“ทิสโก้” เผย 6 สินทรัพย์น่าลงทุน หลัง “ทรัมป์” ขึ้นภาษีนำเข้าสูงสุดรอบ 100 ปี


นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า กรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากหลายประเทศเมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา นับเป็นมาตรการที่เข้มงวดที่สุดในรอบกว่า 100 ปี เพื่อปกป้องเศรษฐกิจและลดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้เกือบ 60 ประเทศเผชิญกับอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน ยกเว้นสินค้าบางประเภท เช่น พลังงาน เซมิคอนดักเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยา และทอง ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ถูกตอบโต้โดยตรงก็เผชิญอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย.นี้

จากอัตราภาษีศุลกากรที่ปรับเพิ่มขึ้นมากนี้ โดยเฉพาะ Reciprocal Tariffs ทาง TISCO ESU มองว่า จะส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยที่สหรัฐฯ จัดเก็บกับคู่ค้าปรับขึ้นราว 14 จุด (Percentage Point (ppt)) และหากรวมกับการตั้งภาษีนำเข้ายานยนต์ อัตราภาษีเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นราว 16 จุด ซึ่งก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เคยประเมินว่า ทุก 1 จุดที่อัตราภาษีเฉลี่ยปรับขึ้น จะกระทบการเติบโตของเศรษฐกิจราว -0.14 จุด ดังนั้น หากมีการปรับขึ้นอัตราภาษีตามที่ประกาศนี้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงชัดเจน และมีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession Risks) เพิ่มขึ้นมาก
ผลกระทบต่อตลาดเงิน การขึ้นภาษีดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Yield) ระยะ 10 ปี ปรับลดลงต่ำกว่า 4.1% ขณะเดียวกัน Fed Funds Futures มอง Fed จะลดดอกเบี้ยมากขึ้นเป็น -3.2 ครั้ง หรือลดลง 0.81% ในปีนี้ ขณะที่ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงหนัก โดย Dow Jones ลดลง 1.9%, S&P500 ลดลง 2.7%, และ Nasdaq ลดลงกว่า 3.3% ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงต่ำกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สะท้อนภาวะเสี่ยงสูง (Risk-off) เป็นวงกว้าง ขณะที่ราคาทองคำยังทรงตัวอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,150 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยออนซ์

“เรามองว่า Sentiment ลบในภาพรวมมีแนวโน้มดำเนินต่อไปจนกว่าจะเห็นแนวโน้มการเจรจาผ่อนผันข้อบังคับระหว่างประเทศมากขึ้น ด้าน Sector ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มองว่าเผชิญแรงกดดันหนักจะเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศสูงที่เสี่ยงต่อการถูกโต้ตอบกลับ อาทิ วัสดุอุตสาหกรรม, เทคโนโลยี และ การสื่อสาร” นายคมศร กล่าว
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จากอัตราภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ ประกาศกับไทยที่ 36% TISCO ESU ประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมากที่ราว 1.35 จุด จากปัจจุบันที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.8% เหลือเพียง 1.45% โดยยังไม่นับรวมผลของมาตรการที่รัฐบาลจำเป็นต้องบังคับใช้เพื่อประโยชน์ต่อการเจรจาต่อรอง เช่น 1. การลดการกีดกันทางการค้า (Non-tariff Barrier) และเปิดเสรีให้กับสินค้าเกษตรสหรัฐฯ มากขึ้น 2. การเพิ่มโควต้านำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ของหลายประเทศ อาจส่งผลให้สินค้าไทยที่คล้ายคลึงกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรถูกลดการนำเข้าจากตลาดในต่างประเทศลง เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางอ้อมที่อาจเกิดขึ้น และส่งผลกับเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า อาทิ แนวโน้มการลงทุนจากต่างชาติที่อาจลดลง เนื่องจากอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ทำให้การตัดสินใจย้ายฐานการผลิตทำได้ยากขึ้น และประเด็นสุดท้าย มองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้ง รวม 0.50% ในการประชุมรอบที่ 2/2025 ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ 1 ครั้ง และอีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลัง ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจลดลงเหลือ 1.50% ภายในสิ้นปีนี้
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจจีน จากอัตราภาษี Reciprocal Tariff ที่ 34% บวกอัตราภาษีเดิมที่ 20% ทำให้จีนต้องเผชิญอัตราภาษีรวมกว่า 54% ซึ่งคาดว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจจีนราว 1.5-2.0 จุด ทั้งจากผลกระทบทางตรงผ่านช่องทางการส่งออก และผลกระทบทางอ้อมผ่านความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น ตลอดจนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภคที่มีแนวโน้มลดลง และอาจจะกระทบต่อการลงทุนในประเทศของภาคธุรกิจในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม คาดว่ารัฐบาลจีนจะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบผ่านการใช้นโยบายการคลังและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงอาจมีมาตรการตอบโต้ต่อสหรัฐฯ ผ่านทั้งมาตรการด้านภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff measures) เช่น การควบคุมการส่งออกสินค้าสำคัญไปยังสหรัฐฯ การดำเนินการกับบริษัทสหรัฐฯ หรือการจำกัดการลงทุนของบริษัทจีนในสหรัฐฯ เป็นต้น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่