ถ้าไม่ปฏิบัติขจัดกิเลส อวิชชาให้หมดสิ้น จะไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง
จิตปุถุชนถูกเคลือบด้วยอวิชชา จนมืดบอดดำสนิท ทำให้หลงขันธ์ 5 เป็นตัวเป็นตน เป็นจิต จิตหลอมรวมกับวิญญาณและกายรวมเป็นเนื้อเดียวกัน วิญญาณ คือ ตัวเชื่อมระหว่างจิตและกายผ่านอายตนะทั้ง 6 คือ ตา หา จมูก ลิ้น ใจ ส่วนกาย คือ เครื่องเสพอารมณ์ต่างๆ ในสังสารวัฏ
จิตที่มีตัณหาและอวิชชาจะเสพติด เพิดเพลินในอารมณ์ จึงแสวงหากายในการเสพอารมณ์ เมื่อกายนี้ตายลงก็หากายใหม่เสพอารมณ์ไปเรื่อยๆ จิตนี้เสพได้เพียงอารมณ์เดียวในชั่วขณะจิต ส่วนกายและวิญญาณ เกิดดับตลอดเวลา เช่น ตามองเห็น เกิดเป็นวิญญาณทางตา จิตเสพอารมณ์ทางตา ในชั่วเสี้ยววินาทีเดียวกัน หูได้ยิน เกิดเป็นวิญญาณทางหู จิตดับจากตาไปเสพอารมณ์ทางหู เกิดเป็นวิญญาณทางหู คำว่า เกิด-ดับ ไม่ใช่สูญหรือตาย แต่หมายถึงหยุดทำงาน
เมื่อจิตหลงยึดเอากายและวิญญาณเป็นตัวเป็นตน จะหลงอุปทานว่าขันธ์ 5 เป็นจิต เกิดดับ ตามสิ่งที่จิตหลงเข้าไปยึด ดังพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
”ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ“
วิธีเดียวที่จะเห็นธรรมตามความเป็นจริง คือ การเจริญสมถสมาธิ จนจิตรวมเป็นอัปนาสมาธิ ต่ำสุด คือ ฌาน 1 ยิ่งถึงฌาน 4 ได้ยิ่งดี เพราะฌาน 4 จะเหลือแต่จิตตั้งมั่น เด่นดวงเป็นเอกัคตาและที่สำคัญ คือ เกิดอุเบกขารมณ์ คือ ความเป็นกลางอย่างยิ่ง กิเลสอวิชชาถูกถอนออกจากจิตชั่วขณะ จิตจะปรากฏความเป็นเดิมแท้ของจิต คือ ผ่องใส ส่องสว่างเป็นประภัสสร ที่ฌาน 4 นึ้หากนำมาเจริญวิปัสสนา พิจารณาขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นขันธ์ 5 และโลกธาตุแตกสลายลงเป็นธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จิตจะเห็นโลกตามความเป็นจริง จิตจะเกิดปัญญาตื่นรู้ว่าจิตไม่ใช่กาย ไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเราของเรา หรือเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ คือ การมีปัญญาเห็นว่ากายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่จิต
เมื่อจิตเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 กิเลสอวิชชาไม่สามารถครอบงำได้อีก
ดังพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ”จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับสละ และสลัดคืนในวิญญาณในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้“
จิตจะน้อมลงสู่ความว่าง อันสงบประณีต ไร้สังขารปรุงแต่งทั้งปวง เป็นความว่างที่ไร้ตัว ไร้ตน ไร้ความคิดปรุงแต่ง เป็นบรมสุขอย่างยิ่งไม่ใช่สุขแบบโลกๆ ที่เราสัมผัสเป็นสุขจากจิตหลุดพ้นของจิต นี่คือการสัมผัสอารมณ์พระนิพพาน ที่เรียกกันว่า โคตรภูญาณ
ปุถุชนที่ข้ามโครตภูญาณนี้จะสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ขั้นโสดาบันขึ้นไปมาเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ ส่วนพระนิยตโพธิสัตว์ที่ได้รับพระพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตจะไม่ข้ามโคตรภูญาณเพราะติดในแรงอธิษฐาน แต่สมารถสัมผัสอารมณ์พระนิพพานได้ถ้าเจริญสมถประวิปัสสนากรรมฐาน และเมื่อปฏิบัติถึงโคตรภูญาณจะเห็นความจริงในการบำเพ็ญบารมี เพราะนิยตโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีมายาวนาน 16 32 64 อสงไขย สามารถเข้าถึงความเป็นอรหันตผลได้ทันทีหากละความปราถนา แต่นิยตโพธิสัตว์ไม่สามารถลาได้เพราะ พระพุทธเจ้าตรัสแล้วเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง
สรุปที่กล่าวมา ทั้งหมดการท่องตำราเพียงอย่างเดียว แต่ขาดการปฏิบัติไม่สามารถรู้ เห็นธรรมตามความเป็นจริงได้ เพราะถูกกิเลส อวิชชาครอบงำไว้ อ่านธรรมก็จะถูกอวิชชาหลอกให้หลงผิดยึดเอาขันธ์ 5 เป็นจิต ให้จิตหลงในขันธ์ 5 จะเห็นธรรมได้ต้องปฏิบัติ แล้วนำธรรมมาใตร่ตรองกับตำรา คือ ปฏิเวธ ดังนั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แยกจากกันไม่ได้
ปริยัติไม่ใช่การท่องตำราอย่างเดียวแต่จะศึกษาจากครูบาอาจารย์พระอรหันต์ก็ได้ ดังในสมัยพุทธกาลพระภิกษุมากมายไปศึกษาธรรมในสำนักพระโมคคัลลานะ สำนักพระสารีบุตร สำนักพระมหากัสสปะ ไม่ใช่มาอยู่รวมกันที่พระเชตวัน ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว พระเรียนรู้ธรรมจากพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสาวกก็บรรลุธรรมได้เหมือนกัน เพราะพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านรู้แจ้งในอริยสัจ 4 เหมือนกันทุกประการ ใครบอกว่าต้องศึกษาจากพระไตรปิฎกหรือฟังธรรมจากพระโอษฐ์เท่านั้น ไม่ฟังธรรมจากพระอริยสาวกเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างยิ่ง
ถ้าไม่ปฏิบัติขจัดกิเลส อวิชชาให้หมดสิ้น จะไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง
จิตปุถุชนถูกเคลือบด้วยอวิชชา จนมืดบอดดำสนิท ทำให้หลงขันธ์ 5 เป็นตัวเป็นตน เป็นจิต จิตหลอมรวมกับวิญญาณและกายรวมเป็นเนื้อเดียวกัน วิญญาณ คือ ตัวเชื่อมระหว่างจิตและกายผ่านอายตนะทั้ง 6 คือ ตา หา จมูก ลิ้น ใจ ส่วนกาย คือ เครื่องเสพอารมณ์ต่างๆ ในสังสารวัฏ
จิตที่มีตัณหาและอวิชชาจะเสพติด เพิดเพลินในอารมณ์ จึงแสวงหากายในการเสพอารมณ์ เมื่อกายนี้ตายลงก็หากายใหม่เสพอารมณ์ไปเรื่อยๆ จิตนี้เสพได้เพียงอารมณ์เดียวในชั่วขณะจิต ส่วนกายและวิญญาณ เกิดดับตลอดเวลา เช่น ตามองเห็น เกิดเป็นวิญญาณทางตา จิตเสพอารมณ์ทางตา ในชั่วเสี้ยววินาทีเดียวกัน หูได้ยิน เกิดเป็นวิญญาณทางหู จิตดับจากตาไปเสพอารมณ์ทางหู เกิดเป็นวิญญาณทางหู คำว่า เกิด-ดับ ไม่ใช่สูญหรือตาย แต่หมายถึงหยุดทำงาน
เมื่อจิตหลงยึดเอากายและวิญญาณเป็นตัวเป็นตน จะหลงอุปทานว่าขันธ์ 5 เป็นจิต เกิดดับ ตามสิ่งที่จิตหลงเข้าไปยึด ดังพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
”ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ“
วิธีเดียวที่จะเห็นธรรมตามความเป็นจริง คือ การเจริญสมถสมาธิ จนจิตรวมเป็นอัปนาสมาธิ ต่ำสุด คือ ฌาน 1 ยิ่งถึงฌาน 4 ได้ยิ่งดี เพราะฌาน 4 จะเหลือแต่จิตตั้งมั่น เด่นดวงเป็นเอกัคตาและที่สำคัญ คือ เกิดอุเบกขารมณ์ คือ ความเป็นกลางอย่างยิ่ง กิเลสอวิชชาถูกถอนออกจากจิตชั่วขณะ จิตจะปรากฏความเป็นเดิมแท้ของจิต คือ ผ่องใส ส่องสว่างเป็นประภัสสร ที่ฌาน 4 นึ้หากนำมาเจริญวิปัสสนา พิจารณาขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นขันธ์ 5 และโลกธาตุแตกสลายลงเป็นธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จิตจะเห็นโลกตามความเป็นจริง จิตจะเกิดปัญญาตื่นรู้ว่าจิตไม่ใช่กาย ไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเราของเรา หรือเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ คือ การมีปัญญาเห็นว่ากายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่จิต
เมื่อจิตเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 กิเลสอวิชชาไม่สามารถครอบงำได้อีก
ดังพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ”จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับสละ และสลัดคืนในวิญญาณในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้“
จิตจะน้อมลงสู่ความว่าง อันสงบประณีต ไร้สังขารปรุงแต่งทั้งปวง เป็นความว่างที่ไร้ตัว ไร้ตน ไร้ความคิดปรุงแต่ง เป็นบรมสุขอย่างยิ่งไม่ใช่สุขแบบโลกๆ ที่เราสัมผัสเป็นสุขจากจิตหลุดพ้นของจิต นี่คือการสัมผัสอารมณ์พระนิพพาน ที่เรียกกันว่า โคตรภูญาณ
ปุถุชนที่ข้ามโครตภูญาณนี้จะสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ขั้นโสดาบันขึ้นไปมาเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ ส่วนพระนิยตโพธิสัตว์ที่ได้รับพระพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตจะไม่ข้ามโคตรภูญาณเพราะติดในแรงอธิษฐาน แต่สมารถสัมผัสอารมณ์พระนิพพานได้ถ้าเจริญสมถประวิปัสสนากรรมฐาน และเมื่อปฏิบัติถึงโคตรภูญาณจะเห็นความจริงในการบำเพ็ญบารมี เพราะนิยตโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีมายาวนาน 16 32 64 อสงไขย สามารถเข้าถึงความเป็นอรหันตผลได้ทันทีหากละความปราถนา แต่นิยตโพธิสัตว์ไม่สามารถลาได้เพราะ พระพุทธเจ้าตรัสแล้วเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง
สรุปที่กล่าวมา ทั้งหมดการท่องตำราเพียงอย่างเดียว แต่ขาดการปฏิบัติไม่สามารถรู้ เห็นธรรมตามความเป็นจริงได้ เพราะถูกกิเลส อวิชชาครอบงำไว้ อ่านธรรมก็จะถูกอวิชชาหลอกให้หลงผิดยึดเอาขันธ์ 5 เป็นจิต ให้จิตหลงในขันธ์ 5 จะเห็นธรรมได้ต้องปฏิบัติ แล้วนำธรรมมาใตร่ตรองกับตำรา คือ ปฏิเวธ ดังนั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แยกจากกันไม่ได้
ปริยัติไม่ใช่การท่องตำราอย่างเดียวแต่จะศึกษาจากครูบาอาจารย์พระอรหันต์ก็ได้ ดังในสมัยพุทธกาลพระภิกษุมากมายไปศึกษาธรรมในสำนักพระโมคคัลลานะ สำนักพระสารีบุตร สำนักพระมหากัสสปะ ไม่ใช่มาอยู่รวมกันที่พระเชตวัน ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว พระเรียนรู้ธรรมจากพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสาวกก็บรรลุธรรมได้เหมือนกัน เพราะพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านรู้แจ้งในอริยสัจ 4 เหมือนกันทุกประการ ใครบอกว่าต้องศึกษาจากพระไตรปิฎกหรือฟังธรรมจากพระโอษฐ์เท่านั้น ไม่ฟังธรรมจากพระอริยสาวกเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างยิ่ง