JJNY : ทวีย้ำ ถ้า‘ยิ่งลักษณ์’กลับไทย│จี้อว.ขึ้นงด.ขรก.-พนง.มหา’ลัย│เตือน‘คอนโด-ทาวน์เฮาส์’ เหลือบาน│ยูเครนชี้เปลี่ยนเกม

ทวี ย้ำถ้า ‘ยิ่งลักษณ์’ กลับไทย ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ปัดใช้ ‘ทักษิณโมเดล’
https://www.matichon.co.th/politics/news_4905849
 
 
‘ทวี’ ชี้ ‘ยิ่งลักษณ์’ กลับไทย ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เริ่มที่ศาลออกหมาย ก่อนขอพระราชทานอภัยโทษ ยัน ไร้ ‘ทักษิณโมเดล’
 
เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการเดินทางกลับไทยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลัง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าจะกลับมาร่วมประเพณีวันสงกรานต์ปีหน้า ว่า เบื้องต้นยังไม่ได้รับการประสานมา แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เพราะคนที่จะเข้าสู่กระบวนการของกรมราชทัณฑ์ต้องเริ่มต้นที่กระบวนการศาลก่อน คือมีหมายขังที่ออกโดยศาล เมื่อรับหมายแล้ว กรมราชทัณฑ์ก็ปฏิบัติตาม และตามกฎหมายของกรมราชทัณฑ์ปัจจุบันมีการยกระดับมากขึ้น หากเป็นผู้หญิงก็ต้องอยู่ในทัณฑสถานกลาง ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
 
เมื่อถามว่า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับมาจะเข้าสู่กระบวนการแบบเดียวกับนายทักษิณ จนไปถึงขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า สมัยที่นายทักษิณกลับมา ตนยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แต่สำหรับการกลับมาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายราชทัณฑ์
 
เมื่อถามย้ำว่า จะเป็นโมเดลเดียวกับนายทักษิณหรือไม่ พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า ไม่ได้เป็นโมเดลอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างปฏิบัติตามกฎหมาย 



‘นักวิชาการ’ จี้อว.ขึ้นเงินเดือนขรก.-พนง. มหา’ลัยทั้งระบบ หลังถูกลืมนาน 10 ปี ชงออกกม.คุ้มครองฯ
https://www.matichon.co.th/education/news_4904867

ศ.น.ท.สุมิตร สุวรรณ อาจารย์ประจำหลักสูตรการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน (มก.) เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ที่มี น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธาน ได้เตรียมจัดทำรายละเอียดเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เยียวยาข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา กรณีข้าราชการได้รับการปรับอัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังเตรียมเสนอ ครม. พิจารณาขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อปรับเงินเดือนชดเชยให้กับพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาหรือพนักงานมหาวิทยาลัยที่บรรจุก่อน 1 พฤษภาคม 2567 และก่อน 1 พฤษภาคม 2568 อีกครั้งนั้น ส่วนตัวเห็นด้วยอย่างยิ่งในการปรับเงินเดือนครั้งนี้ ซึ่งมติ ครม.ปี 2542 อนุมัติในหลักการให้สถาบันอุดมศึกษาจ้างพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาทดแทนอัตราข้าราชการที่เกษียณ โดยให้สำนักงบประมาณจ่ายค่าใช้จ่ายในการจ้าง เพิ่มขึ้น1.5-1.7 เท่าของอัตราเงินเดือนข้าราชการแรกบรรจุ และควรปรับเงินเงินเดือนให้กับข้าราชการและพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งระบบ ซึ่งไม่ได้มีการปรับมานานกว่า 10 ปี ไม่ใช่ปรับเฉพาะอัตราแรกบรรจุเท่านั้น
 
“สำหรับการปรับเงินเดือนของพนักงานมหาวิทยาลัย ควรดำเนินการเป็นขั้นบันได โดยคนที่บรรจุเข้ามาใหม่อาจจะมีการปรับในอัตราที่มากกว่าผู้ที่บรรจุอยู่เดิม แต่ขอให้มีการปรับทั้งระบบ เพื่อไม่ให้เงินเดือนของคนเข้าใหม่ไปแซงหรือเท่ากับคนที่อยู่มานาน ตรงนี้ถือเป็นการให้ความเป็นธรรมกับพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่มานานด้วย” ศ.น.ท.สุมิตร กล่าว
 
ศ.น.ท.สุมิตร กล่าวต่อว่า การปรับเงินเดือนให้พนักงานมหาวิทยาลัยในครั้งนี้ เนื่องจากพนักงานมหาวิทยาลัยไม่มีกฏหมายรองรับสถานภาพ อว.จึงควรทบทวนและเสนอ ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งยกร่างโดย นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเคยรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องไปแล้วครั้งหนึ่งตั้งแต่ปี 2558 โดยข้อดีของกฎหมายฉบับนี้ คือ มีการกำหนดไว้ชัดเจนว่า หากมีการปรับเงินเดือนข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัยก็จะได้รับการปรับเพิ่มเงินเดือนด้วยทันที โดยไม่ต้องเสนอให้ ครม. พิจารณาอีกครั้ง ทั้งนี้สาเหตุที่ยังไม่สามารถเสนอกฎหมายฉบับนี้ ให้ ครม.พิจารณาได้ เนื่องจากบุคลากรจำนวนหนึ่ง ยังมีมีความเห็นต่างในประเด็นที่มีการบังคับให้อาจารย์ทั้งที่เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยและข้าราชการต้องได้ตำแหน่งทางวิชาการ หากไม่ได้ตำแหน่งก็จะถูกยกเลิกสัญญาจ้างหรือให้ออกจากราชการได้ ส่งผลให้หลายคนไม่พอใจ โดยส่วนตัวมองว่า ประเด็นดังกล่าว ไม่ควรกำหนดไว้ในกฎหมาย แต่ควรเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้อาจารย์มีตำแหน่งทางวิชาการมากกว่า หากสามารถแก้ไขประเด็นนี้ได้ เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา
 
ศ.น.ท.สุมิตร กล่าวต่อว่า อีกหนึ่งประเด็นที่รู้สึกกังวล คือ หาก ครม.มีมติอนุมัติให้ปรับเงินเดือนตามที่เสนอ แต่อาจไม่มีงบประมาณสนับสนุน โดยให้ใช้เงินรายได้ของมหาวิทยาลัยมาจ่ายให้กับพนักงานก็จะกลายเป็นสร้างภาระให้กับมหาวิทยาลัยอย่างมาก โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยขนาดเล็กที่มีเงินรายได้น้อย ดังนั้น ส่วนตัวอยากให้รัฐบาลตั้งงบประมาณสนับสนุน เพื่อไม่ให้กระทบต่อรายได้ของมหาวิทยาลัย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมีพนักงานอีกประเภทหนึ่งที่จ้างโดยเงินรายได้อยู่ด้วย
 
พนักงานมหาวิทยาลัยควรจะมีกฏหมายคุ้มครองสถานภาพ เงินเดือน สวัสดิการ และความมั่นคงของตัวเอง ซึ่งการที่ไม่มีกฎหมายเป็นของตัวเองนั้น ทำให้ต้องส่งเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ทุกครั้งที่ข้าราชการได้รับการปรับเงินเดือน โดยปัจจุบันมหาวิทยาลัยมีบุคลากรที่เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ กลับไม่มีกฏหมายคุ้มครองถือเป็นเรื่องแปลก ดังนั้น อว.ควรนำร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลในสถาบันอุดมศึกษากลับมาทบทวนให้เป็นที่ยอมรับกับทุกฝ่าย ก่อนเสนอให้ ครม.พิจารณาอีกครั้ง ” ศ.น.ท.สุมิตร กล่าว



สต๊อกอสังหาพุ่ง 1.3 ล้านล้าน ใช้เวลาขาย 49 เดือน เตือน ‘คอนโด-ทาวน์เฮาส์’ 2-3 ล้านเหลือบาน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4905658

สต๊อกอสังหาพุ่ง 1.3 ล้านล้าน ใช้เวลาขาย 49 เดือน เตือน‘คอนโด-ทาวน์เฮาส์ ’2-3 ล้านเหลือบาน
 
นางสาวสิทธิเพ็ญ สิทธัตถพงษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่าผลสำรวจโครงการที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่กรุงเทพ–ปริมณฑล พบว่าในไตรมาส 3 ปี 2567 มีที่อยู่อาศัยที่เสนอขายรวม 229,182 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 มูลค่า 1,394,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
 
โดยในจำนวนนี้ เป็นที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ จำนวน 13,277 หน่วย ลดลงร้อยละ 35.8 มูลค่า 115,047 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 21.3 โดยมีหน่วยขายได้ใหม่ จำนวน 13,382 หน่วย ลดลงร้อยละ  26.7% มูลค่า 81,143 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 35.8
มีหน่วยเหลือขายสูงถึง 215,800 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 มูลค่า 1,313,487 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ  27.3 โดยหน่วยเหลือขายเพิ่มขึ้นทุกระดับราคา ยกเว้นราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท และราคา 1.51-2 ล้านบาทที่หน่วยเหลือขายลดลง โดยอัตราดูดซับลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.9 ต่อเดือน ทำให้จำนวนเดือนที่คาดว่าจะขายหมดเพิ่มขึ้นจาก 32 เดือน เป็น 49 เดือน
 
ส่วนภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑลในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2567 พบว่า มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ สะสมจำนวน 46,901 หน่วย ลดลงร้อยละ 27.6 มีมูลค่า 363,292 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 โดยจำนวนหน่วยลดลงทุกประเภท ยกเว้นบ้านเดี่ยวที่มีเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ขณะที่มูลค่าเปิดขายใหม่ก็ลดลงทุกประเภท ยกเว้นบ้านเดี่ยวที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4และอาคารชุดที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 โดยมูลค่าที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเปิดขายใหม่ในระดับราคาสูง
 
ขณะที่จำนวนหน่วยขายได้ใหม่ มีจำนวน 44,231 หน่วย ลดลงร้อยละ 20.9 มูลค่า 257,294 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.1 โดยมีข้อสังเกตว่ากลุ่มราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มียอดขายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วน ที่อยู่อาศัยเหลือขาย ทุกสถานะ ณ ไตรมาส 3 ปี 2567 ในกลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 7.50 ล้านบาท มีทิศทางลดลง เป็นผลจากมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง
 
โดยอาคารชุดจำนวนหน่วยเหลือขายในกลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 7.50 ล้านบาท ในไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2567ลดลง ร้อยละ 0.5 และร้อยละ 0.7 ตามลำดับ
ทั้งนี้ คาดการณ์สถานการณ์ที่อยู่อาศัยที่อยู่ปี 2567 ทั้งปี จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ประมาณ 85,195 หน่วย ลดลงร้อยละ 11.4 และมีมูลค่า 528,396 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.4 ส่วนปี 2568 คาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 89,655 หน่วย เพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.2 จากปี 2567 และมีมูลค่า 541,392 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 โดยมีสาเหตุจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดที่อยู่อาศัย
 
อย่างไรก็ดี REIC มีข้อสังเกตประเภทที่อยู่อาศัย และระดับราคาที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จเหลือขาย หรือที่เรียกว่า Inventory ที่ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยควรระมัดระวังในการเพิ่มอุปทานกลุ่มเหล่านี้เข้าไปในตลาดจนทำให้ความเร็วในการขายลดลง ได้แก่
 
อาคารชุด ควรระมัดระวัง ในกลุ่มราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 9,265 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.6 ของอาคารชุดที่สร้างเสร็จเหลือขายทั้งหมด 26,794 หน่วย และกลุ่มระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 4,277 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16
 
ทาวน์เฮ้าส์ ควรระมัดระวังในกลุ่มราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 7,942 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 48.0 ของทาวน์เฮ้าส์ที่สร้างเสร็จเหลือขายทั้งหมด 16,561 หน่วย และกลุ่มระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 5,338 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.2
 
บ้านเดี่ยว ควรระมัดระวังในกลุ่มราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 2,559 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.7 ของบ้านเดี่ยวที่สร้างเสร็จเหลือขายทั้งหมด 7,815 หน่วย และระดับราคา 10.01 – 20 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 1,620 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ20.7
 
บ้านแฝด ควรระมัดระวังในกลุ่มราคา  3.01 – 5.00 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 2,418 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 50.8 ของบ้านแฝดที่สร้างเสร็จเหลือขายทั้งหมด 4,760 หน่วย และกลุ่มระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาทซึ่งมีจำนวน 1,472 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ30.9
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่