หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 13.1

อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 13.1

ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับเวลานี้ท่านทั้งหลายได้สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจสดับคำแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน วันนี้ก็จะว่ากันถึงเรื่อง พระสกิทาคามี ในด้านการตัดความโกรธ พระสกิทาคามีนี่ยังไม่ตัดแท้นะครับ เป็นการบรรเทาความโกรธ วิธีบรรเทาความโกรธได้พูดมาแล้วในวันก่อนถึงกสิณ 4 อย่าง เมื่อพูดถึงเรื่องกสิณนี่ ความจริงมันก็เหมาะสำหรับบุคคลบางคน บางคนที่ไม่พอใจในกสิณก็มี เพราะบางท่านเห็นว่ากสิณนี่มีความเข้มแข็งเกินไป เห็นว่าเป็นการไม่เหมาะไม่สมกับใจของตนเอง และบางท่านก็กลัวกสิณ เพราะความจริงคำว่า กสิณ ผมฟังมาเยอะ นักปฏิบัติพระกรรมฐานบางคน พอบอกว่าเจริญกสิณเท่านั้นแหละทำท่าตาพอง ทำตาใหญ่ เอะอะโวยวาย เห็นว่าหนักเกินไปสำหรับจิตใจคน นี้มันก็เป็นของแปลก

สำหรับพระกรรมฐานนี่ขอประทานอภัยนะครับ ที่ผมต้องปรารภตัวสักนิดหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านห้าม ว่าการเทศน์นี่นะจงอย่าปรารภตัวเอง และอย่าปรารภบุคคลที่ฟัง แต่นี่เรื่องนี้เป็นเรื่องปฏิบัติ ก็พูดกันตรงไปตรงมา สำหรับเรื่องกรรมฐาน 40 ผมเคยลองฝึกมาทั้งหมด และก็มหาสติปัฎฐานสูตรทั้งหมด ผมฝึกทั้งหมด กรรมฐาน 40 นี่ผมฝึกครบ 40 ตั้งแต่พรรษาที่สอง มหาสติปัฏฐานสูตรนี่ พอทำกรรมฐาน 40 มาจับมหาสติปัฏฐานสูตร ก็เลยเป็นของง่ายไปหมด ทำเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ คำว่าเสร็จก็คืออารมณ์จบ แต่ว่าผมไม่ได้หมายว่าผมเป็นพระอรหันต์นะครับ

ตอนนั้นเป็นเรื่องของการฝึก ฝึกจุดใดในพระกรรมฐาน 40 ที่ท่านว่าไว้ว่าถึงฌานไหนเป็นสำคัญ เอ้า...จะหาว่าอวดอุตริมนุสสธรรมก็ยอม อุตริมนุสสธรรมถ้าไม่มีในตน โทษท่านปรับเป็นอาบัติปาราชิก ถ้ามีในตนไม่เห็นพระพุทธเจ้าปรับตรงไหน นี่ผมพูดกับท่านที่เป็นนักปฏิบัติด้วยกัน คนนอกทุ่งนอกท่าผมไม่ได้พูดด้วย ถ้าผมจะบอกว่ากรรมฐานทุกกองที่ท่านทำจบจุดไหน ผมพยายามทำจบจุดนั้น แล้วก็มหาสติปัฏฐานสูตร ท่านว่าทำจบจุดไหน ผมทำจบจุดนั้น จนกระทั่งมีอารมณ์ชิน ก็ไม่เห็นว่ากรรมฐานกองไหนที่มีความสำคัญกว่ากัน ไม่ต้องไปทำตาใหญ่ตาโต ก็แค่อารมณ์ให้ทรงสมาธิ หรือเป็นปัญญาเหมือนกัน นี่เรื่องความจริงมันเป็นอย่างนี้

แต่ทว่าสำหรับท่านที่หนักใจเรื่องกสิณก็มาว่ากันใหม่ จะบรรเทาความโกรธก็ต้องใช้พรหมวิหาร 4 ใจของท่านทรงอยู่ในพรหมวิหาร 4 เป็นปรกติ ความจริงคนที่มีกำลังใจทรงพรหมวิหาร 4 เป็นปกตินี่เป็นคนที่มีกำลังใจสบายมาก มันมีความสุขแบบบอกไม่ถูกแหละคุณ นี่มันมีความสุขจริงๆ ครับ ไม่เชื่อท่านลองทำดูเถอะ หากว่าท่านจะย้อนถามว่า แล้วก็หลวงตาที่พูดนี่ทำแล้วหรือยัง ก็อย่าลืมว่าทำครับ พรหมวิหาร 4 ก็อยู่ในกรรมฐาน 40 คนที่ไม่มีพรหมวิหาร 4 ประจำใจ ศีลมันก็ไม่มี สมาธิมันก็ไม่มี ปัญญามันก็ไม่มี จะว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ มีปัญญาเหมือนกัน แต่ปัญญามันเลว คือปัญญาคิดไปในด้านเลว ไม่ได้คิดดี คิดชั่ว คิดหาความทุกข์

สำหรับคนที่ทรงพรหมวิหาร 4 นี่ จิตใจจะทรงด้วยความปกติ ถ้าเราเป็นปุถุชนคนธรรมดาผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส มีพรหมวิหาร 4 เล็กน้อยใจก็เป็นสุข อย่างพ่อแม่ทุกคน ครูบาอาจารย์ทุกคนของศิษย์ พ่อแม่ของลูก ครูบาอาจารย์ของศิษย์นี่ทุกท่านมีพรหมวิหาร 4 ทั้งหมด ถ้าไม่มีพรหมวิหาร 4 ท่านก็เลี้ยงเรามาไม่ได้ ท่านก็สอนเรามาไม่ได้ เว้นไว้แต่เราจะเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคนเท่านั้น ที่จะหาว่าครูบาอาจารย์อคติบ้าง รักลำเอียงไม่เที่ยงธรรมบ้าง ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นละก็ต้องมองดูตัวเราว่าเราเลวหรือเราดี ไม่มีครูคนไหน ไม่มีอาจารย์คนไหน ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะอคติกับลูกหรือลูกศิษย์ ครูบาอาจารย์ทุกคนต้องการให้ลูกศิษย์ได้ดี เว้นไว้แต่ว่าลูกศิษย์มันจะเป็นเผ่าพันธุ์ของเทวทัตเท่านั้น ที่มีจิตมุ่งมองเห็นคนอื่นเป็นคนเลวไปหมด ถ้าเลวอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็ขับ

อย่าง พระเทวทัต พระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณาธิคุณ ท่านบอกว่า

“เรารักราหุลลูกชายของเราเท่าใด เราก็รักเทวทัตเท่ากับราหุล” เห็นไหม แต่ทว่าเมื่อเทวทัตทำผิดก็ต้องลงโทษ นี่เป็นเรื่องธรรมดา จะปล่อยให้คนชั่วทรงตัวอยู่ได้ยังไง ในสำนักของเรามีไหม คนอกตัญญูไม่รู้คุณคนมีไหม ถ้าจะมีหรือไม่มีคุณสังเกตดูก็ได้ คนอกตัญญูไม่รู้คุณคนน่ะมีแต่ความเร่าร้อน หาความสุขกายสุขใจไม่ได้ มีความทะเยอทะยานผิดปรกติ อยากจะทำอะไรให้มันดี อยากจะทำอะไรให้มันเด่น ให้ดีกว่าเขา ให้เด่นกว่าเขา นั่นน่ะคน

มาว่าถึงพรหมวิหาร 4 มันของง่ายๆ นี่ครับ ของไม่ยาก ผมขึ้เกียจพูดมาก พูดให้มันยากก็พูดได้ แต่มันจะเกิดประโยชน์อะไร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของไม่ยาก ใจเรา...เราคิดอยากให้ชาวบ้านเขารักเรา หรือว่าเราอยากให้ชาวบ้านเขาเป็นศัตรูกับเรา เราเอาใจของเราเป็นที่ตั้ง ผมว่าถ้าคนไม่บ้า นี่ผมใช้ศัพท์ธรรมดานะ ภาษาไทยแท้ๆ ไอ้แบบใช้สำบัดสำนวนที่คนฟังยากๆ ผมไม่อยากจะพูด เพราะพ่อผมก็เป็นคนไทย แม่ผมก็เป็นคนไทย ผมก็เกิดในประเทศไทย ผมขอพูดอย่างคนไทย ผมคิดว่าคนนั้นถ้าไม่บ้าล่ะก็ ทุกคนมีความรู้สึกว่าเราต้องการเป็นที่รักของคนทั้งโลก อย่าลืมนะ ผมว่าคนไม่บ้านะ เขามีความรู้สึกอย่างนี้

และพรหมวิหาร 4 ข้อที่ 2 ท่านบอกว่า กรุณา ความสงสาร ปรารถนาในการเกื้อกูลให้มีความสุข นี่คุณลองคิดดูว่า คุณมีความรู้สึกเป็นยังไง ว่าคุณต้องการให้คนในโลกนี้เขาสงเคราะห์คุณ หรือว่าคุณต้องการให้คนในโลกนี้เขาตัดขาดจากคุณ เอ๊ะ...ถ้าผมต้องพูดใหม่ ก็ต้องพูดเหมือนเก่าซิ ผมคิดว่าถ้าคุณไม่บ้า คุณก็ต้องการให้คนทุกคนในโลกนี้เกื้อกูลซึ่งกันและกันแม้แต่ตัวเรา และก็เราสำหรับเขา

ข้อที่ 3 ลองนั่งนึกดูว่าถ้าเราได้ดีแล้ว ต้องการให้พวกมาอิจฉาริษยาเราไหม หรือว่าให้เขาสนับสนุนความดีของเรา ตอนนี้ก็ต้องขอตอบว่า ถ้าคุณไม่บ้า คุณก็ต้องคิดว่า ถ้าเราได้ดีเราก็ต้องการให้เพื่อนเห็นความดีของเราว่ามีประโยชน์ และก็สนับสนุนให้ความดีและก็อยากให้เพื่อนทำความดีตามเรา นี่หมายถึงว่าถ้าคุณไม่บ้า ถ้าคุณบ้าผมก็หมดทางแก้

ประการที่ 4 อุเบกขา วางเฉย คืออารมณ์ที่มันเกิดขึ้นมากับกฎธรรมดา สิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ
1. ชาติปิ ทุกขา ความเกิดขึ้นมาแล้วมันต้องทุกข์ เพราะการทำมาหากิน จะต้องทำกินกันเป็นปกติ เพราะการทำกินมันต้องเหนื่อย ไม่ทำกินมันไม่มีกิน
2. ชราปิ ทุกขา เมื่อความเกิดขึ้นมาแล้วมันต้องแก่ ถ้าไม่แก่มันก็เป็นเด็ก คลานไม่ได้ พลิกไม่ได้น่ะซิ มันต้องแก่ เกิดนานวันแก่มาก เกิดน้อยวันแก่น้อย มันก็แก่ทุกเวลา ทุกวินาที
3. มาความป่วยไข้ไม่สบาย เกิดมาแล้วมันก็ต้องป่วย ร่างกายเป็น โรคนิทธัง พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “ร่างกายเป็นรังของโรค” ในเมื่อร่างกายมันเป็นรังของโรค มันก็ต้องป่วย ปภังคุณัง ท่านบอกว่า “ร่างกายของเราจะต้องเปื่อยเน่าเป็นธรรมดา” มรณังปิ ทุกขัง เกิดมาแล้วมันก็ต้องตาย

นี้ต่อมาเราก็มานั่งนึกว่าอารมณ์ของโลก คนที่เกิดมาในโลกนอกจากเกิดแก่เจ็บตายแล้ว มันยังมีอะไรอีก ก็มีอารมณ์ที่ขัดคอขัดใจ ที่คนเขาทำไม่ถูกใจเรา วัตถุธาตุที่เป็นของใช้สอย เครื่องอุปโภคบริโภคที่ไม่ถูกใจเรา มันแก่คร่ำคร่า บ้านใกล้จะพังเพราะมันเก่า เสื้อกางเกงมันจะขาดเพราะมันเก่า สตางค์ที่มีไว้มันใกล้จะหมดเพราะเราใช้มันไปมาก อันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก และถ้ามีลาภ ลาภเกิดขึ้น ลาภมันก็เสื่อม หมด มันหมดไปเพราะใช้มัน เขาตั้งให้เรามียศได้ เขาก็ถอดได้ คนเขานินทาเราได้ เขาก็สรรเสริญได้ เรามีสุขเพราะโลกียวิสัย มันก็มีทุกข์ได้

อาการทั้งหลายที่พูดมาแล้วนี้ทั้งหมด ถ้ามันเกิดขึ้นกับใจ ขอพูดใหม่ดีไหม ว่าถ้าคุณไม่บ้า คุณจะไม่หนักใจมันเลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นของธรรมดา ถ้าเราเกิดมาในโลก แล้วเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนที่ต้องการฝืนไม่ให้อาการอย่างนี้ปรากฎก็คือคนบ้า ฝืนยังไงมันก็ฝืนไม่ได้

ความจริงนี่คุณจะคิดว่า เอ...ผมคงจะบ้ามากนะ ขึ้นท้ายก็บ้า ลงท้ายก็บ้า ถ้าคุณพูดอย่างนี้ผมยอมรับคุณ ว่าผมนี่น่ะเป็นคนบ้ามาแล้ว 2 แบบ คือเมื่อตอนหนุ่มๆ ผมยังไม่บวชหรือว่าบวชใหม่ๆ ตั้งแต่วันเกิดมาแล้วกัน ตั้งแต่วันเกิดมาจนกว่าจะถึงวันบวช บวชแล้วก็ยังไม่แก่นัก ตอนนั้นผมก็บ้า ผมบ้าเกาะ ผมเกาะดะ ผมเกาะพ่อ เกาะแม่ เกาะพี่ เกาะน้อง เกาะญาติผู้ใหญ่ เกาะทรัพย์สิน ดีไม่ดีย่องไปเกาะลูกสาวชาวบ้านเขาเข้าให้ไม่ใช่ย่องนะ บางทีวิ่งไปเลย เห็นเขาแต่งตัวดี ชอบใจ ทรวดทรงดีวิ่งตามส่ง มันย่องๆ ค่อยยังชั่วหน่อย นี่ไม่ย่อง ย่องไปทำไม ย่องจะไปเกาะเขาน่ะสิ ดีไม่ดีพอทันแกเข้า แกหันมาตบหน้าเอามั่ง ด่าเอามั่ง สบาย...กลับบ้านสบาย ชื่นใจนิดหนึ่ง

มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 13.2 https://pantip.com/topic/43147548
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่