กะจะเขียนเป็นไดอารี่เลยนอกเรื่องไปเยอะ แต่อ่านแล้วอยากเอามาลงพันทิปครับ ถ้าอ่านยากขออภัยครับ
Day 1
อายุรกรรม
-วันแรก ประชุม ชี้แจงเวลา ปล่อยให้แยกย้ายกันไปฝึกตามตารางที่ให้ไปก่อนหน้านี้
-กลุ่มของผมมี 4 คน ได้แก่ ผม นาวี ปื๊ด บะหมี่
-พอพวกเราไปถึงแผนกอายุรกรรม ก็ถามพี่ผู้ชายเสื้อเหลืองที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในโรงพยาบาลว่าเราต้องทำอะไรบ้าง พี่เขาก็บอกให้พวกเราไปวัดความดันและจดความดันใส่กระดาษให้คนไข้ ก่อนหน้านั้นพี่แกจะสอนว่าความดันสูง-ต่ำคือค่าเท่าไร ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 140/90 ถ้าค่าแรกสูงกว่า 140 หรือค่าหลังต่ำกว่า 90 ต้องบอกคนไข้ว่า นั่งพัก 15 นาทีแล้วมาวัดใหม่นะครับ
-หลังจากฟังพี่แกสอนเสร็จ พวกเราก็แบ่งหน้าที่กันครับ โดยผมและนาวี ประจำเครื่องวัดความดันที่ต้องสอดแขนเข้าไป คนละเครื่อง อยู่คนละทางเข้ากันครับ
-ส่วนปื๊ดกับบะหมี่ ยืนข้างๆโต๊ะพี่พยาบาล คอยวัดความดันผู้ป่วยเปลนั่งและเปลนอนครับ
-แผนกนี้ผู้ป่วยเยอะมากๆ ในช่วงเช้าผมต้องจดความดันให้ผู้ป่วยเกือบตลอดเวลาเลยครับ พอถึงช่วงพักเที่ยง ผมกับเพื่อนอีก 3 คน ออกไปหาข้าวกินที่ร้านข้าวหน้ารพ. แต่รสชาติไม่ค่อยถูกปากเท่าไรเลยกินข้าวกันแบบหน้าเจื่อนๆและคิดว่าน่าจะไม่มาซ้ำอีก ตอนจ่ายเงิน เจ้าของร้านลดราคาให้เพราะเห็นว่าเป็นนักเรียน ก็รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยครับ(แต่ก็ไม่มาซ้ำอยู่ดีครับ)
-ช่วงบ่ายคนไข้น้อยลง ผมก็มีโอกาสได้นั่งพักตรงที่นั่งคนไข้ข้างๆเครื่องวัดความดัน แต่ไม่รู้ทำไม พอผมนั่งก็จะมีคนไข้เข้ามาเพิ่มทันที ผมขี้เกียจลุกๆนั่งๆ ก็เลยยืนพักอยู่อย่างนั้นแหละครับ แต่ว่า ผมเพิ่งกินข้าวมาอิ่มๆ หนังท้องตึง หนังตาหย่อน ใช่ครับ "ผมยืนหลับ" ผมยืนสัปหงกอยู่อย่างนั้นจนคนไข้มักอะครับว่าอย่าเพิ่งหลับลูก อย่าเพิ่งหลับ ผมเลยมีสติกลับมาครับ
-พอ4โมงเย็นพวกเราก็แยกย้ายกลับบ้านครับ
Day 2
-ยังอยู่อายุรกรรมเหมือนเดิมครับ พวกเราต้องอยู่ที่นี่ 3 วัน
-ตอนเช้าผมก็วัดความดันให้คนไข้ตามปกติครับ ผมเห็นไอปื้ดเดินไปคุยกับคนไข้ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรครับ เพราะไอปื๊ดมันชอบชวนคนอื่นคุยอยู่ละ ก็คิดว่าน่าจะคนไข้ธรรมดาแหละ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้วก็วัดความดันต่อ แต่พอคนไข้คนนั้นหันมา ผมก็จำได้ว่า เห้ย นั่นครูชีวะที่สอนผมนี่หว่า พอผมจำได้ว่าเป็นครูชีวะ ผมก็ไหว้สวัสดีแกไป1ที แล้วก็ทำงานต่อครับ
-มีคนไข้คนนึงเป็นคุณยายอายุประมาณ 65 ปี หลังจากที่ผมให้ใบค่าความดันกับเขา ผมก็คิดว่าเขาจะลุกออกไปทันทีแบบคนไข้คนอื่นๆ แต่ไม่ใช่ครับ เขาหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าตังค์ เป็นแบงค์ 50 บาท แล้วบอกผมว่า "เก่งจังลูก มาช่วยงานโรงบาลได้ด้วย อะนี่ยายให้" ผมทำตัวไม่ถูกเพราะมีคนไข้คนอื่นต่อคิวรอวัดความดันอยู่อีก ผมเลยไหว้ขอบคุณและรับเงินมาครับ
-ตอนพักเที่ยง พวกเรากินข้าวที่ศูนย์อาหารในโรงพยาบาลครับ อร่อยกว่าหน้ารพ.ก็จริง แต่ผมคิดว่าแพงไปหน่อย
-ช่วงบ่ายไม่มีไรมากครับ ทำงานเสร็จแม่ก็มารับกลับบ้าน
-ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน มีการแจ้งเตือนไลน์เด้งขึ้นมา ผมก็เปิดดูครับ คิดว่าอาจจะเป็นครูสั่งงาน แต่ดันเป็นข้อความไลน์ที่ทำให้ผมรู้สึกดีมาก ๆ ในวันนั้นเลยครับ
-เพราะนั่นคือข้อความที่ครูชีวะที่ผมเจอที่รพ.พิมพ์ลงในไลน์กลุ่มชีวะที่มีสมาชิก 74 คน
ผมอ่านแล้วแบบ ใจฟูมากครับ ความอยากเรียนกับครูนี่ +++ เลยครับ รวมๆแล้ว วันที่2ของการฝึกงาน จัดว่าดีครับ ได้ทั้งคำชมทั้งเงิน 50 บาท (ผมชื่อธีรเทพ)
Day 3 ณ แผนกอายุรกรรม
-ตอนนี้ผมกลายเป็นหุ่นยนต์แล้วครับ
ผมถูกใส่โปรแกรมให้วัดความดัน จดความดัน บอกคนไข้ว่าความดันสูงหรือต่ำ พัก15นาทีแล้วมาวัดใหม่
ผมวนซ้ำอยู่อย่างนี้เป็นร้อยรอบ แล้วก็จบวันที่ 3 ครับ
Day 4
คลินิกสูติ-นรีเวช
-แผนกนี้ผมจะได้ทำงานหลากหลายกว่าอายุรกรรมครับ โดยเราจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มเหมือนเดิม ผมกับนาวีนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ข้างประตูคลินิก ส่วนปื๊ดกับบะหมี่ นั่งอยู่ในคลินิก
-ผมกับนาวีจะวัดความดันและอุณหภูมิให้คนไข้ครับ ผมเป็นคนถือเครื่องวัดไข้ นาวีประจำเครื่องวัดความดัน
-แต่ที่นี่ผมไม่ได้ทำหน้าที่แค่วัดBTกับBP ผมยังได้หาเอกสารให้คนไข้อีกด้วย พี่ที่ทำงานเอกสารบอกว่าในสมุดคนไข้จะมีเลขอยู่ ให้ผมหาเอกสารในตู้ที่มีเลขตรงกับในสมุดคนไข้
-นอกจากนี้ผมได้เขียนในใบอะไรสักอย่างว่าคนไข้คนนี้ต้องพบหมอะไร
-ในสมุดคนไข้บางคนมีแผ่นกระดาษที่มีจุดสีดำขาวเต็มไปหมด ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ลืมถามพี่เขาด้วย ใครรู้ช่วยบอกหน่อยนะครับ ผมหาในกูเกิ้ลไม่เจอ
-ผมกับนาวีก็ผลัดกันทำงาน วนๆจนจบวันครับ
Day 5
-วันนี้พวกผมทั้ง 4 คน ได้เข้าไปฟังพี่พยาบาลอบรมห้องเรียนคุณแม่ พี่เขาจะสอนวิธีวางแผนรีดนมเพื่อเก็บไว้ให้ลูก ประโยชน์ของนมแม่ อายุเท่าไรลูกจึงจะเลิกนมแม่ได้ ผมฟังอย่างตั้งใจ จนกระทั่งหันไปเจอกับ
"ตุ๊กตาเด็ก" ในตู้เก็บของที่ปิดด้วยกระจกใส
-ผมเผลอหลุดขำออกมาเล็กน้อย แต่ก็ต้องอั้นไว้ครับเพราะว่าสถานการณ์มันดูไม่ควรขำเท่าไร
-พอฟังบรรยายเสร็จผมก็ถ่ายรูปตุ๊กตาไว้ครับ
-ก่อนกลับบ้าน ตอนนั้นเวลาประมาณบ่าย3ครึ่ง แต่ไม่มีคนไข้แล้ว ผมเลยไปคุยเล่นกับเด็กที่นั่งรอแม่เข้ารับการรักษาอยู่ เป็นเด็กผู้ชาย อายุไม่น่าถึง10ปี พี่ๆ 1-1ฟีฟายกันป่าว คนแพ้เป็นทาส 1 วัน ผมกับเพื่อนนี่ขำก๊ากเลย ผมบอกน้องว่าพี่ไม่เล่นฟีฟาย เล่นแต่อาโอวี "พี่ๆรอแปปเดะผมโหลดอาวี" ระหว่างที่รอน้องโหลด ก็4โมงพอดี ผมเลยหนีกลับบ้านครับ กลัวเป็นทาสน้อง
แล้วก็ตั้งแต่วันนี้ ตอนพักเที่ยงหลังกินข้าวเสร็จ ผม บะหมี่ ปื๊ด จะไปนั่งแคมป์ที่คาเฟ่ติดแอร์ข้างๆรพ. ส่วนนาวีจะไปกินข้าวเที่ยงกับแม่เขาที่ทำงานในรพ. พวกผมจะสั่งขนมหรือน้ำคนละอย่าง แล้วก็นั่งยาวๆจนกว่าจะถึงเวลาเข้างานครับ
Day 6 หอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกชาย
-แผนกนี้มีญาติของผม และแม่ของเพื่อนผมทำงานอยู่ครับ พยาบาลที่นี่เลยพอจะรู้จักผมอยู่บ้าง
-พี่พยาบาลบอกให้พวกเรานั่งเฉยๆ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวเรียกใช้เอง
-บะหมี่เห็นพยาบาลทำแผลอยู่ เลยชวนพวกผมไปดูพยาบาลทำแผลกัน
พวกผมก็ตามไปดู เห็นผู้ป่วยอยู่บนเตียง แขนใส่เฝือก ปักสายอะไรสักอย่างที่ดูดเลือดเข้าไปในถุงที่ห้อยอยู่ ที่ขามีอุปกรณ์ที่เป็นเหล็กปักอยู่ ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ที่เห็นชัดที่สุดคือ "นิ้วเท้าขาด"ครับ ผมเห็นเท้าของเขา นิ้วหายไป1นิ้ว แผลยังมีเลือดอยู่ พยาบาลอนุญาตให้พวกเราสังเกตการณ์ขณะทำแผลครับ ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอดูไปได้ 5 นาที ผมเริ่มหน้ามืด แล้วก็...
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหลับไป แล้วตื่นมาเจอกับภาพที่พยาบาลทุกคนในวอร์ดล้อมผมอยู่ "ห้ะ เกิดไรขึ้นวะ ทำไมผมมาอยู่ในท่านี้อะ แล้วทำไมทุกคนถึงมาล้อม ผมหลับไปอ่อ" ภาพที่ผมเห็นมันไม่ชัด ตาผมเหมือนหน้ามืดอยู่ตลอดเวลา แต่พอมองเห็นว่าพยาบาลกำลังพยุงผมไปนอนบนโซฟาในห้องพักพยาบาล "ผมเมาเลือด" ปื๊ดบอกว่า ผมหันหลังไปแล้วอยู่ดีๆก็ล้ม หัวโขกกำแพงเสียงดังทั้งวอร์ด จนพยาบาลทั้งวอร์ดต้องมาช่วยผม
ตอนนั้นผมทั้งมึนหัว เจ็บหัว มองเห็นไม่ชัด รวมทั้งอายแล้วก็รู้สึกผิดด้วย
ผมนอนบนโซฟา จิบน้ำแดงที่พยาบาลซึ่งเป็นแม่ของเพื่อนซื้อให้ แปะประคบเย็นไว้บนหัวตรงที่โขกกำแพง
ปื๊ด : อยากกินน้ำแดงบอกดีๆก็ได้เพื่อน
ผมทำได้แค่ยิ้มเพราะขำตัวเองที่อยู่ในสภาพนี้ แต่ผมเริ่มคิดแล้วว่า
"ชิหัยละ จะเป็นหมอฟัน แต่เมาเลือดแบบนี้ จะไหวไหมเนี่ย"
Day 7
ผมกลายเป็นคนดังครับ
พี่แม่บ้านทักผมตั้งแต่ตอนเดินเข้าวอร์ดเลย "เป็นไงบ้าง ยังเจ็บหัวอยู่ไหม" พยาบาลหลายคนก็ทักถามอาการผม ทุกวันนี้เขายังจำได้อยู่เลยครับ ล่าสุดเพื่อนผมไปฝึกแผนกนี้ พยาบาลยังบอกเพื่อนผมเลยว่าอย่าเป็นลมล้มหัวฟาดกำแพงเหมือนคิวล่ะ
-ผมคิดว่าตำนานนักเรียนฝึกงานเป็นลม น่าจะอยู่ไปอีกนาน
-น้านุช ญาติของผมที่เป็นพยาบาลแผนกนี้ได้ข่าวว่าเมื่อวานผมเป็นลม เลยให้พวกผมไปดูการทำแผลเล็กๆเพื่อเทสว่าผมจะเป็นลมอีกรึเปล่า ตอนดูนี่ เพื่อนเซฟผมทุกด้านเลยครับ ผมได้นั่งเก้าอี้ มีเพื่อนล้อมไว้กันผมล้ม "ฝากดูกูด้วยนะ ถ้ากูดาวน์ชุบกูด้วย" แต่สุดท้ายผมก็ไม่เป็นลมครับ ทุกอย่างราบรื่นดี
-ในส่วนของงาน ช่วงเช้าพวกเรานั่งว่างเลยครับ ในช่วงบ่ายพี่พยาบาลจะเอาผ้าเช็ดมือมาให้พวกเราพับก่อนเก็บใส่ถุง
Day 8
หอผู้ป่วยศัลกรรมหญิง
-พยาบาล : อ่าว นักเรียนคนนี้ไหมที่เป็นลมแผนกกระดูก
-ผมว่าทุกแผนกในตึกนี้น่าจะรู้จักผมแล้วแหละ ในฐานะนักเรียนเป็นลม
-แผนกนี้ว่างกว่าแผนกที่แล้วอีกครับ ช่วงเช้านั่งว่าง ช่วงบ่ายพับผ้าเหมือนเดิม
-ในตอนเที่ยง ตอนนั้นเป็นช่วงถือศีลกินเจ อาหารการกินเลยลำบากหน่อย นาวีไม่ลำบากเพราะเป็นอิสลาม ส่วนบะหมี่ ผมไม่แน่ใจว่าเขาเริ่มกินวันไหน เพราะมีวันนึงที่ผมกับปื๊ดกินอาหารเจกันอยู่ แล้วบะหมี่ก็สั่งไก่ทอดมากินยั่วผม
-ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้สนับสนุนคาเฟ่ที่ไปประจำ ผมจะซื้อน้ำเปล่าขวดนึง แล้วนั่งยาวๆ1ชั่วโมง เพราะอาหารเจที่นี่ราคาสูง ผมจ่ายไม่ไหว
-ระหว่างที่รอเข้างานผมก็นึกขึ้นเล่นๆ
คิว: ปื๊ด ที่นี่ขายน้ำเปล่าปั่นป่ะวะ
ปื๊ด : คนเชี่ไรกินน้ำเปล่าปั่น แต่ลองไปถามพนักงานดูดิเผื่อมี
ผมเลยเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วถามพี่เขาว่า "พี่ครับๆ มีน้ำเปล่าปั่นไหมครับ"
พี่คนแรก : ไม่มีค่ะ มีแต่น้ำเปล่า
พี่คนสอง : อะไรนะ น้ำเปล่าปั่น ถ้าน้องจะเอาพี่ทำให้ได้นะ แก้วละ 50 บาท
พี่แกก็ขำกัน แล้วผมก็เดินออกมา เพราะคิดว่าพี่แกตั้งราคาสูงเพราะไม่มีเมนูนี้แหละ
Day9 ตอนเช้า-บ่ายไม่มีอะไรเลยครับ
งั้นเดี๋ยวผมจะเล่าเหตุการณ์นึงที่จำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นวันไหนละกัน
-พยาบาลอายุรกรรมนึกได้ว่าพวกผมยังไม่ได้ฝึกวัดความดันแบบแมนนวล กับตรวจน้ำตาลในเลือด เลยพาพวกผมไปเรียน โดยจะใช้สเตทโตสโคปเครื่องวัดความดันแบบเป็นเสาเคลื่อนที่ได้ ปลอกแขนวัดความดัน
-อันดับแรกต้องพันแขนคนไข้ ให้สายตรงกับชีพจร
-หลังจากนั้นบีบลูกยาง ปลอกแขนจะพองขึ้นและรัดแขนคนไข้
-ใส่หูฟังแพทย์ ตรงที่ห้อยๆจะมี2ด้าน ด้านเล็กใช้กับเด็ก ด้านใหญ่ใช้กับผู้ใหญ่ ใช้ที่ห้อยๆนั่นทาบตรงที่ชีพจรคนไข้บริเวณข้อพับแขน
-ค่อยๆปล่อยลมออกจากปลอกแขน ฟังเสียงจากหูฟัง จำว่าได้ยินเสียงหัวใจครั้งแรกและครั้งสุดท้ายตอนความดันเท่าไร(ดูจากเครื่องวัดความดันที่เป็นเสาตั้งอยู่)
-วิธีวัดเท่าที่ผมจำได้มีแค่นี้ครับ ถ้าผิดขออภัยเป็นอย่างสูง
-นอกจากวัดความดันแล้ว เรายังได้ตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยครับ โดยผมจะให้กลุ่มของซันวา(นามสมมุติ)ฝึกให้ หนูทดลองคือเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มซันวานั่นแหละครับ น่าจะชื่อมอลโตส ผมเจาะนิ้วนางเขา บีบรีดเลือดให้หยดบนเครื่องวัดปริมาณน้ำตาลในเลือด แล้วก็วัดได้ครับ
-ทีนี้สลับกัน มอลโตสเจาะให้ผมบ้าง แต่เจาะเท่าไรเลือดผมก็ไม่ไหล โดนไป3จึ๊ก เจ็บ3รอบ เลือดก็ยังไม่ไหล(สงสัยผมหนังด้าน) เลยเจ็บฟรีครับ ไม่รู้ปริมาณน้ำตาลตัวเอง อดเช็คเบาหวานเลย
Day 10 วันสุดท้ายของการฝึกงาน
-ไม่มีอะไรทำเลยตั้งแต่เช้ายันเย็นครับ
-หลังจากผมกับเพื่อนทุกคนส่งรายงานการฝึกให้พี่พยาบาลเสร็จ เราก็แยกย้ายกันครับ ยกเว้นผมกับไอปื๊ด ไปดูธี่หยด2กันที่ห้างแถวนั้น
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะครับ
ขอปิดท้ายด้วยรูปเศษขนมที่ผมเอามาทำเป็นรูปหน้ายิ้มให้พี่พนักงานคาเฟ่ดูตอนเก็บจานละกันนะครับ
ประสบการณ์ฝึกงานที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด
Day 1
อายุรกรรม
-วันแรก ประชุม ชี้แจงเวลา ปล่อยให้แยกย้ายกันไปฝึกตามตารางที่ให้ไปก่อนหน้านี้
-กลุ่มของผมมี 4 คน ได้แก่ ผม นาวี ปื๊ด บะหมี่
-พอพวกเราไปถึงแผนกอายุรกรรม ก็ถามพี่ผู้ชายเสื้อเหลืองที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในโรงพยาบาลว่าเราต้องทำอะไรบ้าง พี่เขาก็บอกให้พวกเราไปวัดความดันและจดความดันใส่กระดาษให้คนไข้ ก่อนหน้านั้นพี่แกจะสอนว่าความดันสูง-ต่ำคือค่าเท่าไร ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 140/90 ถ้าค่าแรกสูงกว่า 140 หรือค่าหลังต่ำกว่า 90 ต้องบอกคนไข้ว่า นั่งพัก 15 นาทีแล้วมาวัดใหม่นะครับ
-หลังจากฟังพี่แกสอนเสร็จ พวกเราก็แบ่งหน้าที่กันครับ โดยผมและนาวี ประจำเครื่องวัดความดันที่ต้องสอดแขนเข้าไป คนละเครื่อง อยู่คนละทางเข้ากันครับ
-ส่วนปื๊ดกับบะหมี่ ยืนข้างๆโต๊ะพี่พยาบาล คอยวัดความดันผู้ป่วยเปลนั่งและเปลนอนครับ
-แผนกนี้ผู้ป่วยเยอะมากๆ ในช่วงเช้าผมต้องจดความดันให้ผู้ป่วยเกือบตลอดเวลาเลยครับ พอถึงช่วงพักเที่ยง ผมกับเพื่อนอีก 3 คน ออกไปหาข้าวกินที่ร้านข้าวหน้ารพ. แต่รสชาติไม่ค่อยถูกปากเท่าไรเลยกินข้าวกันแบบหน้าเจื่อนๆและคิดว่าน่าจะไม่มาซ้ำอีก ตอนจ่ายเงิน เจ้าของร้านลดราคาให้เพราะเห็นว่าเป็นนักเรียน ก็รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยครับ(แต่ก็ไม่มาซ้ำอยู่ดีครับ)
-ช่วงบ่ายคนไข้น้อยลง ผมก็มีโอกาสได้นั่งพักตรงที่นั่งคนไข้ข้างๆเครื่องวัดความดัน แต่ไม่รู้ทำไม พอผมนั่งก็จะมีคนไข้เข้ามาเพิ่มทันที ผมขี้เกียจลุกๆนั่งๆ ก็เลยยืนพักอยู่อย่างนั้นแหละครับ แต่ว่า ผมเพิ่งกินข้าวมาอิ่มๆ หนังท้องตึง หนังตาหย่อน ใช่ครับ "ผมยืนหลับ" ผมยืนสัปหงกอยู่อย่างนั้นจนคนไข้มักอะครับว่าอย่าเพิ่งหลับลูก อย่าเพิ่งหลับ ผมเลยมีสติกลับมาครับ
-พอ4โมงเย็นพวกเราก็แยกย้ายกลับบ้านครับ
Day 2
-ยังอยู่อายุรกรรมเหมือนเดิมครับ พวกเราต้องอยู่ที่นี่ 3 วัน
-ตอนเช้าผมก็วัดความดันให้คนไข้ตามปกติครับ ผมเห็นไอปื้ดเดินไปคุยกับคนไข้ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรครับ เพราะไอปื๊ดมันชอบชวนคนอื่นคุยอยู่ละ ก็คิดว่าน่าจะคนไข้ธรรมดาแหละ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้วก็วัดความดันต่อ แต่พอคนไข้คนนั้นหันมา ผมก็จำได้ว่า เห้ย นั่นครูชีวะที่สอนผมนี่หว่า พอผมจำได้ว่าเป็นครูชีวะ ผมก็ไหว้สวัสดีแกไป1ที แล้วก็ทำงานต่อครับ
-มีคนไข้คนนึงเป็นคุณยายอายุประมาณ 65 ปี หลังจากที่ผมให้ใบค่าความดันกับเขา ผมก็คิดว่าเขาจะลุกออกไปทันทีแบบคนไข้คนอื่นๆ แต่ไม่ใช่ครับ เขาหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าตังค์ เป็นแบงค์ 50 บาท แล้วบอกผมว่า "เก่งจังลูก มาช่วยงานโรงบาลได้ด้วย อะนี่ยายให้" ผมทำตัวไม่ถูกเพราะมีคนไข้คนอื่นต่อคิวรอวัดความดันอยู่อีก ผมเลยไหว้ขอบคุณและรับเงินมาครับ
-ตอนพักเที่ยง พวกเรากินข้าวที่ศูนย์อาหารในโรงพยาบาลครับ อร่อยกว่าหน้ารพ.ก็จริง แต่ผมคิดว่าแพงไปหน่อย
-ช่วงบ่ายไม่มีไรมากครับ ทำงานเสร็จแม่ก็มารับกลับบ้าน
-ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน มีการแจ้งเตือนไลน์เด้งขึ้นมา ผมก็เปิดดูครับ คิดว่าอาจจะเป็นครูสั่งงาน แต่ดันเป็นข้อความไลน์ที่ทำให้ผมรู้สึกดีมาก ๆ ในวันนั้นเลยครับ
-เพราะนั่นคือข้อความที่ครูชีวะที่ผมเจอที่รพ.พิมพ์ลงในไลน์กลุ่มชีวะที่มีสมาชิก 74 คน
ผมอ่านแล้วแบบ ใจฟูมากครับ ความอยากเรียนกับครูนี่ +++ เลยครับ รวมๆแล้ว วันที่2ของการฝึกงาน จัดว่าดีครับ ได้ทั้งคำชมทั้งเงิน 50 บาท (ผมชื่อธีรเทพ)
Day 3 ณ แผนกอายุรกรรม
-ตอนนี้ผมกลายเป็นหุ่นยนต์แล้วครับ
ผมถูกใส่โปรแกรมให้วัดความดัน จดความดัน บอกคนไข้ว่าความดันสูงหรือต่ำ พัก15นาทีแล้วมาวัดใหม่
ผมวนซ้ำอยู่อย่างนี้เป็นร้อยรอบ แล้วก็จบวันที่ 3 ครับ
Day 4
คลินิกสูติ-นรีเวช
-แผนกนี้ผมจะได้ทำงานหลากหลายกว่าอายุรกรรมครับ โดยเราจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มเหมือนเดิม ผมกับนาวีนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ข้างประตูคลินิก ส่วนปื๊ดกับบะหมี่ นั่งอยู่ในคลินิก
-ผมกับนาวีจะวัดความดันและอุณหภูมิให้คนไข้ครับ ผมเป็นคนถือเครื่องวัดไข้ นาวีประจำเครื่องวัดความดัน
-แต่ที่นี่ผมไม่ได้ทำหน้าที่แค่วัดBTกับBP ผมยังได้หาเอกสารให้คนไข้อีกด้วย พี่ที่ทำงานเอกสารบอกว่าในสมุดคนไข้จะมีเลขอยู่ ให้ผมหาเอกสารในตู้ที่มีเลขตรงกับในสมุดคนไข้
-นอกจากนี้ผมได้เขียนในใบอะไรสักอย่างว่าคนไข้คนนี้ต้องพบหมอะไร
-ในสมุดคนไข้บางคนมีแผ่นกระดาษที่มีจุดสีดำขาวเต็มไปหมด ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ลืมถามพี่เขาด้วย ใครรู้ช่วยบอกหน่อยนะครับ ผมหาในกูเกิ้ลไม่เจอ
-ผมกับนาวีก็ผลัดกันทำงาน วนๆจนจบวันครับ
Day 5
-วันนี้พวกผมทั้ง 4 คน ได้เข้าไปฟังพี่พยาบาลอบรมห้องเรียนคุณแม่ พี่เขาจะสอนวิธีวางแผนรีดนมเพื่อเก็บไว้ให้ลูก ประโยชน์ของนมแม่ อายุเท่าไรลูกจึงจะเลิกนมแม่ได้ ผมฟังอย่างตั้งใจ จนกระทั่งหันไปเจอกับ
"ตุ๊กตาเด็ก" ในตู้เก็บของที่ปิดด้วยกระจกใส
-ผมเผลอหลุดขำออกมาเล็กน้อย แต่ก็ต้องอั้นไว้ครับเพราะว่าสถานการณ์มันดูไม่ควรขำเท่าไร
-พอฟังบรรยายเสร็จผมก็ถ่ายรูปตุ๊กตาไว้ครับ
-ก่อนกลับบ้าน ตอนนั้นเวลาประมาณบ่าย3ครึ่ง แต่ไม่มีคนไข้แล้ว ผมเลยไปคุยเล่นกับเด็กที่นั่งรอแม่เข้ารับการรักษาอยู่ เป็นเด็กผู้ชาย อายุไม่น่าถึง10ปี พี่ๆ 1-1ฟีฟายกันป่าว คนแพ้เป็นทาส 1 วัน ผมกับเพื่อนนี่ขำก๊ากเลย ผมบอกน้องว่าพี่ไม่เล่นฟีฟาย เล่นแต่อาโอวี "พี่ๆรอแปปเดะผมโหลดอาวี" ระหว่างที่รอน้องโหลด ก็4โมงพอดี ผมเลยหนีกลับบ้านครับ กลัวเป็นทาสน้อง
แล้วก็ตั้งแต่วันนี้ ตอนพักเที่ยงหลังกินข้าวเสร็จ ผม บะหมี่ ปื๊ด จะไปนั่งแคมป์ที่คาเฟ่ติดแอร์ข้างๆรพ. ส่วนนาวีจะไปกินข้าวเที่ยงกับแม่เขาที่ทำงานในรพ. พวกผมจะสั่งขนมหรือน้ำคนละอย่าง แล้วก็นั่งยาวๆจนกว่าจะถึงเวลาเข้างานครับ
Day 6 หอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกชาย
-แผนกนี้มีญาติของผม และแม่ของเพื่อนผมทำงานอยู่ครับ พยาบาลที่นี่เลยพอจะรู้จักผมอยู่บ้าง
-พี่พยาบาลบอกให้พวกเรานั่งเฉยๆ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวเรียกใช้เอง
-บะหมี่เห็นพยาบาลทำแผลอยู่ เลยชวนพวกผมไปดูพยาบาลทำแผลกัน
พวกผมก็ตามไปดู เห็นผู้ป่วยอยู่บนเตียง แขนใส่เฝือก ปักสายอะไรสักอย่างที่ดูดเลือดเข้าไปในถุงที่ห้อยอยู่ ที่ขามีอุปกรณ์ที่เป็นเหล็กปักอยู่ ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ที่เห็นชัดที่สุดคือ "นิ้วเท้าขาด"ครับ ผมเห็นเท้าของเขา นิ้วหายไป1นิ้ว แผลยังมีเลือดอยู่ พยาบาลอนุญาตให้พวกเราสังเกตการณ์ขณะทำแผลครับ ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอดูไปได้ 5 นาที ผมเริ่มหน้ามืด แล้วก็...
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหลับไป แล้วตื่นมาเจอกับภาพที่พยาบาลทุกคนในวอร์ดล้อมผมอยู่ "ห้ะ เกิดไรขึ้นวะ ทำไมผมมาอยู่ในท่านี้อะ แล้วทำไมทุกคนถึงมาล้อม ผมหลับไปอ่อ" ภาพที่ผมเห็นมันไม่ชัด ตาผมเหมือนหน้ามืดอยู่ตลอดเวลา แต่พอมองเห็นว่าพยาบาลกำลังพยุงผมไปนอนบนโซฟาในห้องพักพยาบาล "ผมเมาเลือด" ปื๊ดบอกว่า ผมหันหลังไปแล้วอยู่ดีๆก็ล้ม หัวโขกกำแพงเสียงดังทั้งวอร์ด จนพยาบาลทั้งวอร์ดต้องมาช่วยผม
ตอนนั้นผมทั้งมึนหัว เจ็บหัว มองเห็นไม่ชัด รวมทั้งอายแล้วก็รู้สึกผิดด้วย
ผมนอนบนโซฟา จิบน้ำแดงที่พยาบาลซึ่งเป็นแม่ของเพื่อนซื้อให้ แปะประคบเย็นไว้บนหัวตรงที่โขกกำแพง
ปื๊ด : อยากกินน้ำแดงบอกดีๆก็ได้เพื่อน
ผมทำได้แค่ยิ้มเพราะขำตัวเองที่อยู่ในสภาพนี้ แต่ผมเริ่มคิดแล้วว่า
"ชิหัยละ จะเป็นหมอฟัน แต่เมาเลือดแบบนี้ จะไหวไหมเนี่ย"
Day 7
ผมกลายเป็นคนดังครับ
พี่แม่บ้านทักผมตั้งแต่ตอนเดินเข้าวอร์ดเลย "เป็นไงบ้าง ยังเจ็บหัวอยู่ไหม" พยาบาลหลายคนก็ทักถามอาการผม ทุกวันนี้เขายังจำได้อยู่เลยครับ ล่าสุดเพื่อนผมไปฝึกแผนกนี้ พยาบาลยังบอกเพื่อนผมเลยว่าอย่าเป็นลมล้มหัวฟาดกำแพงเหมือนคิวล่ะ
-ผมคิดว่าตำนานนักเรียนฝึกงานเป็นลม น่าจะอยู่ไปอีกนาน
-น้านุช ญาติของผมที่เป็นพยาบาลแผนกนี้ได้ข่าวว่าเมื่อวานผมเป็นลม เลยให้พวกผมไปดูการทำแผลเล็กๆเพื่อเทสว่าผมจะเป็นลมอีกรึเปล่า ตอนดูนี่ เพื่อนเซฟผมทุกด้านเลยครับ ผมได้นั่งเก้าอี้ มีเพื่อนล้อมไว้กันผมล้ม "ฝากดูกูด้วยนะ ถ้ากูดาวน์ชุบกูด้วย" แต่สุดท้ายผมก็ไม่เป็นลมครับ ทุกอย่างราบรื่นดี
-ในส่วนของงาน ช่วงเช้าพวกเรานั่งว่างเลยครับ ในช่วงบ่ายพี่พยาบาลจะเอาผ้าเช็ดมือมาให้พวกเราพับก่อนเก็บใส่ถุง
Day 8
หอผู้ป่วยศัลกรรมหญิง
-พยาบาล : อ่าว นักเรียนคนนี้ไหมที่เป็นลมแผนกกระดูก
-ผมว่าทุกแผนกในตึกนี้น่าจะรู้จักผมแล้วแหละ ในฐานะนักเรียนเป็นลม
-แผนกนี้ว่างกว่าแผนกที่แล้วอีกครับ ช่วงเช้านั่งว่าง ช่วงบ่ายพับผ้าเหมือนเดิม
-ในตอนเที่ยง ตอนนั้นเป็นช่วงถือศีลกินเจ อาหารการกินเลยลำบากหน่อย นาวีไม่ลำบากเพราะเป็นอิสลาม ส่วนบะหมี่ ผมไม่แน่ใจว่าเขาเริ่มกินวันไหน เพราะมีวันนึงที่ผมกับปื๊ดกินอาหารเจกันอยู่ แล้วบะหมี่ก็สั่งไก่ทอดมากินยั่วผม
-ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้สนับสนุนคาเฟ่ที่ไปประจำ ผมจะซื้อน้ำเปล่าขวดนึง แล้วนั่งยาวๆ1ชั่วโมง เพราะอาหารเจที่นี่ราคาสูง ผมจ่ายไม่ไหว
-ระหว่างที่รอเข้างานผมก็นึกขึ้นเล่นๆ
คิว: ปื๊ด ที่นี่ขายน้ำเปล่าปั่นป่ะวะ
ปื๊ด : คนเชี่ไรกินน้ำเปล่าปั่น แต่ลองไปถามพนักงานดูดิเผื่อมี
ผมเลยเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วถามพี่เขาว่า "พี่ครับๆ มีน้ำเปล่าปั่นไหมครับ"
พี่คนแรก : ไม่มีค่ะ มีแต่น้ำเปล่า
พี่คนสอง : อะไรนะ น้ำเปล่าปั่น ถ้าน้องจะเอาพี่ทำให้ได้นะ แก้วละ 50 บาท
พี่แกก็ขำกัน แล้วผมก็เดินออกมา เพราะคิดว่าพี่แกตั้งราคาสูงเพราะไม่มีเมนูนี้แหละ
Day9 ตอนเช้า-บ่ายไม่มีอะไรเลยครับ
งั้นเดี๋ยวผมจะเล่าเหตุการณ์นึงที่จำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นวันไหนละกัน
-พยาบาลอายุรกรรมนึกได้ว่าพวกผมยังไม่ได้ฝึกวัดความดันแบบแมนนวล กับตรวจน้ำตาลในเลือด เลยพาพวกผมไปเรียน โดยจะใช้สเตทโตสโคปเครื่องวัดความดันแบบเป็นเสาเคลื่อนที่ได้ ปลอกแขนวัดความดัน
-อันดับแรกต้องพันแขนคนไข้ ให้สายตรงกับชีพจร
-หลังจากนั้นบีบลูกยาง ปลอกแขนจะพองขึ้นและรัดแขนคนไข้
-ใส่หูฟังแพทย์ ตรงที่ห้อยๆจะมี2ด้าน ด้านเล็กใช้กับเด็ก ด้านใหญ่ใช้กับผู้ใหญ่ ใช้ที่ห้อยๆนั่นทาบตรงที่ชีพจรคนไข้บริเวณข้อพับแขน
-ค่อยๆปล่อยลมออกจากปลอกแขน ฟังเสียงจากหูฟัง จำว่าได้ยินเสียงหัวใจครั้งแรกและครั้งสุดท้ายตอนความดันเท่าไร(ดูจากเครื่องวัดความดันที่เป็นเสาตั้งอยู่)
-วิธีวัดเท่าที่ผมจำได้มีแค่นี้ครับ ถ้าผิดขออภัยเป็นอย่างสูง
-นอกจากวัดความดันแล้ว เรายังได้ตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยครับ โดยผมจะให้กลุ่มของซันวา(นามสมมุติ)ฝึกให้ หนูทดลองคือเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มซันวานั่นแหละครับ น่าจะชื่อมอลโตส ผมเจาะนิ้วนางเขา บีบรีดเลือดให้หยดบนเครื่องวัดปริมาณน้ำตาลในเลือด แล้วก็วัดได้ครับ
-ทีนี้สลับกัน มอลโตสเจาะให้ผมบ้าง แต่เจาะเท่าไรเลือดผมก็ไม่ไหล โดนไป3จึ๊ก เจ็บ3รอบ เลือดก็ยังไม่ไหล(สงสัยผมหนังด้าน) เลยเจ็บฟรีครับ ไม่รู้ปริมาณน้ำตาลตัวเอง อดเช็คเบาหวานเลย
Day 10 วันสุดท้ายของการฝึกงาน
-ไม่มีอะไรทำเลยตั้งแต่เช้ายันเย็นครับ
-หลังจากผมกับเพื่อนทุกคนส่งรายงานการฝึกให้พี่พยาบาลเสร็จ เราก็แยกย้ายกันครับ ยกเว้นผมกับไอปื๊ด ไปดูธี่หยด2กันที่ห้างแถวนั้น
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะครับ
ขอปิดท้ายด้วยรูปเศษขนมที่ผมเอามาทำเป็นรูปหน้ายิ้มให้พี่พนักงานคาเฟ่ดูตอนเก็บจานละกันนะครับ