**ฝุ่น PM 2.5 ทำให้เลือดกำเดาไหลได้อย่างไร**

ช่วงปลายเดือน​ม.ค.มีรุ่นน้องสอบถามผมมาเรื่อง​มีเลือดกำเดาไหล​ ​ บอกกังวลมาก​ กลัวมาก

เลยอยากนำบทความนี้มาฝากนะครับ​(น้องไปตรวจแล้ว​หมอส่องกล้องให้​ เป็นแค่เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ​ ปัญหาจากฝุ่น​PM2.5​ บางเคสอาจจะมีเลือดปนเสมหะได้นะครับ​ ถ้าเป็นหวัดมาก่อน)​

### **บทนำ: ฝุ่น PM 2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพ**  

ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เป็นหนึ่งในมลพิษทางอากาศที่พบได้บ่อยทั้งในเขตเมืองและชนบท ฝุ่นชนิดนี้มีขนาดเล็กมากจนสามารถแพร่กระจายเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจตอนบนและตอนล่างได้อย่างง่ายดาย จึงอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพที่หลากหลาย เช่น โรคหอบหืด โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าฝุ่น PM 2.5 อาจมีความสัมพันธ์กับอาการเลือดกำเดาไหล (Epistaxis) โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความไวต่อสิ่งกระตุ้นหรือมีโรคประจำตัวทางระบบทางเดินหายใจ

บทความนี้จะอธิบายกลไกที่ฝุ่น PM 2.5 สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการเลือดกำเดาไหลได้ รวมถึงแนวทางการป้องกันและการดูแลตนเองเบื้องต้น

---

### **1. กลไกการเกิดเลือดกำเดาไหลพื้นฐาน**  
เลือดกำเดาไหล (Epistaxis) เกิดจากการแตกหรือฉีกขาดของเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูก โดยทั่วไปบริเวณที่มักเกิดบ่อยคือบริเวณ “Kiesselbach’s plexus” ซึ่งมีเส้นเลือดฝอยหลายเส้นมาบรรจบกัน เส้นเลือดบริเวณนี้มีลักษณะเปราะบาง จึงฉีกขาดหรือแตกง่ายเมื่อมีการกระตุ้นหรือบาดเจ็บใด ๆ เช่น

1. **การแคะจมูก** หรือการบาดเจ็บภายในโพรงจมูก  
2. **ความแห้งของเยื่อบุโพรงจมูก** ทำให้เส้นเลือดฝอยขาดความชุ่มชื้น  
3. **การอักเสบหรือติดเชื้อ** เช่น โรคภูมิแพ้หรือการติดเชื้อไวรัส  
4. **ความดันเลือดสูง** หรือโรคระบบหลอดเลือดบางชนิด  

---

### **2. ฝุ่น PM 2.5 ส่งผลต่อโพรงจมูกอย่างไร**  
ฝุ่น PM 2.5 เป็นอนุภาคขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งมีคุณสมบัติที่สำคัญคือสามารถผ่านเข้าไปในระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้อย่างง่ายดาย เมื่อฝุ่นดังกล่าวเข้าสู่โพรงจมูก เยื่อบุผนังจมูกจะต้องทำงานหนักขึ้นในการกรองและกำจัดอนุภาคเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดกลไกการอักเสบและการระคายเคืองต่าง ๆ ดังนี้

1. **การระคายเคืองเยื่อบุโพรงจมูก (Irritation)**  
   - PM 2.5 สามารถกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันในโพรงจมูกให้หลั่งสารก่อการอักเสบ (เช่น สารไซโตไคน์ หรือฮีสตามีน) ส่งผลให้เยื่อบุโพรงจมูกบวมแดง คัน หรือแสบ จนอาจทำให้เกิดบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น

2. **การเพิ่มความไว (Sensitivity) ของผนังจมูก**  
   - เมื่อได้รับ PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น ทำให้หลอดเลือดฝอยเปราะบางขึ้น เสี่ยงต่อการแตกหรือฉีกขาด

3. **ความแห้งของเยื่อบุ (Dryness)**  
   - ฝุ่น PM 2.5 สามารถดูดซับความชื้นที่ผิวของเยื่อบุจมูก และทำให้อากาศโดยรอบแห้งลง หรือในสภาพอากาศหนาวหรือมีความชื้นต่ำร่วมด้วย เยื่อบุจมูกจะยิ่งขาดความชุ่มชื้น เกิดการแห้งและแตกง่าย

4. **สารพิษปนเปื้อนในฝุ่น (Toxic Components)**  
   - ในฝุ่น PM 2.5 อาจมีสารเคมี โลหะหนัก หรือสารพิษอื่น ๆ ติดมา ซึ่งอาจไปทำลายหรือระคายเคืองเยื่อบุโพรงจมูก ทำให้การซ่อมแซมของเยื่อบุลดลง

---

### **3. ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เลือดกำเดาไหลได้ง่ายขึ้น**  
แม้ว่าฝุ่น PM 2.5 จะเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญ แต่อาการเลือดกำเดาไหลอาจเกิดขึ้นง่ายกว่าในบุคคลกลุ่มเสี่ยงหรือมีปัจจัยอื่นร่วม เช่น

1. **โรคภูมิแพ้จมูก (Allergic Rhinitis)**  
   - ผู้ป่วยมักมีภาวะจมูกอักเสบเรื้อรัง เยื่อบุจมูกไวต่อสารกระตุ้นมากกว่าปกติ  
2. **การใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก (Intranasal Steroid)** ในระยะยาว  
   - อาจทำให้เยื่อบุจมูกบางลง เปราะบางต่อการแตกหรือฉีกขาด  
3. **การอยู่ในสภาพอากาศแห้งหรือต้องทำงานกลางแจ้ง**  
   - ผู้ที่ต้องเผชิญกับมลพิษตลอดเวลา โอกาสที่เยื่อบุจมูกจะถูกทำร้ายสูงขึ้น  
4. **เด็กและผู้สูงอายุ**  
   - ในเด็ก เส้นเลือดฝอยยังพัฒนาไม่เต็มที่ ในผู้สูงอายุ เส้นเลือดอาจเสื่อมสภาพง่าย  
5. **โรคหรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด**  
   - เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด ยากันเลือดแข็ง หรือโรคตับ ไต ที่มีผลต่อระบบการแข็งตัวของเลือด

---

### **4. การป้องกันและดูแลตนเอง**  
1. **สวมหน้ากากอนามัย**  
   - ควรใช้หน้ากากที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กได้ เช่น หน้ากาก N95 หรือ FFP2 เมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูง จะช่วยลดปริมาณฝุ่นที่เข้าสู่โพรงจมูกและทางเดินหายใจ

2. **ใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้าน**  
   - เลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่น PM 2.5 และหมั่นเปลี่ยนไส้กรองตามระยะเวลาที่กำหนด

3. **หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงค่าฝุ่นสูง**  
   - หากมีความจำเป็นต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรตรวจสอบค่าฝุ่นละอองล่วงหน้า และจำกัดระยะเวลาอยู่กลางแจ้งให้น้อยลง

4. **เพิ่มความชื้นในอากาศ**  
   - การใช้เครื่องทำความชื้น (Humidifier) หรือการปรับอากาศให้มีความชื้นพอเหมาะ (ประมาณ 40-50%) จะช่วยป้องกันเยื่อบุโพรงจมูกแห้งและลดโอกาสเลือดกำเดาไหล

5. **ดูแลสุขภาพของเยื่อบุจมูก**  
   - การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (Normal Saline) อย่างสม่ำเสมอจะช่วยชะล้างฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ออกจากโพรงจมูก ลดการระคายเคืองและการอักเสบ

6. **หลีกเลี่ยงการแคะจมูกหรือกระทบกระแทกแรง ๆ**  
   - การกระแทกหรือแคะจมูกบ่อย ๆ ทำให้หลอดเลือดฝอยบริเวณ Kiesselbach’s plexus เสียหายได้ง่าย

---

### **5. การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อมีอาการเลือดกำเดาไหล**  
1. **จับนั่งตัวตรง**  
   - ศีรษะเอนไปด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับลงคอ  
2. **บีบปีกจมูกเบา ๆ**  
   - ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบปีกจมูกทั้งสองข้าง ประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้เลือดหยุดไหล  
3. **ประคบเย็น**  
   - วางถุงน้ำแข็งหรือผ้าชุบน้ำเย็นบริเวณสันจมูก ช่วยหดหลอดเลือดและหยุดเลือดได้เร็วขึ้น  
4. **หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ**  
   - หลังเลือดหยุดแล้วควรพักโพรงจมูก ไม่สั่งน้ำมูกหรือแคะจมูกแรง ๆ ในช่วง 24 ชั่วโมง

หากเลือดกำเดาไหลไม่หยุดภายใน 15-20 นาที หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ควรรีบปรึกษาแพทย์

---

### **6. บทสรุป**  
ฝุ่น PM 2.5 เป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้เลือดกำเดาไหลได้บ่อยขึ้น เนื่องจากฝุ่นขนาดเล็กนี้สามารถเข้าสู่โพรงจมูกและก่อให้เกิดการระคายเคือง การอักเสบ รวมถึงทำให้เยื่อบุจมูกแห้งและเปราะบางได้ง่าย การป้องกันที่สำคัญ ได้แก่ การสวมหน้ากากที่มีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นสูงเป็นเวลานาน รักษาความชื้นในสภาพแวดล้อม และดูแลโพรงจมูกอย่างเหมาะสม หากมีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อยหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีการรักษาที่เหมาะสม

---

CR. เพจ​สุขภาพดีไม่มีในขวด
**เอกสารอ้างอิง (Reference)จุ๊บๆ*  
1. World Health Organization (WHO). Air quality guidelines for particulate matter, ozone, nitrogen dioxide and sulfur dioxide. 2021.  
2. Li L, et al. The association between air pollution (PM2.5) and nasal epistaxis: A systematic review. *Journal of Otolaryngology*. 2020;49(3):123-129.  
3. American Academy of Otolaryngology–Head and Neck Surgery. Nosebleeds (Epistaxis). 2022.  
4. Stein M, et al. Intranasal inflammation and small particulate matter: A direct correlation. *Clinical Respiratory Journal*. 2019;13(4):210-215.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่