การดูรูปลักษณ์ภายนอก หรือการสนทนาไม่สามารถวัดคุณธรรมภายในจิตได้
'หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท'พระผู้เป็นดั่งผ้าขื้ริ้วห่อทอง วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม
นี่คือพระมหาเถระผู้มีภาพลักษณ์ตรึงตา เป็นสมณะห่มกาสาวพัสตร์ถือขวานถากไม้ เป็นปริศนาธรรม ท่านผู้นี้พูดจาเสียงดังฟังชัด ออกกริยาท่าทางคล้ายไม่สำรวม นัยน์ตามีแววมุ่งมั่นทุกคนเรียกกันติดปากว่า"หลวงปู่เจี๊ยะ"
ท่านเป็นแบบอย่างทางสงบแก่โลกที่ปนเปื้อนไปด้วยกองทุกข์นานัปการท่านสอนให้พวกเรามองอะไร ไม่ควรมองแต่ด้านเดียว การมองอะไร อย่าใช้แต่สายตาเป็นเครื่องวัดตัดสินเท่านั้น แต่ต้องใช้แววตาคือ ปัญญาวิเคราะห์ด้วยเพราะผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรมองข้ามปมคำสอน เพียงเพราะสายตาเท่านั้น ควรพิจารณาให้ถ้วนถี่ เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างแก่โลก ย่อมไม่ละเลยทั้งกอไผ่และภูผา
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท มีปฏิปทาแตกต่างจากสมณะทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นผู้มีกิริยาที่ธรรมชอบ แต่โลกชัง เพราะท่านไม่ยึดติดพิธีรีตองซึ่งเป็นของสมมติในทางโลก
“จะสวดไหม ไม่สวดให้ยกมาประเคนกินกันเลย พระมากินให้เป็นมงคลแล้วเนี่ย”
“เอ้า เอาข้าวมาให้กูกิน” เมื่อลูกศิษย์ทักท้วงจึงอธิบายสั้น ๆ ว่า “ขากูเจ็บนี่หว่า”
“ท่านอาจารย์ไม่ต้องมาบิณฑบาตเลย นอนอยู่เฉย ๆ เลย จะจัดไปถวายที่วัดเอง”
“ไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะด่า หาว่าขี้เกียจบิณฑบาต”
ลูกศิษย์จึงติงท่านทีเล่นทีจริงว่า “นั่นละ เขาจะด่าหนักละ ไปอย่างนั้น”
เวลาบิณฑบาตไปบ้านญาติโยมที่คุ้นเคย ท่านจะถือวิสาสะเดินเข้าไปบอกเจ้าของบ้านว่า “เฮ้ย ชงกาแฟถ้วยซิ” ว่าแล้วท่านก็นั่งไขว่ห้าง จิบกาแฟพลางสูบบุหรี่ วันดีคืนดีก็ตะโกนบอกซ้ำอีกว่า “เฮ้ย ตำน้ำพริกกุ้งแห้งเกลือให้กูหน่อย” ลูกศิษย์ลูกหาต่างทราบดีว่า ปกติวิสัยของพระอาจารย์เป็นเช่นนี้เอง
การเดินทางไปไหนมาไหนของหลวงปู่เจี๊ยะ ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ ก็ไม่ใช้พาหนะหรูหราเพื่อประกาศยศถาบารมี แต่ท่านมักประคองจีวรออกไปดักโบกรถสิบล้อขออาศัยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ลักษณะการโบกรถของท่านเป็นที่น่าหวาดเสียว เพราะท่านไม่ได้ยืนโบกอยู่ริมถนนอย่างคนปกติ แต่ก้าวออกไปโบกรถกลางถนน รถทุกคันที่ท่านหมายตาจะต้องเบรกตัวโก่ง แล้วจอดรับท่านด้วยความระทึกขวัญทุกคันไป บางครั้งโชคไม่ดี รถสิบล้อคันที่โบกมีผู้หญิงนั่งคู่กับคนขับมาด้วย หลวงปู่เจี๊ยะต้องปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคา นั่งตากลมหนาวสั่นอยู่เช่นนั้นจนกว่าจะถึงที่หมาย การเดินทางของท่านนั้นเรียกว่า “เป็นผู้ไปง่ายมาง่าย” อย่างแท้จริง
หลวงตามหาบัวได้กล่าวยกย่องหลวงปู่เจี๊ยะว่า
”ท่านเป็นพระดีนะอาจารย์เจี๊ยะพูดเรื่องภายในเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง คือ...กิริยาภายนอกท่านไม่น่าดูนะ กิริยาท่านข้างนอก บ๊งเบ๊งๆ อะไรรู้สึกว่ามันไปอีกแบบหนึ่ง ยิ่งกว่าหลวงตาบัวเข้าไปอีก (หัวเราะ) แม้แต่หลวงปู่มั่นก็ยังเถียงกันตาดำตาแดง“
การดูรูปลักษณ์ภายนอก หรือการสนทนาไม่สามารถวัดคุณธรรมภายในจิตได้
'หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท'พระผู้เป็นดั่งผ้าขื้ริ้วห่อทอง วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม
นี่คือพระมหาเถระผู้มีภาพลักษณ์ตรึงตา เป็นสมณะห่มกาสาวพัสตร์ถือขวานถากไม้ เป็นปริศนาธรรม ท่านผู้นี้พูดจาเสียงดังฟังชัด ออกกริยาท่าทางคล้ายไม่สำรวม นัยน์ตามีแววมุ่งมั่นทุกคนเรียกกันติดปากว่า"หลวงปู่เจี๊ยะ"
ท่านเป็นแบบอย่างทางสงบแก่โลกที่ปนเปื้อนไปด้วยกองทุกข์นานัปการท่านสอนให้พวกเรามองอะไร ไม่ควรมองแต่ด้านเดียว การมองอะไร อย่าใช้แต่สายตาเป็นเครื่องวัดตัดสินเท่านั้น แต่ต้องใช้แววตาคือ ปัญญาวิเคราะห์ด้วยเพราะผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรมองข้ามปมคำสอน เพียงเพราะสายตาเท่านั้น ควรพิจารณาให้ถ้วนถี่ เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างแก่โลก ย่อมไม่ละเลยทั้งกอไผ่และภูผา
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท มีปฏิปทาแตกต่างจากสมณะทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นผู้มีกิริยาที่ธรรมชอบ แต่โลกชัง เพราะท่านไม่ยึดติดพิธีรีตองซึ่งเป็นของสมมติในทางโลก
“จะสวดไหม ไม่สวดให้ยกมาประเคนกินกันเลย พระมากินให้เป็นมงคลแล้วเนี่ย”
“เอ้า เอาข้าวมาให้กูกิน” เมื่อลูกศิษย์ทักท้วงจึงอธิบายสั้น ๆ ว่า “ขากูเจ็บนี่หว่า”
“ท่านอาจารย์ไม่ต้องมาบิณฑบาตเลย นอนอยู่เฉย ๆ เลย จะจัดไปถวายที่วัดเอง”
“ไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะด่า หาว่าขี้เกียจบิณฑบาต”
ลูกศิษย์จึงติงท่านทีเล่นทีจริงว่า “นั่นละ เขาจะด่าหนักละ ไปอย่างนั้น”
เวลาบิณฑบาตไปบ้านญาติโยมที่คุ้นเคย ท่านจะถือวิสาสะเดินเข้าไปบอกเจ้าของบ้านว่า “เฮ้ย ชงกาแฟถ้วยซิ” ว่าแล้วท่านก็นั่งไขว่ห้าง จิบกาแฟพลางสูบบุหรี่ วันดีคืนดีก็ตะโกนบอกซ้ำอีกว่า “เฮ้ย ตำน้ำพริกกุ้งแห้งเกลือให้กูหน่อย” ลูกศิษย์ลูกหาต่างทราบดีว่า ปกติวิสัยของพระอาจารย์เป็นเช่นนี้เอง
การเดินทางไปไหนมาไหนของหลวงปู่เจี๊ยะ ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ ก็ไม่ใช้พาหนะหรูหราเพื่อประกาศยศถาบารมี แต่ท่านมักประคองจีวรออกไปดักโบกรถสิบล้อขออาศัยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ลักษณะการโบกรถของท่านเป็นที่น่าหวาดเสียว เพราะท่านไม่ได้ยืนโบกอยู่ริมถนนอย่างคนปกติ แต่ก้าวออกไปโบกรถกลางถนน รถทุกคันที่ท่านหมายตาจะต้องเบรกตัวโก่ง แล้วจอดรับท่านด้วยความระทึกขวัญทุกคันไป บางครั้งโชคไม่ดี รถสิบล้อคันที่โบกมีผู้หญิงนั่งคู่กับคนขับมาด้วย หลวงปู่เจี๊ยะต้องปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคา นั่งตากลมหนาวสั่นอยู่เช่นนั้นจนกว่าจะถึงที่หมาย การเดินทางของท่านนั้นเรียกว่า “เป็นผู้ไปง่ายมาง่าย” อย่างแท้จริง
หลวงตามหาบัวได้กล่าวยกย่องหลวงปู่เจี๊ยะว่า
”ท่านเป็นพระดีนะอาจารย์เจี๊ยะพูดเรื่องภายในเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง คือ...กิริยาภายนอกท่านไม่น่าดูนะ กิริยาท่านข้างนอก บ๊งเบ๊งๆ อะไรรู้สึกว่ามันไปอีกแบบหนึ่ง ยิ่งกว่าหลวงตาบัวเข้าไปอีก (หัวเราะ) แม้แต่หลวงปู่มั่นก็ยังเถียงกันตาดำตาแดง“