สำหรับผมอายุ 20 การออมเงินเฉย ๆ ยากที่สุด

ขอแนะนำตัวก่อนครับ ผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย อายุย่างเข้า 21 ปีที่บ้านฐานะปานกลาง
กระทู้นี้ไม่ได้มีสาระอะไรครับ แค่จะมาแชร์ประสบการณ์การเงินส่วนตัวแต่เล็กจนโต

ผมเป็นคนนึงที่เข้มงวดกับเรื่องเงินมาก ๆ ตั้งแต่จำความได้ ตอนประถม เวลาจะซื้ออะไรผมคิดตลอดแม้ไม่ใช่เงินตัวเองยกตัวอย่างเช่น พ่อจะซื้อของเล่นให้เพราะผมได้เกรด 4 ผมก็จะคิดว่า
ความรู้สึกตอนที่อยากได้เป็นยังไง > ความรู้สึกตอนได้มันแล้วเป็นยังไง > ผ่านไปซักพักหลังจากซื้อแล้วจะเบื่อเล่นมันไหม แล้วมันคุ้มไหม
จนสุดท้ายมันก็จะกลายเป็นเงินเก็บครับ
ของเล่นร้อยละ 70 ในบ้านผมไม่ได้มาจากเงินพ่อและแม่ ผมจะได้ของเล่นต่อจากลูกพี่ลูกน้องที่โตขึ้นแล้ว หรือจากญาติคนที่เอ็นดูผมซื้อให้เท่านั้น

ผมได้นิสัยนี้มาจากการเลี้ยงดูทางบ้าน แต่ผมไม่รู้สึกขาดหรืออิจฉาใคร ผมไม่เคยได้ยินคำสอนจากปากพ่อแม่เรื่องให้ประหยัดหรือขี้เหนียว มันเป็นนิสัยที่เกิดในใจผมเองโดยผมเต็มใจ
และผมมักจะได้ของขวัญจากคนรอบตัวถ้าผมทำตัวดี หรือถ้าเรียนเก่งสอบชิงรางวัลได้อยู่แล้ว

พอขึ้นมัธยม ต้องยอมรับว่าผมไม่กล้าออกจาก comfortzone ไม่กล้าแม้ไปจ่ายตลาดคนเดียว หรือจะขายของออนไลน์อะไรหน้ากล้องแน่ ๆ (ตอนนั้นมันไม่เท่ เพื่อนคงล้อตายเลย) แต่ก็โชคดีที่มีเพื่อนรอบตัวสรรหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มาให้ผมได้ชิมลางบ้างเสมอ เช่น ประกวดหนังสั้น,ประกวดโฆษณาโบ๊ ๆ เบ๊ ๆ ไป เงินรางวัลหลักพันต้น-พันกลาง ๆ ที้เวลาหารกันห้าหกคนก็ยังพอให้ยิ้มได้
ฝีมือเราไม่ค่อยมี จึงมักส่งรายการที่การแข่งขันน้อยคนไม่รู้จักเสมอ (ฮา)

อายุ 15 ผมกับเพื่อนน่าจะเป็นคนไทยกลุ่มแรก  ๆ ที่ถือครองคริปโต ผ่านช่องทางที่ได้มาอย่างยากลำบาก (เหมือนว่าตอนนั้นก็มี Satang Pro, Bitkub อะไรแล้ว แต่การมีวอลเล็ตเองและซื้อขายกันแบบ P2P สมัยรัฐบาลยังไม่แบน Paypal มันเท่กว่าเสมอ)
ใช่ครับ ด้วยเงินหลังตู้เย็นที่ซื้อวันนั้น (ไม่ถึงหมื่น) **ถ้าผมไม่ขายหมู** อย่าว่าแต่เรียนจบ ป.โท
ผมอาจจะสามารถซื้อรถมาขับหลังจบโทได้อีกคันด้วยซ้ำ แต่พวกผมขายหลังได้กำไรไปเพียงไม่ถึง 3 เท่า เพราะกำไรก็คือกำไร มันขึ้นมาเยอะมากเราก็ขายไป ขายหมูเป็นเล้า เล้าใหญ่ไซส์เจริญโภคภัณฑ์ยังอาย

หลังจากนั้นไม่นาน Bitcoin ก็เกิดการแคลชรอบใหญ่ มูลค่าเหรียญทั้งหมดที่ปั่นกันล้นฟ้าก็ทลายลง เข้าตลาดหมีเต็มตัว ตาเทพได้ ตาร้ายตายกันหมด
ไม่เหมาะต่อการลงทุนอย่างยิ่ง (ผมยังไม่รู้จักการ Short Selling ผมถือเหรียญประดั่งถือหุ้นเป็นอย่างเดียวตอนนั้น)
กระแสที่แทรกมาจาก Bitcoin ขาลงในตอนนั้นคือช่องทางหาเงินใหม่ NFT, Decentralized Finance ต่าง ๆ แน่นอนว่าผมถือครบ
(มันจะมีช่องทางหาเงินอะไรอีกที่เด็กต่ำกว่า 20 ทำได้ และรัฐบาลยังหาทางผิดไม่ครบยันปัจจุบัน -*-) ผมปั่นเงินขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างรวดเร็ว มันไม่ใช่การลงทุน มันคือการพนันเต็มตัว เพียงแต่ผมติ๋ม ไม่ดูบอล ไม่เล่นไพ่ เป็นคนน่าเบื่อจึงไม่สันทัดพวกนั้นเท่าไร ผมทำเงินระดับที่คิดแพลนเรียนต่อโทได้อีกรอบ (ฮา) แล้วก็กลับไปเท่าทุนอย่างว่องไวหลังโดน Rugpull หมดตูดหลายรอบ
จังหวะนี้พอร์ตผมติดลบที่ราว ๆ  27k

และแล้วมันก็เข้าสู่ยุคที่ NFT เป็นสินทรัพย์ไร้ค่าอย่างที่มันควรเป็น เหรียญขยะมากมายถูกพิสูจน์แล้วว่ามันเป็นขยะ เทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี่มีประโยชน์น้อยกว่าที่นักวิชาเกินทั้งหลายยากที่จะเถียงปั้นน้ำเป็นตัวได้
เราก็กลับมายอมรับว่า BTC เป็นสินทรัพย์เดียวที่คุ้มค่าแก่การเสี่ยงเช่นเดียวกับทองคำ ที่เหลือคือผ้าขี้ริ้วที่คอยห่อทองเท่านั้น
(ผมยังไม่ได้ทุนคืน ณ จุดนี้ ผมหยุดลงทุนไปเลยประมาณ 1-2 ปี)

และแล้วอายุ 20 ก็มาถึง
ผมประเดิมด้วยการเดินเข้าเซเว่นอย่างภาคภูมิพร้อมบัตรประชาชนที่ทำมาใหม่สด ๆ จากอำเภอ ซื้อเหล้า 1 ขวดที่ปกติไม่กิน และบุหรี่ซองละเกือบร้อย (ครับ ผมไม่สูบ แต่ก็เสียดาย ผมใช้เวลาหมดไอ้ซองนั้นเกือบเดือน แสบคอยิ้ม) ผมแก้แค้นอะไรก็ไม่รู้ 53635 ที่อัดอั้นมานาน พนักงานไม่แม้จะขอดูบัตรที่ผมเพิ่งทำมาด้วยซ้ำ จนตอนนี้ผมก็ยังเป็นคนสุขภาพดีแค่แวะเก็บ achievement อะไรซักอย่างที่ปุถุชนไม่ควรทำ

จังหวะนี้ผมไม่ได้มีเงินถุงเงินถังเหมือนที่ผมอายุ 15 โม้ไว้ว่าจะมี ผมยังคงเรียนและกินด้วยเงินแม่
ยังคงต้องประหยัด แม้จะจ่ายทุกอย่างเลี้ยงสาวทุกคนที่เดตเพราะเสียเงินไม่ว่า (แต่ถ้าเลิกกันอนาคต สส. แบบเราย่อมเสียหน้าไม่ได้)
อายุ 20 ปี X วัน ผมมีเงินเก็บเพียง 5 หมื่นบาท (หลังจากหักลบจำนวนทหารสกุลบาทที่ผมเอาตายฟรีในสงครามคริปโต และคริปโตที่ผมทิ้งไว้ในกระเป๋าหลากหลายที่จนไม่รู้จะกู้คืนยังไงครบ)
ผมเปิดพอร์ตหุ้นครั้งแรกกับโบรคธนาคารสีม่วงแห่งหนึ่งเทรดผ่านแอปสีเขียว และตั้งตัดเงินเข้าแอปนั้นสัปดาห์ละ 1000 บาทเป็นขั้นต่ำสำหรับตลาดอเมริกา
และตัดลงแอปธนาคารสยามกัมมาจลอีกสัปดาห์ละ 150+150 บาท สำหรับตลาดเอเชีย และยุโรป
สิริรวมค่าเสียหาย 1300 บาท/สัปดาห์
และอาจจะโลภ FOMO ได้ถึง 3000 บาท/สัปดาห์ถ้ามีอั่งเป่า หรือเก็บทรัพย์มิควรได้ตามใต้ตู้กดน้ำกระป๋องได้
พอร์ตของผมหน้าตาดังนี้
Google 40%
AMD (advance money destroyer) 12%
Asml 12%
Crwd 12%
ARM 12%
Rklb 6%
Etf quantum 6%

ถ้าต้องนิยาม นี่คือความเสี่ยงระดับสิบล้านล้านสำหรับโบรคเกอร์ไทยอย่างแน่นอน แต่ Who cares ? ผมยังอายุ 20 ถึงขาดทุนหมดก็หาใหม่ได้
หรือถ้าผมตายตอน 21 ความซวยคงไม่ได้อยู่ที่ขาดทุนจริงไหม ?
ผมยังคงลงทุนแบบนักพนันเหมือนเดิม
แต่ผมพนันกับอนาคต-เวลา-ความก้าวหน้าของมนุษยชาติ
โดยผมเชื่อ 3 สิ่งนี้
1.การโจมตีทางไซเบอร์จะอันตรายและสร้างความเสียหายมหาศาล และการป้องกันมันยังคงเป็นตลาดที่เติบโตได้อีกหลาย Trillion Dollars
2.ควอนตัมคอมพิวเตอร์จะมีบทบาทมากขึ้น และสถาปัตยกรรม ARM จะมาแทนคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในตลาด consumer
3.มนุษย์จะสำรวจอวกาศมากขึ้น อย่างน้อยก็คงได้เห็นเราไปเหยียบดาวเคราะห์จริง ๆ ก่อนผมแก่ตาย

นี่คือพอร์ตหลัก ผมไม่เคยคิดขาย ไม่เคยคิดจะ Cut loss (ยกเว้นผมเห็นเทรนด์ลงเต็มตัวจริง ๆ และแนวต้านชัดเจน)

ความตลกกำลังจะเริ่มใน 3..2..1..
ใช่ครับก้อนนั้นคือ 3 จาก 5 หมื่นบาทและผมยังไม่ได้พูดถึงเงินอีก 2 หมื่นบาท ที่ผมจะเอาไปทิ้งเละเทะต่อไปนี้
**ผมเล่น pennystock”” หุ้นตัวเล็กมากของสหรัฐขนาดที่พี่บอยท่าพระจันทร์สามารถขายกระเพาะปลาพันปีของแก แล้วเอาไปซื้อทั้งบริษัทแทนซื้อหุ้นเฉย ๆ ก็ยังได้
มันผันผวนสูงมาก บางวัน volume trade ไม่ถึง 1 แสนหุ้น (และมูลค่ามันไม่ถึง 1$) คิดดูเอาว่าแค่ผมกดซื้อไม้เล็ก ๆ  กราฟมันยังกระดิกขึ้นให้เห็นทันตาเลยอะ 5555 ถ้าเจ้าเข้ามันคงพุ่งเป็นรถไฟเหาะแน่ ๆ
เอาความสำเร็จก่อนละกัน
ผมลงก้อนแรก 20K บาท ≈ 580$ เรทวันนั้น
ผมปั้นไปได้ถึง 1200$ ทันทีในสัปดาห์แรกด้วยหุ้น FCUV กำไรมากกว่าเท่าตัว
และผมก็ขาดทุนใน KULR ทำให้เหลือ 700$++
ความโลภครอบงำ เราคัดหุ้นเก่งขนาดนี้ จะแพ้ตลาดได้ไง
และหายไปเหลือ 350$ หลังโดนทุบไปในหุ้นนอมินีจีนที่มาเปิดในเมกา และทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ทำให้จีนโดนกีดกัน ราคาร่วงเป็นเหว

ขอคั่นความบรรลัยนิดนึง
คือผมอะไม่เคยเชื่อปู่วอเรนบัฟเฟตเลยนะ มันก็มีมาตลอดว่าทุกครั้งที่แกสะสมเงินสด มันมักจะมี market crash ตามมา 1-2 ปีให้หลัง
ตลาดตอนนั้นมันแพงจริง แพงมากหุ้นเทค P/E 50++ เต็มตลาด (ถ้านึกภาพไม่ออก ถ้ามันทำรายได้ต่อปีคงที่เท่านี้แล้วซื้อตอนนี้ คุณต้องใช้เวลา 50 ปีมันจะคืนทุนคุณ)
กองทุน BIRKAHIRE ปู่แกสะสมเงินสดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และตลาดเทคมันก็แตกจริงเมื่ิอต้นปี 2025 (เดือนมีนาน่าจะจุดต่ำตมสุดแล้ว ในขณะที่ผมเขียนอยู่ มันอาจจะลงไปอีกใครจะไปรู้)

สรุปสั้นละกัน จนถึงมีนาคม 2025 จากการลงทุนไม่ถึงปีจากอายุ 20 มา
ผมก็ขาดทุน 2 หมื่นจากทุน 5 หมื่นบาท
(ราว -40%)
เย้ ! และเป็น Permanent loss
ผมจะไม่เอาเงินปริมาณมากไปซิ่งกับหุ้นเล็กแบบนั้ยอีก = ผมไม่มีโอกาสปั่นทุน 2 หมื่นคืนมาได้เร็ว ๆนี้แน่นอน แต่ผมก็ DCA พอร์ตหลักถัวลงเรื่อย ๆ
ตัวที่ทำกำไรคือดัชนียุโรปและเอเชียปริมาณน้อยนิดที่แอบซื้อทิ้งไว้แทน (ฮา)

ผมได้เรียนรู้ว่า
1. การกระจายความเสี่ยงหลายตลาดควรทำ แม้ในตอนนั้นการซื้อหุ้นอเมริกาแล้วขายทันจะกำไรมหาศาลก็ตาม
2. ทุกคนควรเรียนรู้ที่จะจัดการการเงินส่วนตัวตัวเองได้ ทั้งการวางแผนลงทุน การเก็บออม เงินสำรองฉุกเฉิน การนั่งสมาธิ การทำใจร่ม ๆ ;-; การจัดการสภาพจิตใจ (ฮือ)
3. หุ้นไทยกาก (ผมพูดเล่น ๆ นะ อย่าจริงจัง)
ผมไม่ค่อยเห็นแนวทางประเทศไทย และหุ้นไทยเท่าไร นอกจากตัวปันผลดี ๆ แบ็คหนา ๆ แบบธนาคารแห่งหนึ่งที่คุณเห็นผู้ถือหุ้นสองรายแรกก็ตกใจได้เลย
4. คิดเรื่องภาษีไว้บ้างก็ดี ตอนนี้มันก็มี DR/DRX และกองทุนดัชนี ที่ฟรี tax ไม่ต้องปวดหัว
ส่วนตัวผมเองนั้น ยังไม่เข้าเกณฑ์เสียภาษี และยังไม่เคยแลกเงินบาทกลับ = ยังไม่เกิดรายได้
5. S&P500 และ BIRKSHIRE จงเจริญ
6. การเก็บเงินไว้เฉย ๆ เติบโตน้อยสุด
และสำหรับผม การมีเงินเย็นนอนอยู่เฉย ๆ โดยผมไม่เอามันไปทำอะไรเลย ยากที่สุด

ปล. ถ้าใครจะทำลายเงินและทรัพย์สินผม มันต้องเป็นตัวผมเองเท่านั้นแหละ 5636536
ปล.2 ผมมีเวลาพิมพ์จำกัด ถ้านิ้วเบียดพิมพ์ผิด ขออภัย
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่