พ่อค้าแม่ค้า วอนรัฐปรับเกณฑ์ แจกเงิน 1 หมื่น เฟส 2 ไม่ควรจำกัดอายุ 60 ปีขึ้นไป.
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9513482
พ่อค้า แม่ค้า ชาวขอนแก่น-บุรีรัมย์ ประสานเสียง วอนรัฐบาล ปรับเกณฑ์ แจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ชี้ ความเดือดร้อน ไม่ควรจำกัดอายุ 60 ปีขึ้นไป
ภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ 1/2567 ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รวม 4 ล้านคน ใช้งบประมาณ 40,000 ล้านบาท
ล่าสุด วันที่ 20 พ.ย. 2567 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นของประชาชน ภายในตลาดสดเทศบาล 1 เขตเทศบาลนครขอนแก่น จ.ขอนแก่น โดยเฉพาะพ่อค้าและแม่ค้า เรื่องการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2
โดยนาย
ธงชัย ขาวเมืองน้อย อายุ 51 ปี พ่อค้าร้านดอกไม้ กล่าวว่า ความเห็นส่วนตัวมองว่า ไม่ว่าจะแจกเงินกลุ่มคนอายุเท่าไรก็ดีหมด คนจะออกมาใช้เงินเหมือนเดิม แต่ก็ไม่อยากให้แจกเงินแบบนี้ อยากให้ลดค่าน้ำมัน ค่าน้ำประปา ค่าไฟ ลดภาษี ลดค่าสาธารณูปโภค เพราะจะได้ประโยชน์ทุกคน ไม่ต้องรอเป็นรอบๆ แบบนี้ ไม่ต้องลงทะเบียนให้ยุ่งยาก จะได้ประโยชน์มากกว่าและได้ทุกคน
“
ถ้าแจกก็ดี แต่คนที่ไม่ได้ก็จะน้อยใจ ถ้าแจกก็แจกทุกคนไปเลย ไม่ต้องมาลงทะเบียนเป็นรอบๆ แบบนี้ เพราะทุกคนมีความจำเป็นเหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิเท่ากัน” นายธงชัย กล่าว
ขณะที่ นาง
เพชรรัตน์ กองพลพรหม อายุ 57 ปี แม่ค้าขายไส้กรอก กล่าวว่า มองว่าคนที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปีจะเป็นหัวหน้าครอบครัว มีความจำเป็นต้องใช้เงินมากกว่า กลุ่มคนอายุนี้มีความจำเป็นต้องซื้อของอุปโภคบริโภคมาใช้ในครอบครัว ค่ากับข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟ ภาระจะตกอยู่กับคนกลุ่มนี้ เพราะความรับผิดชอบเยอะ
ทั้งนี้ ระยะเวลาการแจกเงินมองว่าห่างกันเกินไป ช่วงก่อนปีใหม่ถ้าให้กลุ่มคนอายุ 60 ปีขึ้นไป และช่วงตรุษจีนให้กลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 60 ปี จะดีมาก เพราะจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงๆ
“
ตั้งแต่ปีใหม่ถึงตรุษจีนคนจะใช้เงินเยอะ ถ้าห่าง 3-4 เดือนมันจะไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ ดูจากคนที่ได้เงิน 10,000 บาท เฟสแรก คนออกมาใช้เงินจริงๆ ที่ตลาดขายดีขึ้นคนคึกคัก ถ้ามีเงินรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือจะพอหมุนเงินได้ทัน จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง” นางเพชรรัตน์ กล่าว
ด้านนาย
เดชชัย ตรีไทย อายุ 63 ปี เจ้าของร้านส้มตำ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลเจาะลึกข้อมูลมากกว่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่จนจริงๆ ที่เข้าไม่ถึง บางคนไม่ได้จนจริงก็ได้รับเงินกันหมด ทั้งนี้ เงิน 10,000 บาท เป็นสิทธิที่เราควรจะได้เหมือนคนอื่นๆ อยากให้ได้ทุกคนจะได้มีความยุติธรรม ซึ่งควรได้รับเงินเหมือนกันทั้งหมด เพราะทุกคนจ่ายภาษีเหมือนกัน
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ เพื่อสอบถามความเห็นประชาชนที่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป และพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ เกี่ยวกับการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ด้วยเช่นกัน
โดยนาง
วันเพ็ญ บุญลาด อายุ 53 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไปและค้าขาย กล่าวว่า หลังจากทราบว่ารัฐบาลจะจ่ายเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับกลุ่มที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและไม่ใช่คนพิการ จึงอยากให้รัฐพิจารณาแจกให้ครอบคลุม ไม่ควรจำกัดที่อายุ 60 ปี เพราะความเดือดร้อนจำเป็นไม่ใช่เฉพาะคนอายุ 60 ปีขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้น รัฐควรทบทวนหลักเกณฑ์เงื่อนไขการจ่ายให้ครอบคลุม เพราะทุกวันนี้หาเงินยากลำบาก ข้าวของก็แพง รายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย.
ตั้ง ‘ประธานบอร์ด ธปท.’ ส่อลากยาว ‘กิตติรัตน์’ เจอตอ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
https://www.isranews.org/article/isranews/133525-politics-103.html
‘กิตติรัตน์ ณ ระนอง’ เจอตอ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ สอย ‘เศรษฐา ทวีสิน’ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
กรณีแต่งตั้ง ‘พิชิต ชื่นบาน’ เป็นรัฐมนตรี ทำเนียบฯ ผวา - ตั้ง ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ง่าย
ส่อลากยาวเกิน 1 สัปดาห์ เตรียมขอความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเข้ม
ก่อนเข้าครม.- นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ
----------------------------------------------
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีนาย
สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ มีมติเสียงข้างมาก จำนวน 4 เสียง จากทั้งหมด 7 เสียง เลือกนาย
กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานบอร์ด ธปท. โดยขั้นตอนต่อไปคณะกรรมการคัดเลือกฯ จะนำรายชื่อนาย
กิตติรัตน์ เสนอให้นาย
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบก่อนจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า อย่างไรก็ตาม การประชุมครม.เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา นาย
พิชัยให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมการประชุมครม.ว่า การประชุมครม.ในวันนี้ (19 พ.ย.67) ยังไม่มีการเสนอชื่อประธาน ธปท.ให้ครม.เห็นชอบ เนื่องจากยังไม่ได้รับหนังสือผลการพิจารณาเห็นชอบบุคคลที่เหมาะสมให้ดำรงตำแหน่งประธานธปท.จากคณะกรรมการคัดเลือกฯ
แหล่งข่าวระดับสูงทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยสำนักข่าวอิศราถึงกรณีดังกล่าวว่า เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 21/2567 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว กรณีแต่งตั้งนาย
พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประกอบกับเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจและมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในสังคม คงจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ ดังนั้น หากมีการนำรายชื่อประธานธปท.มาให้ครม.พิจารณา คาดว่าจะใช้เวลาในการขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนนำเข้าที่ประชุมครม.ไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์
“
เพื่อให้เกิดความรอบคอบทั้งคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่ถูกเสนอชื่อเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนเมื่อครั้งนายเศรษฐา แต่งตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรี ดังนั้น จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของรัฐมนตรีทั้งคณะและนายกรัฐมนตรีมากที่สุดในการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ” แหล่งข่าวระดับสูงทำเนียบรัฐบาลระบุ
รายงานข่าวเพิ่มเติม จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว ส่งผลให้การตั้งแต่รัฐมนตรีในรัฐบาลของนางสาว
แพทองธาร ชินวัตร มีความรอบคอบในเรื่องการตรวจสอบประวัติมากขึ้นกว่าเดิมมาก รวมถึงตำแหน่งข้าราชการการเมืองด้วย
โดยมติครม.เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 ได้วางแนวทางการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง โดยให้ทุกส่วนราชการที่จะเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมืองดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่จะเสนอแต่งตั้ง โดยจะต้องดำเนินการรับรองคุณสมบัติตามแบบรับรองประวัติบุคคลประกอบการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 (8) - (20) จำนวน 14 ข้อ
รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติจากหน่วยงาน 7 หน่วยงาน ได้แก่ 1.สำนักงานศาลยุติธรรม 2.กรมบังคับคดี 3.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 4.สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 5.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 6.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ 7.สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ไทยสร้างไทย เร่งสอบสส.ขึ้นปราศัยนายกอบจ.อุดรฯเพื่อไทย
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_804865/
ไทยสร้างไทย แจงไม่เกี่ยวข้อง สส.พรรคไปขึ้นเวทีหาเสียงนายกฯอบจ.ของเพื่อไทย เร่งสอบจริยธรรม “อดิศักดิ์” ยื่น ปปช.เอาผิด “สุภาพร”
นาย
ปริเยศ อังกูรกิตติ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยถึงกรณีการเปิดเวทีปราศรัย หาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ซึ่งอาจทำให้ พี่น้องประชาชนเกิดความสับสนเนื่องจากพบว่ามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคไทยสร้างไทย ขึ้นเวทีช่วยในการหาเสียง นอกจากจะขัดต่อมติของพรรคไทยสร้างไทยแล้วยังอาจขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งด้วย
นาย
ปริเยศ กล่าวว่า เมื่อทราบข้อเท็จจริง พรรคไทยสร้างไทย จึงได้ตรวจสอบจนไปพบว่าเฟซบุ๊ก ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ของนาย
ศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดอุดรธานี ได้โพสต์ข้อความผ่านทางโซเชียลมีเดีย ถึงการลงพื้นที่ หาเสียงเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม
2567 ที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏภาพถ่าย ของนาย
อดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคไทยสร้างไทย บนเวทีขณะช่วยหาเสียงและต่อมาเฟซบุ๊กของพรรคเพื่อไทย ได้ประชาสัมพันธ์ เนื้อหาสาระสำคัญเดียวกัน
นาย
ปริเยศ ระบุว่า การเปิดเวทีปราศรัยเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานี แล้วได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความ รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง โน้มน้าวให้ผู้สนับสนุนและพี่น้องประชาชนในจังหวัดอุดรธานีเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย พร้อมกับรูปสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งทำหน้าที่ สส.เขต 6 ของจังหวัดอุดรธานีอีกครั้ง โดยมีข้อความลายน้ำ ซึ่งระบุถึง ผู้ผลิต ที่อยู่ และวันที่ผลิต สื่อเพื่อใช้ในการรณรงค์หาเสียง อีกทั้งยังมีโลโก้ของพรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามพรรคไทยสร้างไทย ขอชี้แจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมดังกล่าว และไม่เคยมอบหมายสั่งการ ให้นาย
อดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ ไปกระทำการช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้ง จากพรรคเพื่อไทย หรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เพราะถือเป็นการกระทำที่ผิดมารยาททางการเมือง ขณะที่พรรคไทยสร้างไทยยังคง ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน และเชื่อได้ว่าอาจเป็นการกระทำที่ขัดจริยธรรมและหลักการของพรรค ดังนั้นคณะกรรมการวินัยและจริยธรรมพรรคไทยสร้างไทย จะดำเนินการเรียกนาย
อดิศักดิ์ ให้เข้ามาชี้แจงต่อไป
ส่วนกรณีที่ คณะกรรมการวินัยและจริยธรรมพรรคไทยสร้างไทย ดำเนินการตรวจสอบ นา
งสุภาพร สลับศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดยโสธร ของพรรคไทยสร้างไทย คณะกรรมการบริหารพรรคเตรียมนำส่งหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ไต่สวนและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อนาง
สุภาพร อย่างถึงที่สุด
นาย
ปริเยศ กล่าวทิ้งท้ายว่า จากการจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งเชื่อได้ว่า อาจได้รับผลประโยชน์จากพรรคการเมืองอื่นหรือหัวหน้าพรรคการเมืองอื่น อันเป็นเจตนาทำลายระบอบประชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อเป็นการคงไว้ซึ่งความเป็นประชาธิปไตย และเพื่อเป็นแบบอย่างในการสร้างบรรทัดฐาน ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
JJNY : แจกเงิน ไม่ควรจำกัดอายุ│‘กิตติรัตน์’ เจอตอ│ทสท.เร่งสอบสส.ขึ้นปราศัยนายกอบจ.│สวีเดน-เยอรมนีเร่งสอบ สายเคเบิลถูกตัด
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9513482
ภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ 1/2567 ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รวม 4 ล้านคน ใช้งบประมาณ 40,000 ล้านบาท
ล่าสุด วันที่ 20 พ.ย. 2567 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นของประชาชน ภายในตลาดสดเทศบาล 1 เขตเทศบาลนครขอนแก่น จ.ขอนแก่น โดยเฉพาะพ่อค้าและแม่ค้า เรื่องการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2
โดยนายธงชัย ขาวเมืองน้อย อายุ 51 ปี พ่อค้าร้านดอกไม้ กล่าวว่า ความเห็นส่วนตัวมองว่า ไม่ว่าจะแจกเงินกลุ่มคนอายุเท่าไรก็ดีหมด คนจะออกมาใช้เงินเหมือนเดิม แต่ก็ไม่อยากให้แจกเงินแบบนี้ อยากให้ลดค่าน้ำมัน ค่าน้ำประปา ค่าไฟ ลดภาษี ลดค่าสาธารณูปโภค เพราะจะได้ประโยชน์ทุกคน ไม่ต้องรอเป็นรอบๆ แบบนี้ ไม่ต้องลงทะเบียนให้ยุ่งยาก จะได้ประโยชน์มากกว่าและได้ทุกคน
“ถ้าแจกก็ดี แต่คนที่ไม่ได้ก็จะน้อยใจ ถ้าแจกก็แจกทุกคนไปเลย ไม่ต้องมาลงทะเบียนเป็นรอบๆ แบบนี้ เพราะทุกคนมีความจำเป็นเหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิเท่ากัน” นายธงชัย กล่าว
ขณะที่ นางเพชรรัตน์ กองพลพรหม อายุ 57 ปี แม่ค้าขายไส้กรอก กล่าวว่า มองว่าคนที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปีจะเป็นหัวหน้าครอบครัว มีความจำเป็นต้องใช้เงินมากกว่า กลุ่มคนอายุนี้มีความจำเป็นต้องซื้อของอุปโภคบริโภคมาใช้ในครอบครัว ค่ากับข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟ ภาระจะตกอยู่กับคนกลุ่มนี้ เพราะความรับผิดชอบเยอะ
ทั้งนี้ ระยะเวลาการแจกเงินมองว่าห่างกันเกินไป ช่วงก่อนปีใหม่ถ้าให้กลุ่มคนอายุ 60 ปีขึ้นไป และช่วงตรุษจีนให้กลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 60 ปี จะดีมาก เพราะจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงๆ
“ตั้งแต่ปีใหม่ถึงตรุษจีนคนจะใช้เงินเยอะ ถ้าห่าง 3-4 เดือนมันจะไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ ดูจากคนที่ได้เงิน 10,000 บาท เฟสแรก คนออกมาใช้เงินจริงๆ ที่ตลาดขายดีขึ้นคนคึกคัก ถ้ามีเงินรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือจะพอหมุนเงินได้ทัน จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง” นางเพชรรัตน์ กล่าว
ด้านนายเดชชัย ตรีไทย อายุ 63 ปี เจ้าของร้านส้มตำ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลเจาะลึกข้อมูลมากกว่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่จนจริงๆ ที่เข้าไม่ถึง บางคนไม่ได้จนจริงก็ได้รับเงินกันหมด ทั้งนี้ เงิน 10,000 บาท เป็นสิทธิที่เราควรจะได้เหมือนคนอื่นๆ อยากให้ได้ทุกคนจะได้มีความยุติธรรม ซึ่งควรได้รับเงินเหมือนกันทั้งหมด เพราะทุกคนจ่ายภาษีเหมือนกัน
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ เพื่อสอบถามความเห็นประชาชนที่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป และพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ เกี่ยวกับการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ด้วยเช่นกัน
โดยนางวันเพ็ญ บุญลาด อายุ 53 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไปและค้าขาย กล่าวว่า หลังจากทราบว่ารัฐบาลจะจ่ายเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับกลุ่มที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและไม่ใช่คนพิการ จึงอยากให้รัฐพิจารณาแจกให้ครอบคลุม ไม่ควรจำกัดที่อายุ 60 ปี เพราะความเดือดร้อนจำเป็นไม่ใช่เฉพาะคนอายุ 60 ปีขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้น รัฐควรทบทวนหลักเกณฑ์เงื่อนไขการจ่ายให้ครอบคลุม เพราะทุกวันนี้หาเงินยากลำบาก ข้าวของก็แพง รายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย.
ตั้ง ‘ประธานบอร์ด ธปท.’ ส่อลากยาว ‘กิตติรัตน์’ เจอตอ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
https://www.isranews.org/article/isranews/133525-politics-103.html
กรณีแต่งตั้ง ‘พิชิต ชื่นบาน’ เป็นรัฐมนตรี ทำเนียบฯ ผวา - ตั้ง ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ง่าย
ส่อลากยาวเกิน 1 สัปดาห์ เตรียมขอความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเข้ม
ก่อนเข้าครม.- นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ
รายงานข่าวแจ้งว่า อย่างไรก็ตาม การประชุมครม.เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา นายพิชัยให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมการประชุมครม.ว่า การประชุมครม.ในวันนี้ (19 พ.ย.67) ยังไม่มีการเสนอชื่อประธาน ธปท.ให้ครม.เห็นชอบ เนื่องจากยังไม่ได้รับหนังสือผลการพิจารณาเห็นชอบบุคคลที่เหมาะสมให้ดำรงตำแหน่งประธานธปท.จากคณะกรรมการคัดเลือกฯ
แหล่งข่าวระดับสูงทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยสำนักข่าวอิศราถึงกรณีดังกล่าวว่า เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 21/2567 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว กรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประกอบกับเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจและมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในสังคม คงจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ ดังนั้น หากมีการนำรายชื่อประธานธปท.มาให้ครม.พิจารณา คาดว่าจะใช้เวลาในการขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนนำเข้าที่ประชุมครม.ไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์
“เพื่อให้เกิดความรอบคอบทั้งคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่ถูกเสนอชื่อเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนเมื่อครั้งนายเศรษฐา แต่งตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรี ดังนั้น จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของรัฐมนตรีทั้งคณะและนายกรัฐมนตรีมากที่สุดในการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ” แหล่งข่าวระดับสูงทำเนียบรัฐบาลระบุ
รายงานข่าวเพิ่มเติม จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว ส่งผลให้การตั้งแต่รัฐมนตรีในรัฐบาลของนางสาว แพทองธาร ชินวัตร มีความรอบคอบในเรื่องการตรวจสอบประวัติมากขึ้นกว่าเดิมมาก รวมถึงตำแหน่งข้าราชการการเมืองด้วย
โดยมติครม.เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 ได้วางแนวทางการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง โดยให้ทุกส่วนราชการที่จะเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมืองดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่จะเสนอแต่งตั้ง โดยจะต้องดำเนินการรับรองคุณสมบัติตามแบบรับรองประวัติบุคคลประกอบการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 (8) - (20) จำนวน 14 ข้อ
รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติจากหน่วยงาน 7 หน่วยงาน ได้แก่ 1.สำนักงานศาลยุติธรรม 2.กรมบังคับคดี 3.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 4.สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 5.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 6.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ 7.สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ไทยสร้างไทย เร่งสอบสส.ขึ้นปราศัยนายกอบจ.อุดรฯเพื่อไทย
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_804865/
ไทยสร้างไทย แจงไม่เกี่ยวข้อง สส.พรรคไปขึ้นเวทีหาเสียงนายกฯอบจ.ของเพื่อไทย เร่งสอบจริยธรรม “อดิศักดิ์” ยื่น ปปช.เอาผิด “สุภาพร”
นายปริเยศ อังกูรกิตติ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยถึงกรณีการเปิดเวทีปราศรัย หาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ซึ่งอาจทำให้ พี่น้องประชาชนเกิดความสับสนเนื่องจากพบว่ามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคไทยสร้างไทย ขึ้นเวทีช่วยในการหาเสียง นอกจากจะขัดต่อมติของพรรคไทยสร้างไทยแล้วยังอาจขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งด้วย
นายปริเยศ กล่าวว่า เมื่อทราบข้อเท็จจริง พรรคไทยสร้างไทย จึงได้ตรวจสอบจนไปพบว่าเฟซบุ๊ก ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ของนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดอุดรธานี ได้โพสต์ข้อความผ่านทางโซเชียลมีเดีย ถึงการลงพื้นที่ หาเสียงเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม
2567 ที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏภาพถ่าย ของนายอดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคไทยสร้างไทย บนเวทีขณะช่วยหาเสียงและต่อมาเฟซบุ๊กของพรรคเพื่อไทย ได้ประชาสัมพันธ์ เนื้อหาสาระสำคัญเดียวกัน
นายปริเยศ ระบุว่า การเปิดเวทีปราศรัยเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานี แล้วได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความ รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง โน้มน้าวให้ผู้สนับสนุนและพี่น้องประชาชนในจังหวัดอุดรธานีเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย พร้อมกับรูปสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งทำหน้าที่ สส.เขต 6 ของจังหวัดอุดรธานีอีกครั้ง โดยมีข้อความลายน้ำ ซึ่งระบุถึง ผู้ผลิต ที่อยู่ และวันที่ผลิต สื่อเพื่อใช้ในการรณรงค์หาเสียง อีกทั้งยังมีโลโก้ของพรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามพรรคไทยสร้างไทย ขอชี้แจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมดังกล่าว และไม่เคยมอบหมายสั่งการ ให้นายอดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ ไปกระทำการช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้ง จากพรรคเพื่อไทย หรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เพราะถือเป็นการกระทำที่ผิดมารยาททางการเมือง ขณะที่พรรคไทยสร้างไทยยังคง ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน และเชื่อได้ว่าอาจเป็นการกระทำที่ขัดจริยธรรมและหลักการของพรรค ดังนั้นคณะกรรมการวินัยและจริยธรรมพรรคไทยสร้างไทย จะดำเนินการเรียกนายอดิศักดิ์ ให้เข้ามาชี้แจงต่อไป
ส่วนกรณีที่ คณะกรรมการวินัยและจริยธรรมพรรคไทยสร้างไทย ดำเนินการตรวจสอบ นางสุภาพร สลับศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดยโสธร ของพรรคไทยสร้างไทย คณะกรรมการบริหารพรรคเตรียมนำส่งหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ไต่สวนและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อนางสุภาพร อย่างถึงที่สุด
นายปริเยศ กล่าวทิ้งท้ายว่า จากการจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งเชื่อได้ว่า อาจได้รับผลประโยชน์จากพรรคการเมืองอื่นหรือหัวหน้าพรรคการเมืองอื่น อันเป็นเจตนาทำลายระบอบประชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อเป็นการคงไว้ซึ่งความเป็นประชาธิปไตย และเพื่อเป็นแบบอย่างในการสร้างบรรทัดฐาน ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร