รู้ก่อนใช้! ระวังภัยแฝง ‘ยารักษาสิว’ และ ผลไม้3ชนิดไม่ควรกินเพราะเซลล์มะเร็งชอบมาก

สิวเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย สร้างความรู้สึกกังวล ทำให้สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง หลายคนเลือกวิธีซื้อยามารักษาสิวด้วยตัวเอง ทั้งที่การใช้ยาโดยไม่จำเป็น หรือไม่เหมาะสมกับอาการ จะส่งผลให้ร่างกายเรามีความเสี่ยงได้รับอันตรายจากฤทธิ์ยา

“สิว (Acne)” เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กวัยรุ่น และสิวยังสร้างความรู้สึกกังวล ทำให้สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง แม้การรักษาสิวควรได้รับการดูแลจากแพทย์ผิวหนังอย่างเหมาะสม แต่ก็มีหลายคนเลือกวิธีซื้อยามารักษาสิวด้วยตัวเอง ทั้งที่การใช้ยาโดยไม่จำเป็น หรือไม่เหมาะสมกับอาการ จะส่งผลให้ร่างกายเรามีความเสี่ยงได้รับอันตรายจากฤทธิ์ยา

“คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล” มีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับยารักษาสิวซึ่งมีหลากชนิด หลายรูปแบบในท้องตลาด รวมถึงมีการออกฤทธิ์และความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละรายที่แตกต่างกันไป

สำหรับผู้ที่มีสิวไม่อักเสบหรือมีสิวอักเสบเล็กน้อย นิยมใช้ยาในรูปแบบทา โดยยาทาที่พบบ่อย ได้แก่
1. ยาทาที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบครีมหรือเจล ใช้ทาบางๆ ทั่วใบหน้าหรือบริเวณที่มีสิว วันละ 1-2 ครั้ง อาทิ ยา Benzoyl Peroxide, Adapalene, Retinoic Acid ซึ่งมีผลข้างเคียง คือระคายเคืองผิวหนัง ผิวลอก แสบผิว ทั้งนี้ ยา Retinoic Acid จะทำให้มีสิวเห่อมากขึ้นเล็กน้อยในช่วงแรกที่เริ่มใช้ยา แต่อาการข้างเคียงแก้ไขได้ด้วยการลดความเข้มข้นหรือลดระยะเวลาที่ทา ขณะเดียวกัน มีคำแนะนำแก่ผู้ใช้ยากลุ่มนี้ให้หลีกเลี่ยงแสงแดด หรือให้ทาผลิตภัณฑ์กันแดดร่วมด้วย นอกจากนี้ ยา Retinoic Acid ยังมีข้อห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์

2. ยาทาที่เป็นยาปฏิชีวนะ รูปแบบโลชั่นและเจล ตัวยาปฏิชีวนะที่นิยมใช้รักษาสิว ได้แก่ Clindamycin และ Erythromycin ใช้ทาเฉพาะบริเวณที่มีสิวอักเสบ วันละ 2-3 ครั้ง โดยมีผลข้างเคียง คือ ผิวลอก ผิวบาง แสบผิว ในทางปฏิบัตินิยมใช้ยาทาปฏิชีวนะควบคู่กับยา Benzoyl Peroxide เพื่อลดปัญหาเชื้อดื้อยา

สำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบหรือสิวตุ่มหนองจำนวนมาก อาจมีการใช้ยารับประทานร่วมด้วย ซึ่งตัวอย่างยารับประทาน ได้แก่
1. ยารับประทานที่เป็นยาปฏิชีวนะ มักต้องใช้ยานานหลายสัปดาห์ จึงจะมีประสิทธิภาพในการลดเชื้อแบคทีเรียก่อสิว โดยยาที่มีจำหน่าย ได้แก่ Tetracycline และ Doxycycline แนะนำให้รับประทานหลังอาหาร เพราะมีผลข้างเคียงทำให้คลื่นไส้อาเจียน และอาจทำให้ผิวไวต่อแสง จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดร่วมด้วย อีกทั้งควรห่างจากการดื่มนม การรับประทานแคลเซียมและวิตามินที่มีธาตุเหล็ก เนื่องจากทำให้การดูดซึมของยาลดลง รวมถึงสตรีมีครรภ์และให้นมบุตรต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยาดังกล่าว
2. ยารับประทานอื่นๆ มักใช้ในผู้ที่มีสิวอักเสบรุนแรงเป็นจำนวนมาก ตัวยาที่มีจำหน่าย ได้แก่ Isotretinoin ควรรับประทานหลังอาหารเพื่อเพิ่มการดูดซึม และห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ เนื่องจากอาจเกิดอันตรายต่อทารก ดังนั้น สตรีที่ต้องการใช้ยานี้ต้องคุมกำเนิดตลอดการใช้ยาและอยู่ในการดูแลของแพทย์ สำหรับผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น ผิวแห้ง ปากลอก ผมร่วง ตาแห้ง ผิวไวต่อแสง จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดควบคู่กัน แต่หากมีอาการมองเห็นไม่ชัด หรืออาการตาแห้งรุนแรง ให้รีบมาพบแพทย์ทันที
3. ยารักษาสิวที่เป็นยาฮอร์โมนรวม หรือยาคุมกำเนิด เนื่องจากฮอร์โมนเพศเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลให้เกิดสิวได้ ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมนี้นิยมใช้ในสตรีที่มีสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง ส่วนผลข้างเคียงที่พบ มีทั้งคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เลือดออกกะปริดกะปรอย อย่างไรก็ตาม หากต้องการใช้ยาเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน

เพื่อให้การรักษาสิวด้วยยาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดตามมา เราควรปฏิบัติดูแลทำความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเกิดการสิว อาทิ ความเครียด การสัมผัส แกะหรือเกาใบหน้า.... 

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4211737/



ไม่อยากเสี่ยงมะเร็ง ผลไม้ 3 ชนิดนี้ ไม่ควรกิน เพราะเซลล์มะเร็งชอบมาก ขนาดแม่ค้ายังไม่กิน แต่หลายบ้านมีบนโต๊ะอาหาร
ในปัจจุบันจะเห็นว่าพ่อค้าแม่ค้า มักจะนำผลไม้ที่ใกล้เน่าเสียมาปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นแพ็กใส่กล่องสวยงาม แต่หารู้ไม่ว่า เมื่อผู้บริโภคนำไปรับประทาน จะเกิดโทษอย่างใหญ่หลวง ซึ่งบรรดาพ่อค้าแม่ค้าเองก็มักไม่กิน แต่คนซื้อกินบ่อยๆ เพราะเห็นเป็นของถูก เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน

3 ชนิดของผลไม้ที่ไม่ควรซื้อ เพราะเซลล์มะเร็งชอบมากนั่นก็คือ

1. ผลไม้ที่มีรูปร่างผิดปกติ
รูปร่างของผลไม้แต่ละชนิด มักไม่มีรูปแบบตายตัว บางชนิดอาจโตขึ้นเกินขนาดธรรมดา แต่หากคุณสังเกตเห็นผลไม้จำนวนมากที่มีลักษณะผิดปกติ ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ผลไม้ที่ผิดรูปมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม สีสัน หรือสภาพแวดล้อมในการปลูก และบางครั้งอาจมีสารตะกั่วหรือปรอทปนเปื้อน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผลไม้เหล่านี้ถึงมีขนาดใหญ่ผิดปกติและมักจะถูกขายในราคาถูกที่สุด การหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้จะช่วยปกป้องสุขภาพของคุณและครอบครัวได้ดีที่สุด

2. ผลไม้ที่มีสัญญาณเน่าเสีย 
เมื่อผลไม้เริ่มเน่าเสีย วิตามินต่าง ๆ ที่มีอยู่ในผลไม้จะถูกทำลายไป และเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราจำนวนมาก จะเข้ามาปนเปื้อนและสร้างสารอันตราย ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อตับ ไต และสุขภาพโดยรวม แม้จะตัดส่วนที่เน่าเสียออกไปแล้ว ส่วนที่ดูเหมือนยังดีอาจดูดซึมสารพิษไว้ ทำให้ยากที่จะตรวจจับได้จากภายนอก
สิ่งที่ควรระวังเป็นพิเศษคือ เชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่ปนเปื้อนอาจมีสารอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารอันตรายที่องค์การวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) จัดให้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1 ตั้งแต่ปี 1993 นอกจากนี้ อะฟลาท็อกซิน ยังถือเป็นหนึ่งในสาเหตุของมะเร็งตับ นอกจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด B และ C ที่เรื้อรัง

3. ผลไม้ที่หั่นเป็นชิ้นแล้ว
หลายคนมักชอบซื้อผลไม้หั่นชิ้นพร้อมทาน เพราะสะดวกและราคาถูก แต่เรามักไม่สามารถรู้ได้ว่า ผลไม้ที่หั่นแล้วนั้น เป็นผลไม้สดหรือผลไม้ที่เริ่มเน่าเสีย ที่อาจแค่ตัดส่วนที่เสียออกไป
นอกจากนี้ เรายังไม่สามารถมั่นใจได้ว่าผู้ขายได้รักษาความสะอาดในกระบวนการหั่น เช่น การสวมถุงมือ การใช้มีดสะอาด และการเก็บรักษาที่ถูกต้องเพื่อป้องกันแบคทีเรียที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ

เมื่อผลไม้หั่นแล้วสัมผัสกับอากาศ ก็อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียเติบโตได้ง่ายขึ้น และยังทำให้คุณค่าทางโภชนาการของผลไม้ลดลงอีกด้วย
ใน 2 กรณีนี้ ผลไม้ยังสามารถทานได้
1. ผลไม้ที่แห้ง/แช่แข็ง
ผลไม้ที่แห้งหรือแช่แข็งอาจเกิดขึ้นได้เมื่อเก็บไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิสูงเกินไป ผลไม้เหล่านี้อาจมีรอยแผลที่เกิดจากการสูญเสียน้ำหรือการออกซิเดชัน ทำให้ดูไม่สวยงาม แต่จริง ๆ แล้วยังสามารถทานได้ หากไม่ได้เก็บไว้นานเกินไปและไม่มีอาการเน่าเสีย
อย่างไรก็ตาม การทานผลไม้สดยังดีที่สุดเพื่อรักษารสชาติและคุณค่าทางโภชนาการของมัน
2. ผลไม้ที่มีรอยบุบ
ตั้งแต่ผลไม้สุกจนถึงมือผู้บริโภค มักไม่สามารถหลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกที่ทำให้เกิดรอยบุบ บุบหรือช้ำได้ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีเปลือกบางและเนื้อนิ่ม อย่างไรก็ตาม รอยเหล่านี้เป็นแค่การกระทบทางกายภาพ ไม่ได้สร้างสารพิษหรือส่งผลกระทบต่อสุขภาพเมื่อบริโภค
แต่สำหรับผลไม้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทบกระแทก ควรกินให้เร็วที่สุด หากสังเกตเห็นกลิ่นหรือรสที่ผิดปกติ เช่น กลิ่นแอลกอฮอล์ อาจแสดงว่าเป็นผลไม้ที่เสียแล้ว ไม่ควรกิน
ดังนั้นหากผู้บริโภคจะซื้อผลไม้มารับประทานให้ดูดีๆ ควรเลือกสดใหม่ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วอาจเสี่ยงต่อโรคร้ายได้... 

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4209934/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่