมณ์ดีดูก่อนว่าเขายินดีจะปรับตัวไหม แต่อยากให้พูดเชิงบวก ทำนองว่า "เราเป็นห่วงเธอนะ ถ้าอยากจะสร้างครอบครัวด้วยกัน ก็อยากจะให้ปรับปรุงเรื่องนี้จริงจัง เพราะว่าเราอยากมีครอบครัวที่อยู่กับภรรยาไปจนแก่เฒ่า" แต่งดเว้นประโยคเชิงลบหรือว่ากล่าว เช่น "ทำไมไม่เชื่อฟัง" "จะแก้นิสัยแย่ ๆ นี้ัเมื่อไหร่"  แบบนี้ อีกฝ่ายจะมีปฏิกริยาตอบโต้ที่ต่างออกไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่