เจอคนที่ตรงกันทุกอย่าง แต่ไปด้วยกันไม่ได้ในเรื่องที่บอกใครไม่ได้ (ช/ช)

ผมเป็นชายรักชายที่โตในต่างจังหวัดคนหนึ่งครับ ตอนเด็กๆ ผมมีเพื่อนบ้านที่บ้านอยู่ในละแวกเดียวกันอยู่คนหนึ่ง ซึ่งบ้านผมก็อยู่ในตัวเมือง น้องเค้าเด็กกว่าผม ๒ ปี เราเดินผ่านเจอหน้ากันประจำ ตั้งแต่ ม.ต้น มาแล้ว แต่เราเรียนกันคนละโรงเรียน เรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนคู่แข่งกันมาตั้งแต่ ประถม จน ม.ต้น และ ม.ปลายเลย

แต่นั้นก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่า เพราะผมรู้สึกว่าน้องเค้าน่ารักดีมานานมากแล้ว ตั้งแต่ ม.ปลายได้มั้ง ที่เริ่มรู้สึก บ้านน้องเค้าเปิดเป็นคลินิกเพราะ อาเป็นหมอ ผมเดินผ่านหน้าคลินิก ก็จะมองผ่านกระจกเข้าไปว่าน้องเค้าอยู่มั้ย ถ้าอยู่จะนั่งริมกระจก ไม่ก็ด้านในตลอด

เวลาผ่านไปจนโตขึ้นเรียนมหาลัย เราก็ไม่ค่อยได้เจอกัน ยกเว้นช่วงปิดเทอมที่ต่างคนต่างกลับมาบ้าน แล้วจะไปเดินเจอกันโดยบังเอิญตามห้างในเมืองบ้าง แต่ผมจำได้ว่าเจอน้องเค้าบ่อยที่สุดที่ร้านนายอินทร์ ซึ่งผมไปซื้อหนังสือบ่อยเหมือนกัน

จนตอนที่เราทำงาน ผมเป็นครูโรงเรียนในจังหวัด ส่วนน้องเค้าก็เป็นครูเหมือนกันแต่ไปบรรจุที่อีสาน ก็ติดตามกันผ่านโซเชียลมาตลอด เมนต์บ้างเป็นระยะๆ แต่น้องเค้าก็ไม่ได้ตอบเมนต์อะไรนะครับ เพราะเราไม่รู้จักกันจริงๆ จังๆ 

จนน้องเค้าได้ย้ายกลับบ้าน ตอนนั้นผมเห็นชื่อในประกาศผลย้าย ผมก็เลยแชตไปแสดงความยินดี สิ่งที่น้องเค้าตอบคือ "จำน้องได้ด้วยเหรอ" ผมก็แอบดีใจไปอีก เพราะน้องเค้าก็รู้ว่าผมคือพี่คนนั้นที่บ้านใกล้กัน แต่เราไม่เคยคุยกัน

จนต่อมาผมเปลี่ยนตำแหน่งไปเป็นงานด้านวิชาการมากขึ้น และย้ายจากโรงเรียนไปอยู่เขตพื้นที่ฯ ผมก็ยังคงสนใจน้องเค้าเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนใจ จนมีโอกาสเจอกันตามงานเช่น ตอนจัดงานนิทรรศการระดับจังหวัด น้องเค้าก็ได้รับคำสั่งจาก รร. ให้มาถ่ายภาพ ผมก็เป็นครั้งแรกที่ได้คุย คือ เอาป้ายห้อยคอไปให้น้องเค้าในฐานะ staff และ อีกครั้ง ก็คือตอนผมไปที่ รร. น้องเค้า น้องเค้าก็เข้ามาทัก คราวนี้ก็ได้คุยกันนานหน่อย คิดตอนนั้นว่า เสียงน่ารักจัง

เรื่องมันก็ผ่านมาจนถึงวันที่ผมจัดงานอีเวนต์ เกี่ยวกับการศึกษา และต้องการทีมถ่ายทำสื่อประชาสัมพันธ์ เลยติดต่อน้องเค้าไป ครั้งนี้ทำให้เราต้องทำงานกันนานต่อเนื่อง ตลอดสัปดาห์ เราเริ่มนัดกินข้าวตอนเช้ากันก่อนไปทำงาน, น้องเค้าซื้อกาแฟมาฝากผม, อีกวัน ผมก็ซื้อกาแฟไปคืน และก็คุย ๆ กันมาตลอดทางแชต

เป็นคนที่รู้สึกว่าแชตสนุกมาก คุยได้ทุกเรื่อง น้องโต้ตอบดีมาก ไม่ใช่เออออไปทุกอย่างแต่มีการแชร์ทัศนคติ มุมมองใหม่ๆ เป็นคนที่น่าสนใจคนหนึ่งเลย

โดยครั้งแรกที่ผมทักแตไปหาน้องเค้าคือวันเกิด ปีที่ผ่านมา ผมก็อวยพรวันเกิดตามปกติ น้องเค้าก็ตอบมาว่า "ขอบคุณครับ" แค่นั้นแหละไม่มีอะไรมากกว่านั้น
จนเหมือนจะมีวันหนึ่งที่น้องเค้าลงสตอรี่กับหมาที่บ้าน ซึ่งน่ารักมากกกก 
เลยไปเมนต์ในสตอรี่ว่า น่ารักมาก น้องก้ถามว่า "ข้างๆ หรือตรงกลางที่น่ารัก" คือหมายถึง ที่บอกว่าน่ารักนะ หมา หรือคน เลยบอกว่า "ซ้าย ขวา" น่ารัก ....แต่ไม่เท่าตรงกลาง"

หลงจากนั้นก็คุยกันไปเรื่อยๆ ตามประสา เวลาน้องเค้าต้องมาที่สำนักงานเขตที่ผมทำงาน ก็จะทักมาบอก ว่าวันนี้ไปเขตนะ ก็นัดกินกาแฟกันอะไรกันว่าไปตามประสา

จนน้องเริ่มเห็นผมสะสมน้ำหอมหลายขวด น้องก็สนใจน้ำหอม เลยถามว่ามีขวดนี้ๆ มั้ย อยากเทสต์ ผมก็บอกว่ามาเทสต์ได้เลย แต่น้องจะชอบกลิ่นที่ Musky หน่อยๆ ส่วนผมจะ Floral ไปเลย

จนวันนที่ ๘ มิย.๖๗ ผมก็ขอยืมหนังสือที่น้องเรียนตอน ป.โท เกี่ยวกับงานที่ผมทำ มาซีรีอกซ์ ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานมาก เรานัดกันที่สตาร์บัคซึ่งผมไปประจำจนและก็รู้ว่าน้องเองก้ไปประจำเหมือนกันวันนั้นผมกินชาเขียว ส่วนน้องผมก็เลี้ยงช๊อคโกแลต เพราะเรายืมหนังสือเค้าอะเนอะ ตั้งหลายเล่มแค่แบกมาให้ก็เกรงใจละรวมๆ น่าจะหกเจ็ดโลแหละ

จนเวลาผ่านไปเราก็ยังคุยกันทุกวัน เรื่องที่คุยก็เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ จากเรื่องาน เป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ  เป็นเรื่องครอบครัว เรื่องทัศนคติการใช้ชิวิต การเมือง ของที่ชอบ อาหารที่ไม่ชอบ เรื่องในอดีตของตัวเอง ชีวิตวัยเด็ก
คุยกันจนผมคิดว่า เออเรารู้จักน้องมากแล้วเนอะ เหมือนการที่เราคุยกันทุกวัน มันมาเติมในช่วงเวลาที่เราแยกย้ายกันไปอยู่นั้นนี้ แต่ต่อติดกันด้วย เรื่องที่เล่ากันมาตลอด มันเหมือน เค้ายังเป็นเด็กข้างบ้านคนเดิมที่เราไม่ได้หายไปไหน โตมาถึงตอนนี้ก็ยังรู้เรื่องของเค้าเหมือนเดิม

ช่วงนั้นผมติดต่อให้น้องมาเป็นคณะทำงานถ่ายทำคลิปงานของเขต น้องก็ยินดี (แอบดีใจว่าได้เจอกันหลายวันแน่เลย) แต่ช่วงนั้นผมไปราชการที่แถวภาคอีสาน ซึ่งน้องไปบรรจุที่ทางนั้นก็จะคอยบอกทาง บอกที่เที่ยว ร้านที่เคยกิน ว่าถ้าไปได้ลองไปกินนะ อร่อย อะไรทำนองนั้น

จนผมกลับมาน้องผมก้ไปเป็นวิทยากรที่โรงเรียนที่น้องสอน ตอนเย็นก่อนวันที่ไปบรรยายน้องก็ถามว่า น้องติดรถไปด้วยได้ป่าว ก็เลลยเป็นครั้งแรกที่น้องนั่งรถผม....นั่งตัวเกร็งตลอดทางเลย หมายถึงผมนะ

วันหนึ่ง ผมป้ายยาน้องว่าควรซื้อ DJI Mic2 น้องก็ไปเทสต์ ๆ จนได้มา , แล้วน้องก็ป้ายยาผมด้วยว่า ควรมี DIVOOM อะ ผมก้ไปได้มาเหมือนกัน อีก

เช้าอีกวันของการทำงาน ผมก็ไปสั่งกาแฟ เลยถามน้องว่าอยากกินกาแฟมั้ย น้องบอกเอาชาเขียว เลยได้ไปคนละแก้ว อีกวัน ก็สลับกัน น้องสั่งกาแฟ และก็เผื่อผม ๑​ แก้ว 

สรุปได้ว่าพาร์ทชีวิตระหว่างผมกับน้องช่วงนั้น คือ เราเป็นเหมือนช่วงเรียนรู้กันและกันว่าเทอเป็นไง ชั้นเป็นไง จนกระทั้ง เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็น 7 วันที่ผมน่าจะมีความสุขที่สุดเลยเพราะ ผมกับน้องไปประชุมด้วยกันที่ กทม.  แต่วันเดินทางวันแรกมันติดกับวันหยุด หมายถึง เราจะได้เวลาเพิ่มอีก ๑ วัน
น้องเลยชวนว่าเราไปกันก่อนมั้ยจะได้เที่ยวด้วย เลยตกลงกันว่า โอเคไปก่อน ๑ วัน ส่วนที่พัก ผมให้น้องเลือกเลย
 **--ซึ่งประเด็นนี้ผมก็ยังงงตัวเอง ว่าผมเป็นคนจู้จี้มาก เรื่องที่กินที่นอน แต่ผมไว้ใจให้น้องเลือกโรงแรมที่พักได้เลย ไม่ถามว่าพักที่ไหน , คืนเท่าไหร่ , อาหารเช้ายังไง ผมเหมือนไว้ใจในเทสต์ของน้องมากๆ--** 

จนสุดท้ายน้องก้เลือกโรงแรมเดอะควอเตอร์ ซึ่งเป็นโรงแรมที่ผมเคยไปพัก และชอบมากกกกกกก เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบเครื่องลายครามอยู่แล้ว และที่นี้ก็ตกแต่งด้วยเครื่องลายครามเต็มโรงแรมเลย อากาศก็ดี โรงแรมอยู่ริมน้ำเลยอากาศดีมาก เป็นความสุขที่ได้รับในวันนั้น

ระหว่างทางที่ขับรถไปจากทางใต้ไป กทม. ปกติผมตจะเป็นคนห่วงรถมาก ไม่อยากให้ใครขับรถผม แต่ตอนเราไปถึงประจวบ น้องบอกว่า "ให้น้องขับให้มั้ย" พี่จะได้พัก" ผมก็ให้เฉย ๕๕๕๕๕
ปรากฏว่าตั้งแต่ตอนนั้น จนถึงวันกลับ น้องเป็นขับให้ตลอด ทุกวันใน กทม. น้องขับรถตลอดเลย
**--ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ เพื่อนทุกคนที่รู้ งงมาก ว่าคนนี้เป็นใครทำไมผมยอมให้ขับรถผมได้--**

คืนวันนั้นเราไปเที่ยวไอคอนสยามกัน เป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมเกิดเลย ที่ได้เจอกับคนที่สามารถเดินช๊อปปิ้งด้วยกันได้แบบไม่มีบ่น ไม่มีเบื่อ เข้าร้านนี้ ออกร้านโน๊น ตั้งแต่ LV (น้องไปซ์้อกระเป๋าตัง) ออกไปผมก้เข้า Dior (ไปซื้อน้ำหอม) ระหว่างเดินเล่นๆ น้องบอกว่า ถ้าเจอ Longchamp จะซื้อ เพราะรอบนี้จะเอา Longchamp ที่เอามาด้วยไปสปา จะทำให้ไม่มีกระเป๋าใช้ เลยต้องซื้อใหม่
ในใจผมกรี๊ดเลย เพราะเหมือนกับผมเลย ดูแลของดี เข้าสปาได้เพื่อให้ของยังใหม่เสมอ และถ้าลืมหรือไม่มีอะไรใช้ การซื้อใหม่คือทางออก  แล้วน้องก้ได้ Longchamp มาใหม่ ๑ ใบ วันนั้นคือเราซื้อของกันสนุกมากกกกกกกกก

ต่อด้วยการไปนั่งรอดูพลุที่ลานสตาร์บัคชั้น ๗ น้องให้ผมจองโตีะที่ระเบียงไว้ และก็ไปซื้อกาแฟ ผมก้เกรงใจเพราะ กาแฟที่ผมกินมันจู้จี้ คือ ผมจะกิน Hot Venti caramel macchiato non-fat  เปลี่ยนเป็น Herzenut Syrub เอาแค่ ๒ ปั๊ม .... ตอนนั้นกะเอาว่า ไม่เป็นไร ได้อะไรมาก็กิน ปรากฏว่า....ถูกต้องจ้าาาา เออ ประทับใจไปอีกหนึ่ง
ระหว่างที่รองพลุ เราก้เลื่อนโต๊ะไปเรื่อยๆ เพื่อให้ใกล้กับระเบียงที่สุด แต่สุดท้ายพลุก็ไม่มา และพนักงานก็ขอว่าจะปิดโซนแล้ว เลยออกกันมา ระหว่างเดินๆ ก็เก็บชีอปปิ้งไปเรื่อยๆ สนุกมาก

ตอนเช้าเราก้ไปกินข้าวกัน เมนูที่ต่างคนต่างตักมา .... เหมือนกันเลย แต่ต่างกันที่ปริมาณ
วันนั้นเราชวนไปกันเที่ยวพิพิธภัณฑ์บ้านจิมทอมสัน ผมไปซื้อตั๋ว แต่มันติดทันรอบไกด์ภาษาอังกฤษ ผมเลยถามว่าน้องโอเคมั้ยถ้าเป็นไกด์ภาษาอังกฤษ น้องว่าโอเค ผมก็ติ๊กถูกอีก ๑ เพราะ อ่าา ภาษาได้ แต่ก็ยังคิดๆ ว่าอาจจะไม่อินเท่าไหร่มั้ง เลยไม่อะไรมาก ภาษาอะไรก็เหมือนกัน แต่เมื่อไปทริปจริงๆ ปรากฏว่า ผมก็สไตล์เด็กเนิร์ด คือยืนกอดอกแล้วขวมดคิ้วตั้งใจฟังไกด์ แล้วมีจังหวะหนึ่งที่เรื่องมันคือเรื่องที่เราคุยกันมาในรถ เลยจะหันไปพยักเพยิดว่า นี้ไงเรื่องที่เราคุยกัน ภาพที่เห็นคือ น้องก็คือ ยืนท่าเดียวกันเลย ตั้งใจฟังเหมือนกัน.....ผมเลย ว๊าววววววววว ครั้งแรกเลยที่เจอคนที่ อินกับเรื่องเดียวกันขนาดนี้

จนกระทั่งเราไปประชุม ทุกอย่างก็ปกติ จนตอนเย็นเราไปเที่ยว One Bangkok กัน มุมภาพที่ถ่ายก็ทำให้ประทับใจตลอด และที่สำคัญ เป็นครั้งแรกที่ผมเจอคนที่ชวนกันกินได้แบบไม่กำงวลเรื่องราคา (ไม่ใช่รวยนะ แต่เห็นคุณค่าของของทีก่ินมากกว่าราคา) คือเรากิน Oh juice กัน ผมเคยกินตอนไปกะคนอื่น จะโดนบ่นว่าสิ้นเปลือง มั้งอะไรบ้าง แต่นี้ไม่มีเลย ต่างคนต่างสนใจและชอบเหมือนกัน

อีกวันเราไปเที่ยว Maga bangna น้องเอากระเป๋าไปสปา ส่วนผมจะไปซื้อแป้ง Dior ระหว่างที่นั่งลองแป้ง ก็แอบคิดว่าน้องจะเบื่อมั่ยวะแต่ผมลองเสร็จ น้องก็มาลองต่อ ผมเลย ว๊าวววววว ดีจังง เป็นคนแรกที่ชีอปปิ้งกันได้สนุกขนาดนี้ แล้วเราก้ไปดูนันนนี้ ผมไปซื้อหมวกกับถุงเท้า Nike น้องไปซื้อรองเท้า Air Focee1 ซึ่งเป็นสีและรุ่นเดียวกับที่ผมมีแล้ว...คิดในใจว่า ถ้าเอามานะ คู่เลย

อีกวันเราไป Maga bangna อีกรอบแต่มีพี่ๆ ไปด้วยอีก ๒ คน เราต่างตนต่างแต่งตัวในห้องน้ำ น้องแต่งในห้อง (เรานอนห้องเดียวกันในโรงแรมที่ประชุม) พอออกมาจากห้องน้ำ...ฮึ....ธีมเดียวกันเลย กางเกงขาสั้น เสื้อยืดสีพื้น รองเท้าผ้าใบ กระเป๋าโท๊ด....อะไรเนี้ยยยยยยย วันนั้นเรากินชาเหมือนกันอีกคือร้าน การัน ก็ประทับใจกันไปไม่มีใครห้ามใคร

ทั้งหมดที่เล่ามาคร่าว ๆ เป็นแค่ 30% ของความเหมือนที่ผมกับน้องมีเหมือนกัน แต่ผมไม่สามารถไปต่กับน้องได้ ด้วยเหตุผลบางอย่าง และจริงๆ น้องอาจจะมองผมเป็นแค่พี่คนหนึ่งก็ได้ .... ผมเลยอยากเล่าเก็บไว้ในพันทิป ให้เป็นความทรงจำดีๆ ว่าครั้งหนึ่งผมเคยเจอคนที่เหมือนกันขนาดนี้

เรียกว่า...."อย่างน้อยก้ได้เจอกัน"......

ขอบคุณที่สละเวลาอ่านครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่