ทริปนี้มีเรื่องเล่า #Chapter 1# ผู้พิชิต "โมโกจู"
"ผมไม่ได้เลือก โ ม โ ก จู แต่ โ ม โ ก จู เลือกผม"
>> คำพูดนี้คงฮิตติดหูของหลายๆ คนที่ชื่นชอบ และหลงรักในการเดินป่า ผมเองก็เช่นกัน แต่ไม่รู้แหละว่า โมโกจู จะเป็นคนเลือก หรือเจ้าหน้าที่จะเป็นคนเลือก วันนี้ผมก็มีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง….

>> ผมก็จะขอเล่าถึงประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสไปพิชิตเส้นทางเดินป่าที่หลายๆ คนต้องรู้จัก และหลายๆ คนใฝ่ฝันว่าต้องมาพิชิตให้ได้สักครั้งในชีวิต ถึงแม้ที่แห่งนี้จะไม่ได้เป็นเส้นทางเดินป่าที่ไกลที่สุด หรือลำบากที่สุด หรือใช้เวลายาวนานที่สุด แต่หลายๆ คนก็อยากมาสักครั้ง ซึ่งผมเองก็เช่นกัน ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าจะมาที่นี่สักครั้ง และปิดทริปการเดินป่า แต่เหมือนว่าใจมันเรียกร้อง และอยากลองดูว่าถ้าตอนนี้เราสมัครจะเป็นผู้ถูกเล่ากับเขาไหม เพราะผมก็ยังไม่คิดจะเลิกเดินป่า ณ ตอนนี้หรอก
>> ผมว่ามนต์เสน่ห์ที่แท้จริงอีกอย่างของการได้มาที่แห่งนี้นอกเหนือจากการได้ขึ้นไปพิชิต "หินเรือใบ" ที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ ณ ที่สุดปลายทางของทริป ก็คงเป็นการที่ทุกคนต้องแข่งขันแย่งชิงเพื่อให้ได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือกนั่นเอง ทั้งประสบการณ์เดินป่า ทั้งการออกกำลังกาย และสภาพร่างกาย (จริง หรือภาพถ่าย) ทั้งการบรรยายพรรณนาความต้องการมาโมโกจูต่างๆ นาๆ เป็นดั่งนักกวี เพียงเพื่อหวังว่าให้โดนใจเจ้าหน้าที่ และได้คณะสงสารช่วย แต่สุดท้ายนอกเหนือจากสิ่งที่ว่ามา ผมว่าสิ่งหนึ่งที่มีส่วนมากอีกอย่างก็คือดวงนี่ล่ะ เพราะถ้าคุณเลือกลงรอบเดินในรอบที่มีคนสมัครเยอะ รอบที่มีผูสมัครประสบการณ์ต่างๆ เยอะ คุณก็ต้องแข่งขันกับคนมากหน่อย และมีโอกาสไม่ได้รับเลือกสูง บางคนสมัครหลายครั้งก็ไม่ได้รับเลือกสักที บางคนสมัครรอบแรกก็ได้รับเลือกเลยก็ได้ อย่างผมนี่ไง อิอิ
>> นอกเรื่องอีกนิด ก่อนจะเข้าเรื่องของผมกัน เรามารู้จัก "โมโกจู" กันก่อน
ยอดเขาโมโกจู เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ที่ความสูง 1964 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล คำว่า “โมโกจู” เป็นภาษากระเหรี่ยง แปลว่า “คล้ายว่าฝนจะตก” เพราะยอดเขานี้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกตลอดเวลา ในการเดินทางเพื่อพิชิตยอดเขาโมโกจูต้องใช้เวลาเดินทางจากที่ทำการฯ ไป-กลับ 5 วัน 4 คืน ระยะทางประมาณ 64 กิโลเมตร แต่จะมีระยะทางห่างจากที่ทำการฯ ประมาณ 29 กิโลเมตร
>> เริ่มได้สักที ก่อนอื่นเลย ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาที่ โมโกจู ในปี 2568 นี่หรอกนะ เพราะตอนแรกก็คิดว่าตัวเองยังประสบการณ์น้อยอยู่ และยังอยากเที่ยวที่อื่นๆ ก่อน อีกอยากใจก็อยากมากับเพื่อที่เดินป่าด้วยกัน แต่เพื่อนก็ยังมีประสบการณ์น้อยกว่าผมอีก แต่พอประมาณสักเดือนสิงหาคม หรือกันยายน 2567 นี่แหละที่ผมได้เห็นเขาแชร์มาใน Facebook ว่าช่วงวันที่ 7-11 ตุลาคม 2567 อุทยานแห่งชาติแม่วงก์จะเปิดรับสมัครคัดเลือกเดินป่าระยะไกลพิชิตยอดเขาโมโกจู ตอนนั้นแหละผมเลยคิดว่าอยากลองสมัครดู ผมก็ลองชวนเพื่อนคนอื่นดูแต่ก็ไม่มีใครสนใจสมัครกับผมเลย ผมเลยคิดว่าจะลองสมัครคนเดียวดู และก็เริ่มตั้งใจออกกำลังกาย เพื่อเก็บระยะทาง และภาพถ่ายมาใช้ประกอบการสมัคร ซึ่งคิดว่าก่อนสมัครสัก 1 เดือน จะวิ่งวันละ 4 กิโลเมตร อย่างน้อยสัก 4 วัน/สัปดาห์ ที่ไหนได้สรุปคือ ได้วิ่งอยู่ 3 วัน 55555
>> ซึ่งทริปโมโกจู มีทั้งหมด 15 รอบ จำกัดนักท่องเที่ยวไว้รอบละ 25 คน โดยแบ่งเป็นกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา 2 รอบ ที่จะเริ่มเดินก่อนเพื่อเคลียร์เส้นทาง และพื้นที่ตั้งแคมป์ และกิจกรรมเดินป่าปกติ 13 รอบ โดยจะเริ่มเดินตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 ไปถึงช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ทุกสัปดาห์ และทุกวันอังคาร-วันเสาร์ ระยะเวลาประกอบกิจกรรมฯ มีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์นําทางท่องเที่ยว และดูแลความปลอดภัยจำนวนไม่น้อยกว่า 5 คน/ทริป มีลูกหาบสําหรับให้บริการนักท่องเที่ยวจํานวน 4 คน/ทริป หาบสัมภาระส่วนกลางเท่านั้น เช่น วัตถุดิบประกอบอาหาร อุปกรณ์สําหรับประกอบอาหาร เป็นต้น กําหนดน้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม/ลูกหาบ1คน/ตลอดทริป หากน้ำหนักเกิน 80 กิโลกรัม/ทริป คิดกิโลกรัมละ 100 บาท/วัน
>> มาดูรายละเอียด เอกสารที่ต้องเตรียม และคุณสมบัติที่จะทำให้คุณ ได้คะแนนสูงสุด (คะแนนเต็ม 100%) ใช้ในการสมัคร โมโกจู กันว่ามีอะไรบ้างเอย
1. หนังสือยินยอมการเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา/กิจกรรมเส้นทางเดินป่าระยะไกลยอดเขาโมโกจู อันนี้ดาวน์โหลดจากเพจ facebook ของอุทยานในวันเปิดรับสมัครมากรอกข้อมูลได้เลย
2. อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์
3. หลักฐานแสดงว่าเราเป็นผู้มีประสบการณ์ในการเดินป่าระยะไกล พร้อมแสดงหลักฐานแนบ เช่น ใบประกาศนียบัตรการเดินป่า บัตรผ่านการอบรมโรงเรียนนักเดินป่า ภาพถ่ายที่ยืนยันได้ว่าผ่านการเดินป่าในเส้นทางดินป่านั้นๆ (ในรูปแบบไฟล์ .pdf จํานวน 1 ไฟล์ เท่านั้น) (คะแนนการพิจารณา ร้อยละ 70) บอกเลยว่าเส้นทางเดินป่าใกล้ไกล ง่ายยาก ผมเอามาลงให้หมด
4. หลักฐานแสดงว่าเป็นผู้มีสมรรถนะร่างกายที่แข็งแรง เป็นนักกีฬา ไตรกีฬา นักกีฬาวิ่งเทรล หรืออื่นๆ (ระบุประเภท) พร้อมแสดงหลักฐานแนบ เช่น บัตรนักกีฬา เอกสารยืนยันการเข้าร่วมการแข่งกีฬา รวมถึงเป็นผู้ที่ออกกําลังกายเป็นประจําสม่ำเสมอ พร้อมแสดงหลักฐานแนบ เช่น ภาพถ่ายการออกกําลังกายเป็นประจําสม่ำเสมอ (ในรูปแบบไฟล์ .pdf จํานวน 1 ไฟล์ เท่านั้น) (คะแนนการพิจารณา ร้อยละ 20) อันนี้คือ ผมไม่มีเลยนอกจากการออกกำลังกาย 3 วันก่อนสมัคร แต่ทำเหมือนออกทุกวันมาเป็นปี 5555 อยากบอกเจ้าหน้าที่นะ
5. ใบรับรองแพทย์ระบุการมีประวัติสุขภาพที่แข็งแรง ไม่มีโรคประจําตัว และไม่มีโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการเดินป่า เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคลมชัก โรคหืดหอบ โรคที่เกี่ยวข้องกับข้อเข่าโรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง โรคความดัน และโรคที่เกี่ยวข้องกับสารเสพติดทุกชนิด (ในรูปแบบไฟล์ .pdf จํานวน 1 ไฟล์ เท่านั้น)
6. อื่นๆ เช่น เหตุผล หรือทัศนคติในการเดินป่า (ตามดุลพินิจของคณะทํางานกิจกรรมเส้นทางเดินป่าระยะไกลยอดเขาโมโกจู) (คะแนนการพิจารณา ร้อยละ 10) อันนี้คือการบรรยายของเรานั่นละว่าทำไมถึงอยากไปโมโกจู บอกเลยว่าต้องใช้จิตวิญญานสุนทรภู่เข้าช่วยแล้ว บรรยายพรรณนาแบบจัดเต็มไปเลย แอบขอคะแนนสงสารด้วย
7. ลําดับการสมัคร ก่อน-หลัง (กรณีที่คะแนนเท่ากัน ผู้สมัครก่อนจะได้รับการพิจารณาก่อนผู้ที่สมัครทีหลัง) อันนี้ยิ่งสมัครเร็วไว้ยิ่งดี
8. ต้องไม่เป็นผู้ที่ผ่านกิจกรรมเส้นทางเดินป่าระยะไกลยอดเขาโมโกจู ในปีที่ผ่านมา คือไม่สามารถสมัครเดินต่อเนื่องกันได้ ถ้าเราไปเดินปีที่ผ่านมาเราต้องเว้น 1 ปีก่อนสมัครเดินได้ใหม่
>> สอบถามได้ที่เบอร์ 080-1940072
>> หลังจากที่เช็คคุณสมบัติเราได้ และเอกสารพร้อมก็ได้เวลากรอกข้อมูลลงใบสมัครใน Google Form ที่จะมีลิงค์ขึ้น หรือให้สแกนในวันที่เปิดรับสมัครได้เลย โดยเราต้องอัพโหลดเอกสารเข้าไปพร้อมกับใบสมัคร
>> จากนั่นก็ถึงเวลาตื่นเต้นที่ต้องรออีก 6 วัน ที่จะประกาศผลคัดเลือกในวันที่ 16 ตุลาคม 2567 ซึ่งวันนั้นแบบว่าล้นมากๆ โดยผมเองเลือกลงรอบเดินปกติ รอบรองสุดท้ายก่อนปิดทริปช่วงปลายเดือนมกราคม เพราะมีวันหยุดยาวช่วงนั่นพอดี พอผลประกาศออกแบบว่าดีใจมากๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ในครั้งแรกที่สมัครเลย แต่ใจก็แอบคิดว่าต้องได้สิ แต่ลำดับก็อยู่เกือบท้ายๆ ของรอบเลย ลำดับที่ 18 และมีคนสำรองด้วย ก็คือคนที่สมัครแข่งในรอบเดียวกัน บ้างรอบนี่มีการแข็งขันสูงน่าดูเลย ก็จะเป็นรอบช่วงปีใหม่นั่นล่ะ
>> พอผ่านการคัดเลือกแล้วก็ได้เวลาชำระเงินเพื่อยืนยันการเข้าร่วมแล้วสินะ ซึ่งก็เป็นช่วงที่คนสำรองรอโอกาสที่ผู้ถูกเลือกจะสละสิทธิ์ และเข้าเสียบแทน ซึ่งปีงบประมาณ 2568 ต้องชำระค่าเดินป่ารวม 3,200 บาท แต่ละปีอาจเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีรายละเอียดค่าใช้จ่าย ดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายที่ต้องชําระล่วงหน้า เฉลี่ยคนละ 3,200 บาท ประกอบด้วย
#ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่นําทาง 1,000 บาท
#ค่ารถนําส่ง (รับ-ส่ง) 500 บาท
#ค่าตอบแทนบุคคลช่วยงานบริการท่องเที่ยว (ลูกหาบ) 500 บาท
#ค่าจัดการขยะภายในอุทยานแห่งชาติ 300 บาท
#ค่าพักค้างแรมในอุทยานแห่งชาติ จํานวน 4 คืน 120 บาท/คน
#ค่าใบประกาศนียบัตร ของที่ระลึก 500 บาท
#ค่าดําเนินงานกิจกรรมฯ 280 บาท
ไม่รวมค่าอาหารตลอดกิจกรรมฯ (นักท่องเที่ยวต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ อาหาร และน้ำดื่มมาด้วยตนเอง)
2. ค่าใช้จ่ายที่ต้องชําระในวันที่เดินทางมาถึงอุทยานแห่งชาติแม่วงก์
#ค่าเข้าอุทยาน 40 บาท
#ค่ารถจักรยานยนต์ 20 บาท/คัน รถยนต์4 ล้อ 30 บาท/คัน
#ค่าประกันอุบัติเหตุ 10 บาท ณ ด่านเก็บค่าบริการ กม.57
>> ผมไม่รอช้ารีบจ่ายเงินทันที และก็นับวันรอให้ถึงวันออกเดินทางเริ่มทริปเร็วๆ วันที่ 28 มกราคม-1 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งในระหว่างนั้นเรากลุ่มทริป โมโกจู T12-2025 ก็มีคุยกันในกลุ่มเพื่อตกลงเรื่องอาหารระหว่างทริป และการเดินทาง ซึ่งผมต้องการความสะดวก และง่ายๆ จึงตัดสินใจเดินทางไปเองคนเดียว เพราะต้องการเที่ยวต่อหลังจบทริป และนำอาหารไปกินเอง ไม่กินที่กองกลางที่ให้เจ้าหน้าที่ และลูกหาบทำอาหารให้ แต่เราก็ต้องร่วมกันจัดอาหาร และออกเงินซื้อวัตถุดิบเพื่อให้ลูกหาบทั้ง 4 คน ตลอดทริป 5 วัน ด้วย
>> พอถึงวันเดินทางวันที่ 27 มกราคม เนื่องจากเราต้องรวมพล และเข้าอบรมก่อนลุยทริปโมโกจู เวลา 08.00 น. ของวันที่ 28 หลังเลิกงานผมก็เก็บของขึ้นรถ และขับรถออกเดินทางตอน 2 ทุ่ม จากสมุทรปราการมุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชม. ซึ่งผมคิดว่าจะถึงประมาณตอนตีหนึ่ง และจะนอนรอตรงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจนเช้า

>> หลังจากขับรถยิงยาวมาเรื่อยๆ ไม่ต้องหลับต้องนอน ประมาณ 01.20 น. ผมก็มาถึงด่านตรวจ กม.57 และเดินลงรถไปที่ป้อมเพื่อชำระค่าเข้า และค่าประกันอุบัติเหตุ แต่ป้อมก็ปิดไฟเงียบ ได้ยินแต่เสียงเจ้าหน้าที่นอนกรน และเสียงลม หลังจากเรียกเจ้าหน้าที่อยู่ 4-5 ครั้ง และไร้เสียงตอบรับ ผมเลยตัดสินใจขับรถผ่านเข้าไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเลย แบบว่าเส้นทางเข้ามาคือมืด และวังเวน่ากลัวมาก สิ่งที่ผมกลัวก็คือ พี่ใหญ่ช้างป่านั่นเอง

>> พอขับรเข้ามาถึงที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตอนเกือบตีสอง บรรยากาศคือ อากาศค่อนข้างหนาว ลมแรง และเงียบมากๆ ไม่มีใครให้เห็นเลย ผมเลยนำเสื่อ หมอน และผ้าห่มไปปูนอนอยู่บริเวณด้านหลังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพราะเห็นว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้า เลยไม่อยากกางเต็นท์ สรุปคือ นอนก็ไม่หลับ เพราะมีพุ่มไม้ข้างๆ กลัวงูกัดหัว และก็หนาวด้วย

>> พอประมาณหกโมงเช้าผมก็เก็บที่นอน และไปอาบน้ำให้ตาสว่าง ก่อนที่จะไปเดินชมบรรยากาศ และกินขนมเป็นอาหารมื้อเช้า ในระหว่างที่รอเรียกเข้าห้องอบรมตอน 8 โมงเช้า
[CR] ทริปนี้มีเรื่องมาเล่า #ตอน1 พิชิตหินเรือใบ "โมโกจู" 5 วัน 4 คืน 64 กิโล
"ผมไม่ได้เลือก โ ม โ ก จู แต่ โ ม โ ก จู เลือกผม"
>> คำพูดนี้คงฮิตติดหูของหลายๆ คนที่ชื่นชอบ และหลงรักในการเดินป่า ผมเองก็เช่นกัน แต่ไม่รู้แหละว่า โมโกจู จะเป็นคนเลือก หรือเจ้าหน้าที่จะเป็นคนเลือก วันนี้ผมก็มีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง….
>> ผมก็จะขอเล่าถึงประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสไปพิชิตเส้นทางเดินป่าที่หลายๆ คนต้องรู้จัก และหลายๆ คนใฝ่ฝันว่าต้องมาพิชิตให้ได้สักครั้งในชีวิต ถึงแม้ที่แห่งนี้จะไม่ได้เป็นเส้นทางเดินป่าที่ไกลที่สุด หรือลำบากที่สุด หรือใช้เวลายาวนานที่สุด แต่หลายๆ คนก็อยากมาสักครั้ง ซึ่งผมเองก็เช่นกัน ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าจะมาที่นี่สักครั้ง และปิดทริปการเดินป่า แต่เหมือนว่าใจมันเรียกร้อง และอยากลองดูว่าถ้าตอนนี้เราสมัครจะเป็นผู้ถูกเล่ากับเขาไหม เพราะผมก็ยังไม่คิดจะเลิกเดินป่า ณ ตอนนี้หรอก
>> ผมว่ามนต์เสน่ห์ที่แท้จริงอีกอย่างของการได้มาที่แห่งนี้นอกเหนือจากการได้ขึ้นไปพิชิต "หินเรือใบ" ที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ ณ ที่สุดปลายทางของทริป ก็คงเป็นการที่ทุกคนต้องแข่งขันแย่งชิงเพื่อให้ได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือกนั่นเอง ทั้งประสบการณ์เดินป่า ทั้งการออกกำลังกาย และสภาพร่างกาย (จริง หรือภาพถ่าย) ทั้งการบรรยายพรรณนาความต้องการมาโมโกจูต่างๆ นาๆ เป็นดั่งนักกวี เพียงเพื่อหวังว่าให้โดนใจเจ้าหน้าที่ และได้คณะสงสารช่วย แต่สุดท้ายนอกเหนือจากสิ่งที่ว่ามา ผมว่าสิ่งหนึ่งที่มีส่วนมากอีกอย่างก็คือดวงนี่ล่ะ เพราะถ้าคุณเลือกลงรอบเดินในรอบที่มีคนสมัครเยอะ รอบที่มีผูสมัครประสบการณ์ต่างๆ เยอะ คุณก็ต้องแข่งขันกับคนมากหน่อย และมีโอกาสไม่ได้รับเลือกสูง บางคนสมัครหลายครั้งก็ไม่ได้รับเลือกสักที บางคนสมัครรอบแรกก็ได้รับเลือกเลยก็ได้ อย่างผมนี่ไง อิอิ
>> นอกเรื่องอีกนิด ก่อนจะเข้าเรื่องของผมกัน เรามารู้จัก "โมโกจู" กันก่อน
ยอดเขาโมโกจู เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ที่ความสูง 1964 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล คำว่า “โมโกจู” เป็นภาษากระเหรี่ยง แปลว่า “คล้ายว่าฝนจะตก” เพราะยอดเขานี้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกตลอดเวลา ในการเดินทางเพื่อพิชิตยอดเขาโมโกจูต้องใช้เวลาเดินทางจากที่ทำการฯ ไป-กลับ 5 วัน 4 คืน ระยะทางประมาณ 64 กิโลเมตร แต่จะมีระยะทางห่างจากที่ทำการฯ ประมาณ 29 กิโลเมตร
>> เริ่มได้สักที ก่อนอื่นเลย ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาที่ โมโกจู ในปี 2568 นี่หรอกนะ เพราะตอนแรกก็คิดว่าตัวเองยังประสบการณ์น้อยอยู่ และยังอยากเที่ยวที่อื่นๆ ก่อน อีกอยากใจก็อยากมากับเพื่อที่เดินป่าด้วยกัน แต่เพื่อนก็ยังมีประสบการณ์น้อยกว่าผมอีก แต่พอประมาณสักเดือนสิงหาคม หรือกันยายน 2567 นี่แหละที่ผมได้เห็นเขาแชร์มาใน Facebook ว่าช่วงวันที่ 7-11 ตุลาคม 2567 อุทยานแห่งชาติแม่วงก์จะเปิดรับสมัครคัดเลือกเดินป่าระยะไกลพิชิตยอดเขาโมโกจู ตอนนั้นแหละผมเลยคิดว่าอยากลองสมัครดู ผมก็ลองชวนเพื่อนคนอื่นดูแต่ก็ไม่มีใครสนใจสมัครกับผมเลย ผมเลยคิดว่าจะลองสมัครคนเดียวดู และก็เริ่มตั้งใจออกกำลังกาย เพื่อเก็บระยะทาง และภาพถ่ายมาใช้ประกอบการสมัคร ซึ่งคิดว่าก่อนสมัครสัก 1 เดือน จะวิ่งวันละ 4 กิโลเมตร อย่างน้อยสัก 4 วัน/สัปดาห์ ที่ไหนได้สรุปคือ ได้วิ่งอยู่ 3 วัน 55555
>> ซึ่งทริปโมโกจู มีทั้งหมด 15 รอบ จำกัดนักท่องเที่ยวไว้รอบละ 25 คน โดยแบ่งเป็นกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา 2 รอบ ที่จะเริ่มเดินก่อนเพื่อเคลียร์เส้นทาง และพื้นที่ตั้งแคมป์ และกิจกรรมเดินป่าปกติ 13 รอบ โดยจะเริ่มเดินตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 ไปถึงช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ทุกสัปดาห์ และทุกวันอังคาร-วันเสาร์ ระยะเวลาประกอบกิจกรรมฯ มีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์นําทางท่องเที่ยว และดูแลความปลอดภัยจำนวนไม่น้อยกว่า 5 คน/ทริป มีลูกหาบสําหรับให้บริการนักท่องเที่ยวจํานวน 4 คน/ทริป หาบสัมภาระส่วนกลางเท่านั้น เช่น วัตถุดิบประกอบอาหาร อุปกรณ์สําหรับประกอบอาหาร เป็นต้น กําหนดน้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม/ลูกหาบ1คน/ตลอดทริป หากน้ำหนักเกิน 80 กิโลกรัม/ทริป คิดกิโลกรัมละ 100 บาท/วัน
>> มาดูรายละเอียด เอกสารที่ต้องเตรียม และคุณสมบัติที่จะทำให้คุณ ได้คะแนนสูงสุด (คะแนนเต็ม 100%) ใช้ในการสมัคร โมโกจู กันว่ามีอะไรบ้างเอย
1. หนังสือยินยอมการเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา/กิจกรรมเส้นทางเดินป่าระยะไกลยอดเขาโมโกจู อันนี้ดาวน์โหลดจากเพจ facebook ของอุทยานในวันเปิดรับสมัครมากรอกข้อมูลได้เลย
2. อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์
3. หลักฐานแสดงว่าเราเป็นผู้มีประสบการณ์ในการเดินป่าระยะไกล พร้อมแสดงหลักฐานแนบ เช่น ใบประกาศนียบัตรการเดินป่า บัตรผ่านการอบรมโรงเรียนนักเดินป่า ภาพถ่ายที่ยืนยันได้ว่าผ่านการเดินป่าในเส้นทางดินป่านั้นๆ (ในรูปแบบไฟล์ .pdf จํานวน 1 ไฟล์ เท่านั้น) (คะแนนการพิจารณา ร้อยละ 70) บอกเลยว่าเส้นทางเดินป่าใกล้ไกล ง่ายยาก ผมเอามาลงให้หมด
4. หลักฐานแสดงว่าเป็นผู้มีสมรรถนะร่างกายที่แข็งแรง เป็นนักกีฬา ไตรกีฬา นักกีฬาวิ่งเทรล หรืออื่นๆ (ระบุประเภท) พร้อมแสดงหลักฐานแนบ เช่น บัตรนักกีฬา เอกสารยืนยันการเข้าร่วมการแข่งกีฬา รวมถึงเป็นผู้ที่ออกกําลังกายเป็นประจําสม่ำเสมอ พร้อมแสดงหลักฐานแนบ เช่น ภาพถ่ายการออกกําลังกายเป็นประจําสม่ำเสมอ (ในรูปแบบไฟล์ .pdf จํานวน 1 ไฟล์ เท่านั้น) (คะแนนการพิจารณา ร้อยละ 20) อันนี้คือ ผมไม่มีเลยนอกจากการออกกำลังกาย 3 วันก่อนสมัคร แต่ทำเหมือนออกทุกวันมาเป็นปี 5555 อยากบอกเจ้าหน้าที่นะ
5. ใบรับรองแพทย์ระบุการมีประวัติสุขภาพที่แข็งแรง ไม่มีโรคประจําตัว และไม่มีโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการเดินป่า เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคลมชัก โรคหืดหอบ โรคที่เกี่ยวข้องกับข้อเข่าโรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง โรคความดัน และโรคที่เกี่ยวข้องกับสารเสพติดทุกชนิด (ในรูปแบบไฟล์ .pdf จํานวน 1 ไฟล์ เท่านั้น)
6. อื่นๆ เช่น เหตุผล หรือทัศนคติในการเดินป่า (ตามดุลพินิจของคณะทํางานกิจกรรมเส้นทางเดินป่าระยะไกลยอดเขาโมโกจู) (คะแนนการพิจารณา ร้อยละ 10) อันนี้คือการบรรยายของเรานั่นละว่าทำไมถึงอยากไปโมโกจู บอกเลยว่าต้องใช้จิตวิญญานสุนทรภู่เข้าช่วยแล้ว บรรยายพรรณนาแบบจัดเต็มไปเลย แอบขอคะแนนสงสารด้วย
7. ลําดับการสมัคร ก่อน-หลัง (กรณีที่คะแนนเท่ากัน ผู้สมัครก่อนจะได้รับการพิจารณาก่อนผู้ที่สมัครทีหลัง) อันนี้ยิ่งสมัครเร็วไว้ยิ่งดี
8. ต้องไม่เป็นผู้ที่ผ่านกิจกรรมเส้นทางเดินป่าระยะไกลยอดเขาโมโกจู ในปีที่ผ่านมา คือไม่สามารถสมัครเดินต่อเนื่องกันได้ ถ้าเราไปเดินปีที่ผ่านมาเราต้องเว้น 1 ปีก่อนสมัครเดินได้ใหม่
>> สอบถามได้ที่เบอร์ 080-1940072
>> หลังจากที่เช็คคุณสมบัติเราได้ และเอกสารพร้อมก็ได้เวลากรอกข้อมูลลงใบสมัครใน Google Form ที่จะมีลิงค์ขึ้น หรือให้สแกนในวันที่เปิดรับสมัครได้เลย โดยเราต้องอัพโหลดเอกสารเข้าไปพร้อมกับใบสมัคร
>> จากนั่นก็ถึงเวลาตื่นเต้นที่ต้องรออีก 6 วัน ที่จะประกาศผลคัดเลือกในวันที่ 16 ตุลาคม 2567 ซึ่งวันนั้นแบบว่าล้นมากๆ โดยผมเองเลือกลงรอบเดินปกติ รอบรองสุดท้ายก่อนปิดทริปช่วงปลายเดือนมกราคม เพราะมีวันหยุดยาวช่วงนั่นพอดี พอผลประกาศออกแบบว่าดีใจมากๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ในครั้งแรกที่สมัครเลย แต่ใจก็แอบคิดว่าต้องได้สิ แต่ลำดับก็อยู่เกือบท้ายๆ ของรอบเลย ลำดับที่ 18 และมีคนสำรองด้วย ก็คือคนที่สมัครแข่งในรอบเดียวกัน บ้างรอบนี่มีการแข็งขันสูงน่าดูเลย ก็จะเป็นรอบช่วงปีใหม่นั่นล่ะ
>> พอผ่านการคัดเลือกแล้วก็ได้เวลาชำระเงินเพื่อยืนยันการเข้าร่วมแล้วสินะ ซึ่งก็เป็นช่วงที่คนสำรองรอโอกาสที่ผู้ถูกเลือกจะสละสิทธิ์ และเข้าเสียบแทน ซึ่งปีงบประมาณ 2568 ต้องชำระค่าเดินป่ารวม 3,200 บาท แต่ละปีอาจเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีรายละเอียดค่าใช้จ่าย ดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายที่ต้องชําระล่วงหน้า เฉลี่ยคนละ 3,200 บาท ประกอบด้วย
#ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่นําทาง 1,000 บาท
#ค่ารถนําส่ง (รับ-ส่ง) 500 บาท
#ค่าตอบแทนบุคคลช่วยงานบริการท่องเที่ยว (ลูกหาบ) 500 บาท
#ค่าจัดการขยะภายในอุทยานแห่งชาติ 300 บาท
#ค่าพักค้างแรมในอุทยานแห่งชาติ จํานวน 4 คืน 120 บาท/คน
#ค่าใบประกาศนียบัตร ของที่ระลึก 500 บาท
#ค่าดําเนินงานกิจกรรมฯ 280 บาท
ไม่รวมค่าอาหารตลอดกิจกรรมฯ (นักท่องเที่ยวต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ อาหาร และน้ำดื่มมาด้วยตนเอง)
2. ค่าใช้จ่ายที่ต้องชําระในวันที่เดินทางมาถึงอุทยานแห่งชาติแม่วงก์
#ค่าเข้าอุทยาน 40 บาท
#ค่ารถจักรยานยนต์ 20 บาท/คัน รถยนต์4 ล้อ 30 บาท/คัน
#ค่าประกันอุบัติเหตุ 10 บาท ณ ด่านเก็บค่าบริการ กม.57
>> ผมไม่รอช้ารีบจ่ายเงินทันที และก็นับวันรอให้ถึงวันออกเดินทางเริ่มทริปเร็วๆ วันที่ 28 มกราคม-1 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งในระหว่างนั้นเรากลุ่มทริป โมโกจู T12-2025 ก็มีคุยกันในกลุ่มเพื่อตกลงเรื่องอาหารระหว่างทริป และการเดินทาง ซึ่งผมต้องการความสะดวก และง่ายๆ จึงตัดสินใจเดินทางไปเองคนเดียว เพราะต้องการเที่ยวต่อหลังจบทริป และนำอาหารไปกินเอง ไม่กินที่กองกลางที่ให้เจ้าหน้าที่ และลูกหาบทำอาหารให้ แต่เราก็ต้องร่วมกันจัดอาหาร และออกเงินซื้อวัตถุดิบเพื่อให้ลูกหาบทั้ง 4 คน ตลอดทริป 5 วัน ด้วย
>> พอถึงวันเดินทางวันที่ 27 มกราคม เนื่องจากเราต้องรวมพล และเข้าอบรมก่อนลุยทริปโมโกจู เวลา 08.00 น. ของวันที่ 28 หลังเลิกงานผมก็เก็บของขึ้นรถ และขับรถออกเดินทางตอน 2 ทุ่ม จากสมุทรปราการมุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชม. ซึ่งผมคิดว่าจะถึงประมาณตอนตีหนึ่ง และจะนอนรอตรงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจนเช้า
>> หลังจากขับรถยิงยาวมาเรื่อยๆ ไม่ต้องหลับต้องนอน ประมาณ 01.20 น. ผมก็มาถึงด่านตรวจ กม.57 และเดินลงรถไปที่ป้อมเพื่อชำระค่าเข้า และค่าประกันอุบัติเหตุ แต่ป้อมก็ปิดไฟเงียบ ได้ยินแต่เสียงเจ้าหน้าที่นอนกรน และเสียงลม หลังจากเรียกเจ้าหน้าที่อยู่ 4-5 ครั้ง และไร้เสียงตอบรับ ผมเลยตัดสินใจขับรถผ่านเข้าไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเลย แบบว่าเส้นทางเข้ามาคือมืด และวังเวน่ากลัวมาก สิ่งที่ผมกลัวก็คือ พี่ใหญ่ช้างป่านั่นเอง
>> พอขับรเข้ามาถึงที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตอนเกือบตีสอง บรรยากาศคือ อากาศค่อนข้างหนาว ลมแรง และเงียบมากๆ ไม่มีใครให้เห็นเลย ผมเลยนำเสื่อ หมอน และผ้าห่มไปปูนอนอยู่บริเวณด้านหลังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพราะเห็นว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้า เลยไม่อยากกางเต็นท์ สรุปคือ นอนก็ไม่หลับ เพราะมีพุ่มไม้ข้างๆ กลัวงูกัดหัว และก็หนาวด้วย
>> พอประมาณหกโมงเช้าผมก็เก็บที่นอน และไปอาบน้ำให้ตาสว่าง ก่อนที่จะไปเดินชมบรรยากาศ และกินขนมเป็นอาหารมื้อเช้า ในระหว่างที่รอเรียกเข้าห้องอบรมตอน 8 โมงเช้า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้