ในตอนที่อายุ14-15 ช่วงประมาณม.2เราได้เสียแม่ไปเนื่องจากโรคๆหนึ่งซึ่งแม่เป็นคนเลือกที่จะหยุดกินยาแล้วก็เสียไปเองตอนนั้นที่แม่เสียเหมือนโลกทั้งใบของเราพังทลายแบบไม่เหลือชิ้นดีเลยค่ะ เก็บตัวไม่คุยกับใครเลย ประจวบเหมาะกับช่วงม.3ที่ต้องหาที่เรียนก็มีเรียนเรื่องเรียนมาให้คิดอีกเรายิ่งเก็บตัวเข้าไปอีกพ่อก็มีแฟนใหม่มันก็ยิ่งทำให้แตกสลายสุดๆเพื่อนที่จะไว้ใจคุยเรื่องครอบครัวก็ไม่มีเลย ตัดมาที่เรื่องเรียนเราหาที่เรียนใหม่ไส่ได้เพราะโรงเรียนเก่าเราได้เป็นแค่ตัวสำรองแล้วช่วงนั้นพ่อก็คิดแฟนใหม่มากแล้วเรายิ่งไม่ได้คุยกับพ่อเลยคุยวันหนึ่งไม่ถึง2ประโยคจนพ่อส่งเราไปอยู่บ้านย่าซึ่งเราไม่ชอบไปเพราะป้ากับอาชอบเอาเราไปเปรียบเทียบกับญาติๆในวัยเดียวกันเหมือนกับเราตลอดเขาก็พยายามช่วยเราแหละแต่ก็พูดกดดันเราตลอดจนแอบร้องไห้ทุกคนสรุปเราก็ได้ดรอปเรียนไปปีนึง เรารู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นในหลายๆเรื่องมองในมุมมองที่คนวัยเดียวกันได้ดีกว่าอาจจะไม่ได้ดีขนาดนั้นแต่ก็เห็นได้ชัดแต่ตรงกันข้ามเราพูดน้อยลงและฟังมากขึ้นคิดให้มากขึ้นแต่เวลาจะเข้าหาใครหรือมีคนเข้าหาเราจะเป็นฝ่ายที่รู้ว่าทำให้เขาอึดอัดเพราะเราจะเงียบมากกว่าแทนที่จะพูดคือมันรู้สึกว่าแล้วเราต้องทำยังไงต่อต้องชวนคุยยังไง พูดไปมันจะถูกใจเขามั้ยหรือจะทำให้เขาไม่ชอบเรา มันต่างจากสมัยช่วงป.6มากเลยค่ะเราเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมากเราคุยเก่งเพื่อนเยอะเป็นกันเองมาก ตัดภาพมาที่ตอนนี้มีแต่เรื่องให้คิดจะพูดออกไปก็ยังไงๆอยู่ แล้วอีกอย่างนึงคือเวลาที่เราคุยกับพ่อตัวต่อตัว พ่ออาจจะพูดบอกเฉยๆแต่เป็นเราที่ร้องไห้กับคำพูดของพ่อบ่อยมากๆและก็เรื่องของคุณแม่เหมือนกันค่ะเรายิ่งอ่อนไหวคูณสิบแค่พูดนิดเดียวก็ยังทำให้เรามีน้ำตาได้ตลอดต่อให้ผ่านไปกี่ปีเรื่องนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ทำเราร้องไห้หนักมากๆ แบบนี้คือยังปกติมั้ยคะหรือมันเป็นอาการของอะไร
นิสัยทัศนคติที่เปบี่ยนไปหลังจากแม่เสีย