โอวาทธรรม สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน)
จาก จิตวิญญาณในพระพุทธศาสนา
หน้า ๙ - ๑๑
#จิตตัวเดิมและจิตเป็นตัวอาการ
"...พึงทราบไว้ว่า คำว่าจิต ท่านใช้เป็น ๒ อย่าง
อย่างหนึ่งใช้หมายถึง ธรรมชาติที่เป็นตัวเดิม
กับอีกอย่างหนึ่ง ท่านใช้หมายถึง ธรรมชาติที่เป็นตัวอาการ
ที่ใช้หมายถึงธรรมชาติที่เป็นตัวเดิมนั้น ก็ใช้
หมายถึงธรรมชาติที่เป็น ธาตุรู้ อันเป็นธรรมชาติที่ประภัสสร คือผุดผ่อง ดังที่พระพุทธเจ้า แสดงไว้ว่า จิตนี้เป็นธรรมชาติที่ประภัสสร คือผุดผ่อง แต่ต้องเศร้าหมองไป เพราะอุปกิเลส
คือเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา
แต่เมื่อปฏิบัติทำจิตภาวนา คืออบรมจิต จิตก็จะบริสุทธิ์ผ่องใสได้ วิมุติหลุดพ้นได้
และจิตที่เป็นตัวเดิมนี้ มีพุทธภาษิตแสดงไว้เป็นอันมาก เช่น ให้ฝึกจิต ให้ข่มจิต จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้
เมื่อบุคคล อบรมให้ได้ปัญญา
รู้แจ้งเห็นจริง จิตก็หน่าย จะสิ้นความติดใจยินดี และวิมุติ หลุดพ้นจากอาสวะ คือเครื่องดองจิตดองสันดานทั้งหลายได้ดังนี้
เหล่านี้หมายถึงจิตที่เป็นตัวเดิม
ส่วนจิตที่เป็นตัวอาการนั้น หมายถึงความคิดต่างๆ คิดดีก็มี คิดไม่ดีก็มี ตัวความคิดนี้เป็นจิตที่เป็นอาการ จิตที่เป็นอาการนี้ เกิดดับอยู่ในอารมณ์ทุกขณะจิต ทุกขณะอารมณ์ ดังจะพึงเห็นได้ว่า ทุกคน ย่อมมีความคิด ไปในอารมณ์ในเรื่องต่างๆ คิดถึงเรื่องนี้ปล่อยเรื่องนี้ไป
คิดเรื่องโน้น ปล่อยเรื่องโน้น ไปคิดเรื่องนั้น เรื่องที่จิตจับคิดแล้วปล่อยไปครั้งหนึ่ง ก็เรียกว่าเกิดดับไปคราวหนึ่ง
เพราะฉนั้น จิตทื่เป็นตัวความคิดจึงเกิดดับอยู่เสมอ ฉนั้นท่านจึงเปรียบจิต ที่เป็นตัวอาการนี้ เหมือนอย่างวานร ที่กระโดดไปมาอยู่บนต้นไม้ กระโดดจับกิ่งไม้นี้ ปล่อยกิ่งไม้นี้ กระโดดจับกิ่งไม้นั้น จากกิ่งไม้นั้นก็กระโดดไปจับกิ่งไม้อื่นอยู่
ตลอดเวลา อาการที่จับและปล่อยอารมณ์ต่างๆของจิตนี้คือจิตที่เป็นตัวอาการ คือความคิด
เหมือนอย่างอาการของวานร ที่กระโดดจับกิ่งไม้ กระโดดจับกิ่งโน้น กิ่งนั้น กิ่งนี้อยู่เสมอ
อาการที่จับๆปล่อยๆ ของวานรก็คือความคิด แต่ก็ต้องคิดดูตตรงนี้ด้วยว่า แม้วานรจักกระโดดจับปล่อยกิ่งไม้โน้นกิ่งไม้นี้ไปอยู่เสมอดังนี้ก็ตาม แต่ว่าตัววานรนั้น ก็เป็นวานรตัวเดียวกัน จึงเทียบได้
กับจิตที่เป็นตัวเดิม ก็เป็นจิตตัวเดียวกัน แต่ว่าอาการคือ ความคิดนั้นเปลี่ยนไปต่างๆ และตัวความ
คิดนี้ก็คืออาการดังนี้..."
จิตตัวเดิมและจิตเป็นตัวอาการ
จาก จิตวิญญาณในพระพุทธศาสนา
หน้า ๙ - ๑๑
#จิตตัวเดิมและจิตเป็นตัวอาการ
"...พึงทราบไว้ว่า คำว่าจิต ท่านใช้เป็น ๒ อย่าง
อย่างหนึ่งใช้หมายถึง ธรรมชาติที่เป็นตัวเดิม
กับอีกอย่างหนึ่ง ท่านใช้หมายถึง ธรรมชาติที่เป็นตัวอาการ
ที่ใช้หมายถึงธรรมชาติที่เป็นตัวเดิมนั้น ก็ใช้
หมายถึงธรรมชาติที่เป็น ธาตุรู้ อันเป็นธรรมชาติที่ประภัสสร คือผุดผ่อง ดังที่พระพุทธเจ้า แสดงไว้ว่า จิตนี้เป็นธรรมชาติที่ประภัสสร คือผุดผ่อง แต่ต้องเศร้าหมองไป เพราะอุปกิเลส
คือเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา
แต่เมื่อปฏิบัติทำจิตภาวนา คืออบรมจิต จิตก็จะบริสุทธิ์ผ่องใสได้ วิมุติหลุดพ้นได้
และจิตที่เป็นตัวเดิมนี้ มีพุทธภาษิตแสดงไว้เป็นอันมาก เช่น ให้ฝึกจิต ให้ข่มจิต จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้
เมื่อบุคคล อบรมให้ได้ปัญญา
รู้แจ้งเห็นจริง จิตก็หน่าย จะสิ้นความติดใจยินดี และวิมุติ หลุดพ้นจากอาสวะ คือเครื่องดองจิตดองสันดานทั้งหลายได้ดังนี้
เหล่านี้หมายถึงจิตที่เป็นตัวเดิม
ส่วนจิตที่เป็นตัวอาการนั้น หมายถึงความคิดต่างๆ คิดดีก็มี คิดไม่ดีก็มี ตัวความคิดนี้เป็นจิตที่เป็นอาการ จิตที่เป็นอาการนี้ เกิดดับอยู่ในอารมณ์ทุกขณะจิต ทุกขณะอารมณ์ ดังจะพึงเห็นได้ว่า ทุกคน ย่อมมีความคิด ไปในอารมณ์ในเรื่องต่างๆ คิดถึงเรื่องนี้ปล่อยเรื่องนี้ไป
คิดเรื่องโน้น ปล่อยเรื่องโน้น ไปคิดเรื่องนั้น เรื่องที่จิตจับคิดแล้วปล่อยไปครั้งหนึ่ง ก็เรียกว่าเกิดดับไปคราวหนึ่ง
เพราะฉนั้น จิตทื่เป็นตัวความคิดจึงเกิดดับอยู่เสมอ ฉนั้นท่านจึงเปรียบจิต ที่เป็นตัวอาการนี้ เหมือนอย่างวานร ที่กระโดดไปมาอยู่บนต้นไม้ กระโดดจับกิ่งไม้นี้ ปล่อยกิ่งไม้นี้ กระโดดจับกิ่งไม้นั้น จากกิ่งไม้นั้นก็กระโดดไปจับกิ่งไม้อื่นอยู่
ตลอดเวลา อาการที่จับและปล่อยอารมณ์ต่างๆของจิตนี้คือจิตที่เป็นตัวอาการ คือความคิด
เหมือนอย่างอาการของวานร ที่กระโดดจับกิ่งไม้ กระโดดจับกิ่งโน้น กิ่งนั้น กิ่งนี้อยู่เสมอ
อาการที่จับๆปล่อยๆ ของวานรก็คือความคิด แต่ก็ต้องคิดดูตตรงนี้ด้วยว่า แม้วานรจักกระโดดจับปล่อยกิ่งไม้โน้นกิ่งไม้นี้ไปอยู่เสมอดังนี้ก็ตาม แต่ว่าตัววานรนั้น ก็เป็นวานรตัวเดียวกัน จึงเทียบได้
กับจิตที่เป็นตัวเดิม ก็เป็นจิตตัวเดียวกัน แต่ว่าอาการคือ ความคิดนั้นเปลี่ยนไปต่างๆ และตัวความ
คิดนี้ก็คืออาการดังนี้..."