“ธนาธร” ลุยหาเสียงเมืองดอกบัว อ้อนขอโอกาสเข้าไปบริหาร ลั่นจะไม่ทำให้ผิดหวัง
https://ch3plus.com/news/political/morning/427879
นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง นายก อบจ.อุบลราชธานี พรรคประชาชน เดินทางมาปราศรัย ที่วัดบ้านเชียงแก้ว อำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี ช่วยนายสิทธิพล เลาหะวนิช ผู้สมัครนายกอบจ.อุบลราชธานี ของพรรคประชาชน หาเสียง โดยทันทีที่นายธนาธรมาถึง ได้รับการต้อนรับด้วยมาลัยดาวเรือง มาลัยฝักบัว และมาลัยข้าวหลาม ก่อนที่ผู้เฒ่าผู้แก่จะผูกข้อมืออวยพรขอให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
นาย
ธนาธร เปิดการปราศรัย ด้วยคำถามว่าทราบหรือไม่ ชาวอุบลราชธานี มีรายได้ต่อคนเฉลี่ยเท่าไหร่ 6,500 บาทต่อเดือน รู้หรือไม่ เราจนเป็นอันดับที่ 67 ของประเทศ ทั้งที่เป็นจังหวัดใหญ่ ใครคิดว่าทำนาจนตาย ก็คืนหนี้ ธ.ก.ส.ไม่หมด ชีวิตคนอีสานก็ลำบากอย่างนี้ นี่คือนโยบายหลักของเรา เราอยากทำให้คุณภาพชีวิตของพี่น้องดีขึ้นในหลายมิติ
เราจะทำให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1,000,000 คนจาก 3,000,000 คน ลองให้โอกาสเราดู เราจะทำให้ดูว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่นี่มีศักยภาพ ถ้าเอามาบริหารให้เป็น ทำได้
ถ้าไม่เชื่อขอให้ไปเปิดหนังสืองบประมาณของจังหวัดอุบลราชธานีดูว่า เขาลงทุนส่งเสริมการท่องเที่ยวเท่าไหร่ ตนคิดว่าไม่มี นี่คือสิ่งที่เราจะทำ คือปรับงบประมาณเสียใหม่ งบอะไรที่ทำแล้วไม่เกิดประโยชน์ตัดทิ้งให้หมดซะ และนำมาจัดการระบบสาธารณสุข การศึกษา ระบบโครงสร้าง น้ำประปา ชลประทาน การท่องเที่ยว ยกระดับรายได้เฉลี่ยของคนอุบลราชธานี
“
ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง ขอโอกาสให้เราลองเข้ามาหาบริหารอุบลราชธานีสักครั้ง ถ้าเลือกเราแล้วทำไม่ได้ 4 ปีข้างหน้า ธนาธรไม่มาหรอกครับ เพราะอายครับ นี่คือข้อดีของประชาธิปไตย แต่ถ้าเขาทำได้ 4 ปีข้างหน้า ก็ให้เขาเป็น 2 สมัยเลย” นาย
ธนาธรกล่าว
พร้อมย้ำ ถ้าเลือกผู้สมัครของเรา ท่านจะได้ธนาธรและพิธา มาช่วยบริหารอุบลราชธานี กาให้เยอะๆ จะได้กลับมาบ่อย ประเทศไทยเปลี่ยนแปลง และดีกว่านี้ได้ เราอยากจะทำให้เห็น และอยากจะขอโอกาสจากพี่น้องประชาชน ให้โอกาสเรา “ให้เราเข้าไปบริหารจังหวัดสักจังหวัด” และเราจะเข้าไปบริหารอย่างเต็มที่ ตามที่สัญญากับพ่อแม่พี่น้อง พวกเราจะตั้งใจ จะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวัง
"ไอซ์ รักชนก" แซะ "สส.เดียร์" เข้าใจนายกฯเป็นพิเศษ เพราะอาศัยบารมีบุพการีเหมือนกัน
https://siamrath.co.th/n/587164
วันที่ 13 ธ.ค.67 น.ส.
รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "
รักชนก ศรีนอก - Rukchanok Srinork" ระบุว่า...
ต้องถามก่อนว่าตกลงเป็น “แถลงนโยบาย” หรือ “สรุปผลงาน”
เพราะสิ่งที่ประชาชนคาดหวังกับการแถลงสรุปผลงานวันนี้ คือ “ผลงาน” ทั้งนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชนตอนเลือกตั้งและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น ไม่ได้หวังจะเห็นนายกฯ มา “ฝึกงาน” และ “ฝากงาน” ให้รัฐมนตรีไปศึกษาและทำเรื่องต่างๆ
ถ้าจะมอบหมายงานกัน ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียงบประมาณ จัดแจงสถานที่ หอบสังขารกันมาถึงตรงนี้ คุยในที่ประชุม ครม. เอาก็คงได้
และไม่อยากให้ลืมว่า รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยชุดนี้ รวมถึงรัฐมนตรีกว่าครึ่งอยู่ในตำแหน่งมา 1 ปี 4 เดือนแล้ว ไม่ใช่ 90 วันค่ะ
น่าเสียดายที่มันกลายเป็นการ “เล่าสิ่งที่กะว่าจะทำปีหน้า” ซึ่งผิดฝาผิดตัวแบบนี้ ทั้งที่ข้างตัวนายกก็มีผู้มากประสบการณ์หลายคนคอยอนุบาลให้ แต่เพราะอะไรกัน เพราะรัฐบาลไม่มีผลงานหรือความคืบหน้าในการดำเนินนโยบายที่หาเสียงเอาไว้หรือไม่มีปัญญาหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น เช่น เรื่องรถนักเรียนไฟไหม้ นายกใช้เป็นคลิปเปิดงาน สรุปว่ามาตรการต่างๆคืบหน้าไปถึงไหน ได้แก้ทั้งระบบหรือยัง? หรือว่าแค่มีรูปไปหน้างานก็พอแล้ว
คุณขัตติยาอาจจะเข้าใจนายกเป็นพิเศษ เพราะต่างได้อาศัยบารมีของบุพการี เพื่อมาอยู่ตรงนี้เหมือนๆกัน
สุดท้ายแล้ว หากนายกฯ ถูกเวลาจำกัด จนไม่สามารถอธิบายลงรายละเอียดในการแถลงได้ ดิฉันขอเสนอให้ท่านนายกฯ มาตอบกระทู้สดในสภา มาแสดงศักยภาพให้ประชาชนได้เห็น ว่านายกแพรทองธารคือตัวจริงเสียงจริงเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินและพร้อมจะแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างแท้จริง ขอให้ท่านนายกใช้สภาในการสื่อสารกับประชาชนด้วยค่ะ
https://www.facebook.com/nanaicez112/posts/pfbid0bWRY1kHfgLp2SqXdEPBs9mCMzRN44bdN91vuwd1T9718FLswPsF9Gqsu8m2FNE3Xl
ผู้ส่งออกข้าว ชี้ นายกฯ ขายฝัน ทลายทุนผูกขาดส่งออกข้าว
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1157575
ผู้ส่งออกข้าว ยันไม่มีทุนผูกขาดส่งออกข้าว แข่งขันอย่างเสรี ไม่ขัดยกเลิกสต๊อกข้าว 500 ตัน เกษตรกรขายข้าวเอง ถามกลับนโยบายขายฝันทำได้จริงหรือไม่
น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 3 เดือน และมอบนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีให้แก่ข้าราชการระดับสูง เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2567 ภายใต้แคมเปญ “
2568 โอกาสไทย ทำได้จริง 2025 Empowering Thais: A Real Possibility จากผลงานที่เป็นรูปธรรม สู่อนาคตที่ทำได้จริง”
ส่วนหนึ่งของนโยบายที่รัฐบาลจะดำเนินการในปี 2568 จะเป็นการทลายทุนผูกขาดครอบคลุมสินค้า 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.พลังงาน 2.ข้าว 3.สุราชุมชน
ทั้งนี้ รัฐบาลกำหนดแนวทางการทลายทุนผูกขาดการส่งออกข้าว 3 ขั้นตอนประกอบด้วย
1.ลดขั้นตอนการขออนุญาตเป็นผู้ส่งออกข้าว ซึ่งเดิมต้องมีสต๊อกข้าว 500 ตัน (20 ตู้คอนเทนเนอร์) โดยจะปลดล็อกการกำหนดสต๊อกข้าวส่งออกด้วยการแก้ไขประกาศฉบับที่ 150 เรื่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวขออนุญาตประกอบการค้าข้าว ตาม พ.ร.บ.การค้าข้าว พ.ศ.2489 เพื่อปรับลดสต๊อกข้าวสำหรับผู้ส่งออกลง
2.ปรับขั้นตอนการขออนุญาต จดทะเบียน ออกฟอร์ม และการลดต้นทุน
3.สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ของวงการข้าวไทยในตลาดโลกครอบคลุมข้าวพื้นนุ่ม และข้าวเพื่อสุขภาพ
น.ส.
แพทองธาร กล่าวว่า จะแก้ปัญหาผูกขาดทุกชนิด การผูกขาดนั้นเป็นการเพิ่มต้นทุนให้ประชาชน และทำให้พี่น้องประชาชนยากจนลง รัฐบาลจะเร่งดำเนินการปลดล็อกการผูกขาด โดยเฉพาะเรื่องข้าวที่ตั้งเป้าให้เกษตรกรทุกคน และผู้ค้าข้าว SMEs สามารถส่งออกข้าวไปทั่วโลกได้เอง
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การที่กฎหมายระบุให้การส่งออกต้องมีที่เก็บข้าว 500 ตัน ทำให้เกษตรทำไม่ได้ รัฐบาลจะปลดล็อกเรื่องนี้ เพื่อส่งออกข้าวจากตัวเองได้นั้น เรื่องนี้เป็นกฎหมายออกมาบังคับใช้นานแล้ว ซึ่งหากจะแก้ไขไม่ต้องมีสต๊อกเก็บข้าว ทางผู้ส่งออกก็ไม่ได้ขัดข้อง
สำหรับเป้าหมายการกำหนดให้มีที่เก็บข้าว 500 ตัน เพื่อป้องกันหากเกิดการขาดแคลนการส่งออกข้าวเท่านั้น โดยไม่ได้มีประเด็นการผูกขาดทั้งสิ้น ซึ่งการส่งออกข้าวเป็นการค้าเสรี (ฟรีเทรด) ใครที่มีความสามารถก็เป็นผู้ส่งออกได้ ซึ่งผู้ส่งออก และโรงสีข้าวในประเทศมีอยู่หลายพันราย ไม่มีเพียงรายเดียว ดังนั้นหากจะยกเลิกก็ได้เพราะไม่ได้ทำให้การแข่งขันน้อยลง
นอกจากนี้ หากรัฐบาลต้องการให้ชาวนา และเอสเอ็มอีส่งออกข้าวได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ข้อเท็จจริง คือ ชาวนา และเอสเอ็มอี จะส่งออกได้หรือไม่ เพราะต้องดูข้อเท็จจริงตั้งแต่เริ่มปลูก และผลผลิตข้าวเปลือก จากนั้นต้องสีเป็นข้าวสาร
รวมทั้งการส่งออกต้องมีใบอนุญาต และมีค่าใช้จ่ายด้านเอกสาร รวมถึงการหาตลาดส่งออกเอง โดยประเด็นที่รัฐบาลต้องการทำให้ราคาข้าวดีขึ้นนั้นก็คงไม่ใช่เพราะต้องขึ้นอยู่กับกลไกตลาดทั้งดีมานด์ และซัพพลาย
นาย
ชูเกียรติ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าใครให้ข้อมูลนายกฯ และที่บอกว่าใครจะส่งออกต้องเป็นสมาชิกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยก็ไม่จริง โดยข้อเท็จจริง คือ การส่งออกข้าวหอมมะลิต้องเป็นสมาชิกของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย สมาคมโรงสี สมาคมข้าวถุง เพราะต้องพิจารณาผู้ส่งออกข้าวหอมมะลิมีศักยภาพส่งออกข้าวดีมีคุณภาพ ส่วนการส่งออกข้าวชนิดอื่นไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกสมาคมใดเลย
“
ที่บอกว่านายทุนผูกขาด ถือว่ารุนแรงมาก ผู้ส่งออกก็ทำตามกฎระเบียบที่วางไว้ ขอย้อนถามว่า เกษตรกรจะส่งออกเองได้หรือ อย่าขายฝัน ยืนยันไม่มีการผูกขาดในการส่งออก ขายข้าว” นาย
ชูเกียรติ กล่าว
สำหรับการส่งออกข้าวในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ต.ค.) ไทยส่งออกข้าวแล้วปริมาณ 8.35 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20% มีมูลค่า 191,031 ล้านบาท (ประมาณ มูลค่า 5,411 ล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 40%
แบ่งเป็น ข้าวขาวมากเป็นอันดับหนึ่งที่ปริมาณ 5.18 ล้านตัน คิดเป็น 62% ของปริมาณการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ข้าวหอมมะลิไทย 1.37 ล้านตัน ข้าวนึ่ง 1.01 ล้านตัน ข้าวหอมไทย 0.54 ล้านตัน ข้าวเหนียว 0.23 ล้านตัน และข้าวกล้อง 0.02 ล้านตัน
ตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญ ได้แก่ อินโดนีเซีย ซึ่งไทยส่งออกข้าวไปอินโดนีเซียมากเป็นอันดับหนึ่งที่ปริมาณ 1.12 ล้านตัน คิดเป็น 13% ของปริมาณการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด
รองลงมา ได้แก่ อิรัก 0.95 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23 %) แอฟริกาใต้ 0.72 ล้านตัน (ลดลงจากปีก่อน 12%) สหรัฐอเมริกา 0.70 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 21%) และฟิลิปปินส์ 0.49 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 250%)
JJNY : “ธนาธร”ลุยหาเสียงเมืองดอกบัว│"ไอซ์ รักชนก"แซะ"สส.เดียร์"│ผู้ส่งออกข้าวชี้นายกฯ ขายฝัน│“ทรัมป์” ยังไม่เชิญ “ปูติน”
https://ch3plus.com/news/political/morning/427879
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง นายก อบจ.อุบลราชธานี พรรคประชาชน เดินทางมาปราศรัย ที่วัดบ้านเชียงแก้ว อำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี ช่วยนายสิทธิพล เลาหะวนิช ผู้สมัครนายกอบจ.อุบลราชธานี ของพรรคประชาชน หาเสียง โดยทันทีที่นายธนาธรมาถึง ได้รับการต้อนรับด้วยมาลัยดาวเรือง มาลัยฝักบัว และมาลัยข้าวหลาม ก่อนที่ผู้เฒ่าผู้แก่จะผูกข้อมืออวยพรขอให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
นายธนาธร เปิดการปราศรัย ด้วยคำถามว่าทราบหรือไม่ ชาวอุบลราชธานี มีรายได้ต่อคนเฉลี่ยเท่าไหร่ 6,500 บาทต่อเดือน รู้หรือไม่ เราจนเป็นอันดับที่ 67 ของประเทศ ทั้งที่เป็นจังหวัดใหญ่ ใครคิดว่าทำนาจนตาย ก็คืนหนี้ ธ.ก.ส.ไม่หมด ชีวิตคนอีสานก็ลำบากอย่างนี้ นี่คือนโยบายหลักของเรา เราอยากทำให้คุณภาพชีวิตของพี่น้องดีขึ้นในหลายมิติ
เราจะทำให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1,000,000 คนจาก 3,000,000 คน ลองให้โอกาสเราดู เราจะทำให้ดูว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่นี่มีศักยภาพ ถ้าเอามาบริหารให้เป็น ทำได้
ถ้าไม่เชื่อขอให้ไปเปิดหนังสืองบประมาณของจังหวัดอุบลราชธานีดูว่า เขาลงทุนส่งเสริมการท่องเที่ยวเท่าไหร่ ตนคิดว่าไม่มี นี่คือสิ่งที่เราจะทำ คือปรับงบประมาณเสียใหม่ งบอะไรที่ทำแล้วไม่เกิดประโยชน์ตัดทิ้งให้หมดซะ และนำมาจัดการระบบสาธารณสุข การศึกษา ระบบโครงสร้าง น้ำประปา ชลประทาน การท่องเที่ยว ยกระดับรายได้เฉลี่ยของคนอุบลราชธานี
“ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง ขอโอกาสให้เราลองเข้ามาหาบริหารอุบลราชธานีสักครั้ง ถ้าเลือกเราแล้วทำไม่ได้ 4 ปีข้างหน้า ธนาธรไม่มาหรอกครับ เพราะอายครับ นี่คือข้อดีของประชาธิปไตย แต่ถ้าเขาทำได้ 4 ปีข้างหน้า ก็ให้เขาเป็น 2 สมัยเลย” นายธนาธรกล่าว
พร้อมย้ำ ถ้าเลือกผู้สมัครของเรา ท่านจะได้ธนาธรและพิธา มาช่วยบริหารอุบลราชธานี กาให้เยอะๆ จะได้กลับมาบ่อย ประเทศไทยเปลี่ยนแปลง และดีกว่านี้ได้ เราอยากจะทำให้เห็น และอยากจะขอโอกาสจากพี่น้องประชาชน ให้โอกาสเรา “ให้เราเข้าไปบริหารจังหวัดสักจังหวัด” และเราจะเข้าไปบริหารอย่างเต็มที่ ตามที่สัญญากับพ่อแม่พี่น้อง พวกเราจะตั้งใจ จะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวัง
"ไอซ์ รักชนก" แซะ "สส.เดียร์" เข้าใจนายกฯเป็นพิเศษ เพราะอาศัยบารมีบุพการีเหมือนกัน
https://siamrath.co.th/n/587164
วันที่ 13 ธ.ค.67 น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "รักชนก ศรีนอก - Rukchanok Srinork" ระบุว่า...
ต้องถามก่อนว่าตกลงเป็น “แถลงนโยบาย” หรือ “สรุปผลงาน”
เพราะสิ่งที่ประชาชนคาดหวังกับการแถลงสรุปผลงานวันนี้ คือ “ผลงาน” ทั้งนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชนตอนเลือกตั้งและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น ไม่ได้หวังจะเห็นนายกฯ มา “ฝึกงาน” และ “ฝากงาน” ให้รัฐมนตรีไปศึกษาและทำเรื่องต่างๆ
ถ้าจะมอบหมายงานกัน ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียงบประมาณ จัดแจงสถานที่ หอบสังขารกันมาถึงตรงนี้ คุยในที่ประชุม ครม. เอาก็คงได้
และไม่อยากให้ลืมว่า รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยชุดนี้ รวมถึงรัฐมนตรีกว่าครึ่งอยู่ในตำแหน่งมา 1 ปี 4 เดือนแล้ว ไม่ใช่ 90 วันค่ะ
น่าเสียดายที่มันกลายเป็นการ “เล่าสิ่งที่กะว่าจะทำปีหน้า” ซึ่งผิดฝาผิดตัวแบบนี้ ทั้งที่ข้างตัวนายกก็มีผู้มากประสบการณ์หลายคนคอยอนุบาลให้ แต่เพราะอะไรกัน เพราะรัฐบาลไม่มีผลงานหรือความคืบหน้าในการดำเนินนโยบายที่หาเสียงเอาไว้หรือไม่มีปัญญาหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น เช่น เรื่องรถนักเรียนไฟไหม้ นายกใช้เป็นคลิปเปิดงาน สรุปว่ามาตรการต่างๆคืบหน้าไปถึงไหน ได้แก้ทั้งระบบหรือยัง? หรือว่าแค่มีรูปไปหน้างานก็พอแล้ว
คุณขัตติยาอาจจะเข้าใจนายกเป็นพิเศษ เพราะต่างได้อาศัยบารมีของบุพการี เพื่อมาอยู่ตรงนี้เหมือนๆกัน
สุดท้ายแล้ว หากนายกฯ ถูกเวลาจำกัด จนไม่สามารถอธิบายลงรายละเอียดในการแถลงได้ ดิฉันขอเสนอให้ท่านนายกฯ มาตอบกระทู้สดในสภา มาแสดงศักยภาพให้ประชาชนได้เห็น ว่านายกแพรทองธารคือตัวจริงเสียงจริงเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินและพร้อมจะแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างแท้จริง ขอให้ท่านนายกใช้สภาในการสื่อสารกับประชาชนด้วยค่ะ
https://www.facebook.com/nanaicez112/posts/pfbid0bWRY1kHfgLp2SqXdEPBs9mCMzRN44bdN91vuwd1T9718FLswPsF9Gqsu8m2FNE3Xl
ผู้ส่งออกข้าว ชี้ นายกฯ ขายฝัน ทลายทุนผูกขาดส่งออกข้าว
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1157575
ผู้ส่งออกข้าว ยันไม่มีทุนผูกขาดส่งออกข้าว แข่งขันอย่างเสรี ไม่ขัดยกเลิกสต๊อกข้าว 500 ตัน เกษตรกรขายข้าวเอง ถามกลับนโยบายขายฝันทำได้จริงหรือไม่
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 3 เดือน และมอบนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีให้แก่ข้าราชการระดับสูง เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2567 ภายใต้แคมเปญ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง 2025 Empowering Thais: A Real Possibility จากผลงานที่เป็นรูปธรรม สู่อนาคตที่ทำได้จริง”
ส่วนหนึ่งของนโยบายที่รัฐบาลจะดำเนินการในปี 2568 จะเป็นการทลายทุนผูกขาดครอบคลุมสินค้า 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.พลังงาน 2.ข้าว 3.สุราชุมชน
ทั้งนี้ รัฐบาลกำหนดแนวทางการทลายทุนผูกขาดการส่งออกข้าว 3 ขั้นตอนประกอบด้วย
1.ลดขั้นตอนการขออนุญาตเป็นผู้ส่งออกข้าว ซึ่งเดิมต้องมีสต๊อกข้าว 500 ตัน (20 ตู้คอนเทนเนอร์) โดยจะปลดล็อกการกำหนดสต๊อกข้าวส่งออกด้วยการแก้ไขประกาศฉบับที่ 150 เรื่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวขออนุญาตประกอบการค้าข้าว ตาม พ.ร.บ.การค้าข้าว พ.ศ.2489 เพื่อปรับลดสต๊อกข้าวสำหรับผู้ส่งออกลง
2.ปรับขั้นตอนการขออนุญาต จดทะเบียน ออกฟอร์ม และการลดต้นทุน
3.สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ของวงการข้าวไทยในตลาดโลกครอบคลุมข้าวพื้นนุ่ม และข้าวเพื่อสุขภาพ
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า จะแก้ปัญหาผูกขาดทุกชนิด การผูกขาดนั้นเป็นการเพิ่มต้นทุนให้ประชาชน และทำให้พี่น้องประชาชนยากจนลง รัฐบาลจะเร่งดำเนินการปลดล็อกการผูกขาด โดยเฉพาะเรื่องข้าวที่ตั้งเป้าให้เกษตรกรทุกคน และผู้ค้าข้าว SMEs สามารถส่งออกข้าวไปทั่วโลกได้เอง
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การที่กฎหมายระบุให้การส่งออกต้องมีที่เก็บข้าว 500 ตัน ทำให้เกษตรทำไม่ได้ รัฐบาลจะปลดล็อกเรื่องนี้ เพื่อส่งออกข้าวจากตัวเองได้นั้น เรื่องนี้เป็นกฎหมายออกมาบังคับใช้นานแล้ว ซึ่งหากจะแก้ไขไม่ต้องมีสต๊อกเก็บข้าว ทางผู้ส่งออกก็ไม่ได้ขัดข้อง
สำหรับเป้าหมายการกำหนดให้มีที่เก็บข้าว 500 ตัน เพื่อป้องกันหากเกิดการขาดแคลนการส่งออกข้าวเท่านั้น โดยไม่ได้มีประเด็นการผูกขาดทั้งสิ้น ซึ่งการส่งออกข้าวเป็นการค้าเสรี (ฟรีเทรด) ใครที่มีความสามารถก็เป็นผู้ส่งออกได้ ซึ่งผู้ส่งออก และโรงสีข้าวในประเทศมีอยู่หลายพันราย ไม่มีเพียงรายเดียว ดังนั้นหากจะยกเลิกก็ได้เพราะไม่ได้ทำให้การแข่งขันน้อยลง
นอกจากนี้ หากรัฐบาลต้องการให้ชาวนา และเอสเอ็มอีส่งออกข้าวได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ข้อเท็จจริง คือ ชาวนา และเอสเอ็มอี จะส่งออกได้หรือไม่ เพราะต้องดูข้อเท็จจริงตั้งแต่เริ่มปลูก และผลผลิตข้าวเปลือก จากนั้นต้องสีเป็นข้าวสาร
รวมทั้งการส่งออกต้องมีใบอนุญาต และมีค่าใช้จ่ายด้านเอกสาร รวมถึงการหาตลาดส่งออกเอง โดยประเด็นที่รัฐบาลต้องการทำให้ราคาข้าวดีขึ้นนั้นก็คงไม่ใช่เพราะต้องขึ้นอยู่กับกลไกตลาดทั้งดีมานด์ และซัพพลาย
นายชูเกียรติ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าใครให้ข้อมูลนายกฯ และที่บอกว่าใครจะส่งออกต้องเป็นสมาชิกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยก็ไม่จริง โดยข้อเท็จจริง คือ การส่งออกข้าวหอมมะลิต้องเป็นสมาชิกของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย สมาคมโรงสี สมาคมข้าวถุง เพราะต้องพิจารณาผู้ส่งออกข้าวหอมมะลิมีศักยภาพส่งออกข้าวดีมีคุณภาพ ส่วนการส่งออกข้าวชนิดอื่นไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกสมาคมใดเลย
“ที่บอกว่านายทุนผูกขาด ถือว่ารุนแรงมาก ผู้ส่งออกก็ทำตามกฎระเบียบที่วางไว้ ขอย้อนถามว่า เกษตรกรจะส่งออกเองได้หรือ อย่าขายฝัน ยืนยันไม่มีการผูกขาดในการส่งออก ขายข้าว” นายชูเกียรติ กล่าว
สำหรับการส่งออกข้าวในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ต.ค.) ไทยส่งออกข้าวแล้วปริมาณ 8.35 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20% มีมูลค่า 191,031 ล้านบาท (ประมาณ มูลค่า 5,411 ล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 40%
แบ่งเป็น ข้าวขาวมากเป็นอันดับหนึ่งที่ปริมาณ 5.18 ล้านตัน คิดเป็น 62% ของปริมาณการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ข้าวหอมมะลิไทย 1.37 ล้านตัน ข้าวนึ่ง 1.01 ล้านตัน ข้าวหอมไทย 0.54 ล้านตัน ข้าวเหนียว 0.23 ล้านตัน และข้าวกล้อง 0.02 ล้านตัน
ตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญ ได้แก่ อินโดนีเซีย ซึ่งไทยส่งออกข้าวไปอินโดนีเซียมากเป็นอันดับหนึ่งที่ปริมาณ 1.12 ล้านตัน คิดเป็น 13% ของปริมาณการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด
รองลงมา ได้แก่ อิรัก 0.95 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23 %) แอฟริกาใต้ 0.72 ล้านตัน (ลดลงจากปีก่อน 12%) สหรัฐอเมริกา 0.70 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 21%) และฟิลิปปินส์ 0.49 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 250%)