JJNY : 5in1 กัณวีร์ซัดหน่อมแน้ม│รบ.ไทยขาดทักษะสื่อสาร│พันธุ์อาจไม่หนักใจ│หุ้นไทยปิดร่วงหนัก│ยูเครนแอ่นอกรับบึ้มกลางมอสโก

'กัณวีร์' ซัดรบ.หน่อมแน้ม ปมลูกเรือไทยถูกเมียนมาจับตัว ชวนจับตา คาดปล่อยตัว 4 ม.ค. 68
https://ch3plus.com/news/political/ruangden/428430
 
 
กรณี 4 ลูกเรือประมงไทย ที่ถูกศาลจังหวัดเกาะสอง เมียนมา ตัดสินจำคุกเจ้าของเรือ 6 ปีส่วนลูกเรือคนละ 4 ปี ล่าสุดคุณภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดถึงความคืบหน้าว่า จากการประสานเบื้องต้น คาดว่าทั้งหมดจะได้รับการปล่อยตัว วันที่ 4 ม.ค.2568 ซึ่งเป็นวันชาติของเมียนมา

ทั้งนี้ คุณภูมิธรรม บอกว่า ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดข้อกล่าวหา และลักษณะการปล่อยตัว ว่าจะเป็นในรูปแบบอภัยโทษหรือไม่ ระบุเพียงว่า เป็นไปตามกระบวนการ

ช่วงนึงนักข่าวพยายามถามย้ำว่า กระทรวงการต่างประเทศได้พูดคุยกันถึงข้อสรุปเรื่องการรุกล้ำหรือไม่ และจำเป็นต้องชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาหรือไม่ ก็บอก ให้ว่ากันไปตามข้อเท็จจริง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน

อีกทั้งสิ่งสำคัญตอนนี้ คือต้องการนำคนไทยออกมาก่อน จึงไม่อยากตอบคำถามต่าง ๆ แต่หากกลับมาเรียบร้อยแล้วความชัดเจนจะเป็นอย่างไรก็ค่อยว่ากันอีกที คิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด

"กัณวีร์" ซัดรัฐบาลหน่อมแน้มในเวทีระหว่างประเทศ ชวนมองท่าทีเมียนมาผ่านคดีลูกเรือประมงไทยที่ "ไม่แคร์" ใคร จับตา 4 ม.ค.นี้ปล่อยตัว 4 คนไทยแบบไหน

นายกัณวีร์ สืบแสง เปิดเผยถึงกรณีที่ศาลเกาะสองของเมียนมาตัดสินจำคุกชาวประมงไทย 4 คน ด้วยข้อหาทำประมงและเข้าเมืองผิดกฎหมาย ว่า แม้ว่ากรณีดังกล่าวจะเกิดขึ้นในพื้นที่ทางทะเลที่ยังเป็นข้อพิพาทระหว่างไทยและเมียนมา แต่เหตุใดศาลเมียนมาจึงตัดสินในเรื่องทำประมงผิดกฎหมายและเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทั้งๆ ที่เป็นพื้นที่พิพาทกันอยู่ เมียนมาเอาที่ไหนมาตัดสินทั้ง 2 เรื่อง

"สำหรับโทษทั้งจำทั้งปรับ จำนวนปรับน้อย แต่จำคุกเยอะ เป็นเกมการเมืองของเผด็จการทหารเมียนมา เพื่อรักษาความสมดุลทางอำนาจในระดับทวิภาคีกับไทยและพหุภาคีกับชาติภูมิภาค ว่าทหารเมียนมาจะไม่ยอมใคร...การที่ศาลเกาะสองของเมียนมาเร่งตัดสินคดีทันทีเมื่อวาน ให้ทั้งจำทั้งปรับชาวประมงทั้ง 4 ของไทย ถือเป็นการตบหน้าโดยประกาศกร้าวต่อไทยและเวทีโลกว่า ไม่แคร์"

นายกัณวีร์ กล่าวว่า แม้ล่าสุด นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงกลาโหม จะแถลงข่าวว่าทั้ง 4 คน จะได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 4 ม.ค.68 นี้ ก็น่าจะเป็นการอภัยโทษ ซึ่งถ้าอภัยโทษจริง แสดงว่า เรือประมงไทยนี้ได้รุกล้ำน่านน้ำเมียนมา และยอมรับผิดคดีอาญาทั้งสองทั้งการเข้าเมืองและทำประมงผิดกฎหมาย ก็ต้องรอดูว่าจะได้รับการปล่อยตัวด้วยเงื่อนไขใด

"หยุดการหน่อมแน้มในเวทีระหว่างประเทศ หรือไม่มีใครเคยมีประสบการณ์ในเวทีโลกที่มันโหดร้ายและเลวร้ายเลย ใช้แต่การทูตแบบลู่ลมและอ่อนปวกเปียกอย่างนี้เหรอ นี่แหละคือเหตุผลของการที่ผมวิจารณ์เสมอมา ว่าไทยไม่เคยมีนโยบายการทูตที่ชัดเจนเอาแต่วิ่งตามชาวบ้านเค้า ขนาดเผด็จการฆ่าล้างประชาชนตนเอง ไทยยังยอมเลย พอเสียที"



สื่อสหรัฐฯวิเคราะห์: รบ.ไทยขาดทักษะสื่อสารในภาวะวิกฤติ หลังพิพาทพรมแดน ปท.เพื่อนบ้าน
ข้อเท็จจริงคือพรมแดนทางทะเลระหว่างไทยและเมียนมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีเขตแดนและยังมีความไม่ชัดเจนอยู่ 
ดังนั้นการออกมายอมรับอย่างเปิดเผยว่า เรือไทยอยู่ในน่านน้ำเมียนมา 
เรื่องนี้อาจเป็นแบบอย่างสำหรับการเจรจาในภายหลังระหว่างสองรัฐที่อ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนต่างๆก็เป็นได้ 
 
----------------------------------------------------------------------------------------------
 
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยตอนนี้ต้องเผชิญกับปัญหาหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นก็คือปัญหาเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน กรณีนี้ทางด้านของสำนักข่าว The Diplomat ของสหรัฐอเมริกาได้ออกบทวิจารณ์ตอนหนึ่งระบุว่าในเรื่องของการจัดการปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านนั้น รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยยังขาดกลยุทธ์ในการสื่อสารให้ประชาชนได้เข้าใจปัญหา
 
จากกรณีดังกล่าว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)   จึงได้นำบทความของ Diplomat มานำเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
 
@การสูญเสียความสามารถในการควบคุมสารที่ส่งออกไป
 
ย้อนไปก่อนที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคฝ่ายค้านตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทยได้คัดค้านการที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้เริ่มการเจรจาอีกครั้งกับกัมพูชา โดยอ้างว่ามีความเสี่ยงว่าบันทึกความเข้าใจหรือ MOU มีความเสี่ยงต่อบูรณภาพดินแดนของไทย
  
ในเดือน มิ.ย.นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้เพื่อให้ขอยกเลิก MOU ปี 2544 ระบุเหตุผลว่า MOU นั้นเป็นสนธิสัญญาและจำเป็นต้องมีการให้สัตยาบันจากรัฐสภา 
 
ต่อมาในเดือน ก.ย.ศาลรัฐธรรมนูญปฏิเสธคำร้องของนายไพบูลย์ อ้างว่านายไพบูลย์ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ แต่การเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาก็ยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่พรรคพลังประชารัฐก็พยายามเพื่อให้มีการยกเลิก MOU ฉบับนี้ พร้อมกับสร้างความสับสนว่าข้อตกลงใน MOU นั้นระบุอะไรกันแน่  ควบคู่ไปกับการปลุกระดมให้กลุ่มชาตินิยมในประเทศไทยมีความกลัวว่าประเทศไทยเสี่ยงต่อการยกเกาะกูดให้กัมพูชา หากการเจรจานี้ยังดำเนินต่อไป
 
ความสับสนนี้ได้กลายเป็นภาระโดยตรงของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เพราะนอกจากรัฐบาลจะขาดความชัดเจนของนโยบายแล้ว พรรคยังล้มเหลวเรื่องการสื่อสารนโยบายของตนด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการเจรจากับทางกัมพูชาอย่างแน่นอน
 
จนในที่สุดเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลก็ได้อนุญาตให้ นางสุพรรณวษา โชติกญาณ ถัง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ประกาศต่อสาธารณะว่าในประเด็นทางกฎหมายเกี่ยวกับ MOU และต่อจุดยืนของรัฐบาลไทยว่าการอ้างสิทธิ์ของกัมพูชาบนเกาะกูดนั้นไม่สมเหตุสมผลและไม่ยึดตามหลักการกฎหมายที่ว่าเกาะนี้เป็นดินแดนของไทยอย่างแท้จริง อีกทั้ง MOU นั้นเป็นเพียงกรอบการทำงานที่ตกลงเอาไว้สำหรับการเจรจาเท่านั้นและการเจรจาใดๆทั้งในประเด็นเรื่องของพื้นที่ส่วนบนและพื้นที่ส่วนล่างของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (Overlapping 
Claims Area: OCA) การเจรจาซึ่งรวมถึงทรัพยากรไฮโดรคาร์บอน การเจรจาเรื่องเกาะกูด การเจรจาเหล่านี้จะต้องดำเนินการคู่ขนานไปทั้งหมด
 
“ทั้งไทยและกัมพูชาจะไม่สามารถถอนตัวจาก MOU 2544 ได้อย่างถูกกฎหมาย และการถอนตัวใดๆจะต้องได้รับความยินยอมเสียก่อน” นางสุพรรณวษากล่าว
 
อย่างไรก็ตามคำอธิบายแค่นี้ดูเหมือนจะไม่เพียงพอ ความจริงคือรัฐบาลไทยกำลังตอบสนองบางอย่างมากกว่าที่ได้มีการแถลงไว้เกี่ยวกับการเจรจา 
OCA แต่แถลงการณ์จากอธิบดีฯ นั้นถือว่าเป็นการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเพียงฉบับเดียวในกรณีที่เกี่วข้องกับ OCA และ MOU 2544

สรุปก็คือว่า รัฐบาลไทยขาดการสื่อสารสาธารณะในเชิงกลยุทธ์ ส่งผลทำให้ข้อมูลบางอย่างที่ถูกสื่อออกไปเป็นเท็จ และสร้างความเสียหายทางการเมืองค่อนข้างมาก  และยังส่งผลต่อประเด็นการเจรจาทวิภาคีค่อนข้างมาก
 
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เมื่อเร็วๆนี้ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังได้กล่าวกลางที่ประชุมรัฐสภาว่าการเจรจาครั้งนี้สมควรจะกระทำด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน และสื่อสารว่า รัฐบาลไทยควรที่จะออกกฎหมายระบุว่า กลุ่มผู้ต่อต้านชาตินิยมนั้นสมควรเป็นผู้ก่อการร้ายหรือไม่
 
อันที่จริงความรู้สึกชาตินิยมเกี่ยวกับการอ้างสิทธิ์ในดินแดนได้นําไปสู่ความรุนแรงระหว่างไทยและกัมพูชาในอดีตที่ผ่านมา กรณีแรกคือการเผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญในปี 2546 เนื่องจากข้อกล่าวหาว่า นักแสดงหญิงชาวไทยอ้างว่า นครวัดเป็นของประเทศไทย ทั้งที่ไม่ได้หลักฐานว่ามีการกล่าวเช่นนั้น กรณีที่สองคือสงครามชายแดนสั้น ๆ และการปะทะกันทางทหารตั้งแต่ปี 2552-2554 เมื่อลัทธิชาตินิยมไทยเล่นประเด็นเหนือเขาพระวิหารที่เป็นข้อพิพาท
 
@ความตึงเครียดชายแดนเมียนมา-ไทย
 
กลยุทธ์การสื่อสารที่ไม่ประสานกันของรัฐบาลไทยยังทำให้เกิดผลเสียในเหตุการณ์ล่าสุดที่ชายแดนทางทะเลระหว่างไทยและเมียนมา ในช่วงเย็นของวันที่ 30 พ.ย. เรือประมงไทยกลุ่มหนึ่งถูกเรือของกองทัพเรือเมียนมาเข้าใกล้ในทะเลอันดามัน เรือประมงหนึ่งลําถูกกองทัพเรือเมียนมายิง และเรือประมงไทยจำนวนหนึ่งถูกบังคับเทียบท่าเรือในเมียนมา
 
เป็นอีกครั้งที่การสื่อสารของรัฐบาลไทยออกมาในลักษณะโกลาหล โดยพล.ร.ท.สุวัจ ดอนสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาค 3 (ผบ.ทรภ.3) ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ระบุว่าเรือไทย "อาจรุกล้ำน่านน้ํา เข้าอาณาเขตของเมียนมา" เป็นระยะทาง 3 ไมล์ทะเล แต่ต่อมาในเย็นวันเดียวกันทวิตเตอร์ของกองทัพไทยได้ระบุว่า มีการคาดเดาว่า เรือประมงไทยอาจรุกเข้าไปในเมียนมาถึง 4-5.7 ไมล์ทะเล 
 
ในที่สุด เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. น.ส.แพทองธาร  ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ประณามการใช้ความรุนแรง และแจ้งให้สาธารณชนทราบว่ามีการยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการกับคณะกรรมการชายแดนร่วมไทย-เมียนมา และเรียกเอกอัครราชทูตเมียนมามามาพูดคุย และสัญญาว่าจะให้ข้อมูลต่อสาธารณชนเป็นประจํา
 
แต่แม้ว่าแถลงการณ์ของ น.ส.แพทองธาร ส่วนใหญ่เนื้อหาจะดูสอดคล้องกับระเบียบปฏิบัติ แต่ก็เน้นย้ำให้เห็นถึงปัญหาในการสื่อสารในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเจอวิกฤต เนื่องจากรัฐบาลออกมาให้ข่าวหลังจากแหล่งข่าวทางการสองรัฐสองแห่ง ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเรือไทยจะเข้าไปในน่านน้ำเมียนมาจริง แต่ก็ไม่เป็นมืออาชีพและขาดความรับผิดชอบอย่างยิ่งที่แหล่งข่าวทางการของรัฐบาลไทยจะออกมายอมรับในเรื่องนี้
 
 ข้อเท็จจริงคือพรมแดนทางทะเลระหว่างไทยและเมียนมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีเขตแดนและยังมีความไม่ชัดเจนอยู่ ดังนั้นการออกมายอมรับอย่างเปิดเผยว่าเรือไทยอยู่ในน่านน้ำเมียนมา เรื่องนี้อาจเป็นแบบอย่างสำหรับการเจรจาในภายหลังระหว่างสองรัฐที่อ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนต่างๆก็เป็นได้
  
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 
ทั้งนี้ถ้าหากพื้นที่ไม่ได้มีการกำหนดอย่างเป็นทางการตามกฎหมายโดยสองรัฐร่วมกัน หลักการปฏิบัติที่ควรทำก็คือทางการไม่ควรจะยอมรับว่าพื้นที่ตรงจุดใดจุดหนึ่งเป็นของอีกรัฐ เพราะนี่อาจจะส่งผลกระทบบ่อนทำลายต่อการอ้างสิทธิ์ในดินแดนของรัฐได้
  
@ต้องมีกลยุทธ์ที่จำเป็น
  
การที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยขาดความสนใจ และให้ความสำคัญกับการสื่อสารสาธารณะทำให้ฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลนำเอาข้อความไปเล่าในอีกรูปแบบหนึ่ง และสร้างความสับสนในหมู่ประชาชน ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องมีพื้นที่สื่อให้ตัวเอง มีการสื่อสารในเชิงรุกล่วงหน้าก่อนอีกฝ่าย
 
โดยในช่วงเวลาหลายเดือนก่อนหน้าจะมีการเจรจา OCA รัฐบาลควรจะยืนยันให้สาธารณชนได้รับทราบเกี่ยวกับกรอบ MOU 2544 เสียก่อน และสื่อสารให้ทราบเกี่ยวกับจุดยืนพื้นฐานของไทยเกี่ยวกับข้อพิพาทดินแดนกับกัมพูชา โดยโฆษกกระทรวงต่างประเทศควรออกทีวี,วิทยุ ช่วงยูทูป,รายการของคอมเมนเตเตอร์และผู้สื่อข่าวที่มียอดติดตามให้มากกว่านี้
 
สำหรับข้อความที่จะสื่อสารต้องมีลักษณะสอดคล้องกับประเด็นและเข้าใจง่าย การสื่อสารโดยใช้แค่แถลงการณ์เพียงแผ่นเดียวนั้นไม่เพียงพอ โดยกระทรวงการต่างประเทศและโฆษกรัฐบาลต้องแจ้งและอัปเดตให้สาธารณชนทราบข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขเรื่องเล่าและแก้ข่าวเท็จเป็นประจําทุกสัปดาห์และทุกเดือน
 
ประวัติและพื้นฐานของ OCA นั้นเข้าใจได้ไม่ยาก และแนวทางของ MOU ปี 2544 ก็เข้าใจไม่ยาก อย่างไรก็ตาม การขาดกลยุทธ์การสื่อสารสาธารณะของรัฐบาลทําให้เสียงที่ไม่มีความสําคัญมีอิทธิพลมากเกินไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่