พาเที่ยวฮิเมจิ โกเบ ภูเขา Rokko และชิมสเต็กเนื้อโกเบที่ร้าน Steakland (Day 2)

  วันที่ 2 ของการเดินทางครับ ทริปของวันนี้เราจะไปเที่ยว Himeji และ Kobe ครับ โดยใช้ JR Kansai Wide Area Pass
โดยพาสตัวนี้สามารถนั่งชิงคันเซนไปได้ถึง Okayama เลย ซึ่งประหยัดเวลาไปได้เป็นชั่วโมงเลยครับ
(รายละเอียดทริปวันนี้)
(ชิงคันเซนจาก Osaka >> Okayama)
เช้านี้เราฝากท้องไว้ที่ร้าน Matsuya ครับ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นราคาย่อมเยาว์ที่มีหลายสาขา ฟิลล์แบบ Yoshinoya ร้านอยู่ไม่ไกลจากสถานี Himeji
เมนูหลักจะเป็นข้าวหน้าต่างๆ หรือจะสั่งแยกแล้วสั่งท็อปปิ้งแยกออกมาต่างหาก มีทั้งหมูย่าง เนื้อย่าง แต่ทีเด็ดเลยคือซุปมันกุ้งครับ
แกงกะหรี่ที่นี่ก็ดีครับ รสออกเผ็ดปลายๆ
(เมนูของร้าน Matsuya)
(สั่งอาหารผ่านเครื่อง turn around time ค่อนข้างไว เครื่องจะตัดอัตโนมัติถ้าคิดนาน)
(สั่งมารวมๆหลายๆอย่าง)
(เนื้อติดมันย่าง)
(ซุปมันกุ้ง)
หลังจากอิ่มท้องกันแล้วก็เดินทางกันต่อครับ ระยะทางประมาณ 1 กม. จากสถานี Himeji ไปยังปราสาท
เดินชิลๆไม่นานก็ถึงตัวปราสาทครับ บริเวณรอบปราสาทสามารถเข้าได้เลยก่อน 9:00 โมงครับ หากจะเข้าชมด้านในต้อง 9:00 เป็นต้นไป ตั๋วมีสองแบบครับ คือเฉพาะชมด้านในตัวปราสาทอย่างเดียว หรือ รวมสวน Koko-en ด้วย สวนพวกเราเคยไปมาแล้ว เลยเลือกแค่เฉพาะชมด้านในปราสาทอย่างเดียว
 
(8:30 ก็เริ่มตั้งแถวกันแล้วครับ แต่ไม่จำเป็นต้องรีบเดี๋ยวแถวก็โฟลเอง)

ต้องบอกว่าปราสาทฮิเมจิ คือสวยงามมาก ใหญ่โต นวัตกรรมในการสร้างแต่ละอย่างคือสุดยอดมากจริงๆ ทั้งตัวปราสาท กระเบื้อง หลังคา ฐานต่างๆ

(ด้านในปราสาท อาคารหลัก)
(กระเบื้องหลังคา)
(ฐานตัวปราสาท)

ด้านในปราสาทบันไดค่อนข้างชันและพื้นลื่นพอสมควรครับ ไม่แนะนำให้ใส่ถุงเท้าที่ลื่นมากๆ จะเป็นอันตรายเอาได้ หลังจากเดินออกมาจากตัวปราสาทอาคารหลัก เราไปกันต่อที่อาคารย่อยรอบปราสาท น่าจะฟิลแนวป้องกันของตัวปราสาท โดยจะเป็นอาคารย่อยมีทางเชื่อมไปยังตัวปราสาทอาคารหลัก
(วิวเมืองด้านอาคารย่อย)

แนะนำให้ไปให้ครบ เพราะแต่ละจุดที่เราเดินจะเห็นวิวของตัวปราสาทหลักที่แตกต่างกันครับ แบบรูปด้านล่าง
(วิวปราสาทอาคารหลัก อีกด้านหนึ่ง)
หลังจากเราอิ่มเอมกับความสวยงามของปราสาทเสร็จแล้ว พร้อมกับอาการขาสั่น (เดินขึ้นลงติดๆกันนี่เอาเรื่องเหมือนกันกับวัยกลางคน)
ด้านหน้าปราสาทฮิเมจิฝั่งตรงข้ามจะมีพวกร้านขายของฝาก ขนมรูปปราสาทก็มี ซอฟครีม บังเอิญวันที่ไปมีตลาดน้อยๆอยู่ด้วย น่าจะเป็นเทศกาลใบไม้ผลิ เลยขอแวะเติมพลังกันซะหน่อย ด้วยเนื้อย่างเสียบไม้และชูโรส วันที่เราไปมีการแสดงจากน้องลิงด้วยครับ
(เนื้อย่างเสียบไม้)
(ชูโรส)

สถานีต่อไปเราจะไปกินสเต็กเนื้อ Kobe ที่เลื่องชื่อกันฮะ โดยร้านที่เราจะไปอยู่ที่ สถานี Sannomiya นั่นก็คือร้าน “Steakland” นั่นเองฮะ ร้านสเต็กเนื้อโกเบขวัญใจชาวไทยในตำนาน ร้านอยู่ไม่ไกลจากสถานีครับ มาถึงหน้าร้านให้กดคิว ใส่จำนวนคน รับบัตรคิวและไปยืนรอที่หน้าร้านครับ (มากันน้อยคนจะได้ทานไวหน่อยครับ)

(กดบัตรคิวหน้าร้านก่อนฮะ)
 
เราสั่งเป็นสเต็กเนื้อโกเบสันในขนาด 150 กรัม เสต็กจะเสิร์ฟมาพร้อมกับผักย่าง ข้าว มิโซะ และเครื่องดื่มครับ รอไม่นานเชฟก็เริ่มบรรเลงครับ
โดยเริ่มจากการทอดกระเทียมกับเนยก่อน และตามด้วยย่างตัวสเต็ก
ผมสั่งเป็นความสุกที่ Medium Rare ส่วนของแฟนเป็น Medium ครับ ดูเชฟทำไปเพลินๆไม่นานก็มาเสิร์ฟครับ
นี่คือหน้าตาสเต็กเซ็ตของเราครับ
 
ต้องบอกว่าเนื้อนุ่มจริงครับ แนะนำให้สั่งเป็น Medium Rare ครับจะนุ่มกว่า แต่ตัวเนื้อไม่ได้มีรสชาติเข้มข้มแบบพวกริบอายส์ครับ เพราะเนื้อเป็นเนื้อสันใน แนะนำให้จิ้มเกลือหรือกินเปล่าๆอร่อยสุดครับ มาทานที่นี่แนะนำให้หาถุงพลาสติกมาใส่เสื้อผ้า พวกเสื้อโค้ท เสื้อคลุมครับ ไม่งั้นกลิ่นเนื้อติดไปแน่นอน และก็พื้นค่อนข้างมันมากๆ ไม่แนะนำให้วางของที่พื้นครับ ก่อนกลับแวะซื้อกระเทียมทอดกลับมาด้วย เดี๋ยวไว้นำไปลองทำอาหารเมื่อไหร่จะมารีวิวครับ
 
สำหรับจุดท่องเที่ยวต่อไปเราจะไปที่ Mt. Rokko ครับ ซึ่งเราต้องนั่งรถไฟจากสถานี Sannomiya ไปสถานี Rokkomichi แล้วนั่งรถบัสต่อไปที่ป้าย Rokko Cable Shita เนื่องจากวันที่ไปรถรางเสียครับ เลยต้องเป็นรถบัสขึ้นไปบนเขา (ใครเมารถควรกินยาแก้เมาครับ เพราะเอาเรื่องเหมือนกัน)
โดยค่าตั๋วรถบัสขึ้นเขา+บัสไปจุดต่างๆบนเขา อยู่ที่คนละ 3000 เยนครับ

พอบัสมาถึงด้านบนเขาแล้ว เราต้องต่อบัสอีกคันเพื่อจะไปยังพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีครับ (แนะนำให้เช็ครอบรถบนเขาและกิจกรรมต่างๆให้ดีครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอ) ที่ชั้น2 ของพิพิธภัณฑ์มีร้านกาแฟ และโชกล่องดนตรีโบราณครับ (ตรงนี้ไม่สามารถถ่ายรูปได้แต่เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังครับ)
(พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี)
ต้องบอกว่ากล่องดนตรีที่นี่คืออลังการมากจริง อย่างตัวที่เป็นผู้ชายมีจุดขยับหลายจุด และตอนที่กำลังเล่นอยู่มีการใส่ลูกเล่นในสมุดที่ถืออยู่โดยการสลับหน้า และภาพในสมุดยังสามารถขยับได้ด้วย ถัดมาจะเป็นเครื่องเปียโนเครื่องใหญ่ครับ ที่มีการใส่กลไกให้เหมือนตัวเปียโนมีคนกำลังเล่นอยู่จริงๆ มีการกดโน๊ต ที่ไม่ใช่มีแค่เสียงดนตรี หลังจากการแสดงจบ ผู้แสดงก็จะเปิดให้ดูกลไกที่อยู่ในเครื่อง

เสร็จจากการแสดงกล่องดนตรีเราไปร้านกาแฟกันต่อครับ ซึ่งในตั๋วเราสามารถสั่งเครื่องเดิมที่ราคา 400 เยนได้ แนะนำให้ใช้ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเครื่องดื่มร้อนครับ ผมสั่งเป็นชาร้อนยูซุ ส่วนแฟนสั่งเป็นโกโก้ร้อนครับ ชาร้อนใช้ได้เลยครับ ชอบตัวไซรัปที่ใส่มา

เสร็จจากพิพิธภัณกล่องดนตรี เราไปต่อที่จุดชมวิวครับ ตรงจุดชมวิวมีอาหารและของฝากขายด้วยครับ โดยวิวที่เราเห็นจะเป็นเมืองโกเบทั้งเมืองครับ สวยมากๆ เดินขึ้นไปอีกนิดจะมีเหมือนเป็น globe เป็นขุดชมวิวอีกที่ ซึ่งค่าเข้าไม่รวมจากตั๋ว คนละ 1000 เยน เราตัดสินใจไม่เข้าครับ
รอบลงเขาต้องบอกเลยว่าหนังชีวิตพอสมควรครับ เพราะแฟนผมบอกว่าจะไม่ไหวแล้วเนื่องจากเมารถ แต่เบาะข้างหน้าดันชิงอ้วกไปก่อนแล้ว (นึกสถาพคนที่เมาแล้วได้กลิ่นอ้วกคือยิ่งหนักเข้าไปใหญ่) แต่ยังโชคดีที่เขามาอ้วกตอนถึงด้านล่างพอดี

จากความบอบช้ำจากฮิเมจิ และ เขา Rokko เราเลยปรับแผนนิดหน่อยมาหาอะไรกินที่สถานี Rokkomichi แทนครับ
และที่นี่ก็ทำให้เราเจอร้านราเมนอร่อย ที่ต้องปักเอาไว้ใน google map เลยครับ นั่นก็คือร้าน Ramen Shuhari
ผมสั่งเป็น Tonkotsu Ramen ส่วนของแฟนเป็น Shio Ramen ครับ
(Tonkotsu Ramen)
(Shio Ramen)

อร่อยทั้งสองครับ Ramen ที่ญี่ป่นซุปจะเข้มข้นมากๆครับ ใครไม่ชอบเค็มอาจจะไม่ถูกจริตเท่าไหร่ แต่มันอูมามินะเออ
ร้านนี้อร่อยมากจริงๆ ครับ ใครมาแถวนี้ตองแวะมาลองครับ

ละก็จบไปสำหรับทริปวันนี้ครับ ได้ explore ที่ใหม่ๆ อย่างเขา Rokko แต่คนที่นี่เค้าก็โหดจริงๆ บางคนคือไม่ใช่บัสเลย แต่ละจุดคือเดินไปเรื่อยๆ ก็คุยกันกับแฟนหรือเราอ่อนแอ แต่ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเรามาเป็นอาทิตย์นะ เราก็ต้องเซฟขาสิ 555
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาถึงตรงนี้ฮะ ฝากกระทู้ต่อไปด้วยครับ เพี้ยนสวัสดี
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่