คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 84
ขออนุญาตเจ้าของกระทู้ แสดงความรู้สึกนิดนึง แสดงความรู้สึกนะครับ มิได้แสดงความเห็น
ผมเกลียดข้อความทำนองว่า จขกท รักเขาไม่มากพอที่จะเสียสละ...... บลา ๆ ๆ ๆ
ไม่ตั้งคำถามย้อนกลับบ้างหรือครับ ชายอังกฤษสัญชาติอเมริกันคนนั้น รัก จขกท มากพอหรือไม่ จึงไม่ยอมย้ายมาเมืองไทย..??
แล้วถ้าได้คำตอบว่า ใช่ เขาไม่ได้รัก จขกท มากพอ ....และถ้าตกลงปลงใจกันในอนาคต ผู้ชายที่ไม่ได้รักผู้หญิงมากพอ
อนาคตจะเป็นเช่นไรบ้างฤาครับ..?
และที่น่าขันมากคือ ผู้ที่โพสต์แสดงความเห็น บอก จขกท (ออกในเชิงตำหนิด้วยซ้ำ) กลับเป็น ผู้หญิงเช่นกันกับ จขกท เกือบทั้งหมดนี่หล่ะ
คำถามต่อไปคือ ทำไมต้องให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียสละ อยู่เสมอเล่าครับ...???
.
ผมเกลียดข้อความทำนองว่า จขกท รักเขาไม่มากพอที่จะเสียสละ...... บลา ๆ ๆ ๆ
ไม่ตั้งคำถามย้อนกลับบ้างหรือครับ ชายอังกฤษสัญชาติอเมริกันคนนั้น รัก จขกท มากพอหรือไม่ จึงไม่ยอมย้ายมาเมืองไทย..??
แล้วถ้าได้คำตอบว่า ใช่ เขาไม่ได้รัก จขกท มากพอ ....และถ้าตกลงปลงใจกันในอนาคต ผู้ชายที่ไม่ได้รักผู้หญิงมากพอ
อนาคตจะเป็นเช่นไรบ้างฤาครับ..?
และที่น่าขันมากคือ ผู้ที่โพสต์แสดงความเห็น บอก จขกท (ออกในเชิงตำหนิด้วยซ้ำ) กลับเป็น ผู้หญิงเช่นกันกับ จขกท เกือบทั้งหมดนี่หล่ะ
คำถามต่อไปคือ ทำไมต้องให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียสละ อยู่เสมอเล่าครับ...???
.
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
คุณมีทางเลือกเพราะคุณมีความรู้มีงานทำที่ดีที่เมืองไทย
เมืองนอกเราว่าไม่เหมาะกับคุณหรอกค่ะ
อย่างที่แฟนคุณบอก
คนที่เมืองนอกส่วนมากทำงานบ้านเอง
ถ้าจะจ้างก็จ้างเป็นรายชั่วโมงบางครั้งบางคราวเท่าน่า
ยกเว้นคนรวย ๆ ที่จะจ้างใครมาทำอะไรให้ก็ได้
งานครัวคุณก็ไม่ชอบ
ยากที่คุณจะมีความสุขที่เมืองนอกค่ะ
เมืองนอกเราว่าไม่เหมาะกับคุณหรอกค่ะ
อย่างที่แฟนคุณบอก
คนที่เมืองนอกส่วนมากทำงานบ้านเอง
ถ้าจะจ้างก็จ้างเป็นรายชั่วโมงบางครั้งบางคราวเท่าน่า
ยกเว้นคนรวย ๆ ที่จะจ้างใครมาทำอะไรให้ก็ได้
งานครัวคุณก็ไม่ชอบ
ยากที่คุณจะมีความสุขที่เมืองนอกค่ะ
ความคิดเห็นที่ 1
ถ้าต่างคนต่างไม่มีใครยอมเสียสละก็ต้องแยกย้ายค่ะ ดีกว่าเสียเวลาไปเปล่าๆโดยไม่มีอนาคต
เชื่อมั้ยคะว่าต่อให้คุณสองคนได้แต่งงานอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
สุดท้ายยังไงก็คงไปไม่รอดหรอก เพราะไม่มีใครคิดจะปรับตัวเข้าหาอีกฝ่ายเลย
อย่างตัวคุณก็ไม่ได้มีความคิดที่จะปรับตัวให้เป็นแม่บ้านแม่เรือนเลยซักนิด
ส่วนผู้ชายก็ไม่คิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่
มองยังไงก็ไม่มีทางลงเอยกันได้แน่ๆ คบต่อไปก็มีแต่เสียเวลาเปล่า
เชื่อมั้ยคะว่าต่อให้คุณสองคนได้แต่งงานอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
สุดท้ายยังไงก็คงไปไม่รอดหรอก เพราะไม่มีใครคิดจะปรับตัวเข้าหาอีกฝ่ายเลย
อย่างตัวคุณก็ไม่ได้มีความคิดที่จะปรับตัวให้เป็นแม่บ้านแม่เรือนเลยซักนิด
ส่วนผู้ชายก็ไม่คิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่
มองยังไงก็ไม่มีทางลงเอยกันได้แน่ๆ คบต่อไปก็มีแต่เสียเวลาเปล่า
ความคิดเห็นที่ 13
ชีวิตที่ไทยสุขสบาย เป็นคุณหนู งานบ้านไม่ต้องทำ รายได้ดี ชอบวิถีชิวิตแบบไทย บอกได้เลย เวลาคุณแต่งงานไปแล้วคงมีรายได้ปีละหลายล้านบาท แต่ต้องแลกกับคว่มไม่สะดวก สบาบแบบคุณหนูอีกต่อไป ไม่ใช้แค่ ไม่ชอบล้างจาน ไม่ชอบทำกับข้าว แล้วคุณรู้มัยว่าคนอเมิกันเขาทำอะไรกันบ้าง ผมจะลิสจากกิจกรรมของตัวเองเป็นหลัก และคิดว่าแฟนคุณคงไม่จากผมมาก เพราะอยู่อเมริกาเหมือนกัน
*ทำกับข้าวทานเอง เพราะไม่มีปัญญาซื้อกินข้างนอกทุกวัน
* เช็ดครัวทุกครั้งที้ทำกับข้าวเสร็จ
* ทำความสะอาดบ้าน ตั้งแต่ดูดฝุน ซักพรหม ล้างห้องซ้วม ห้องน้ำ
* กวาดบ้าน ถูบ้าน เช็ดกระจก
* ซัก รีดเสื้อผ้า
* ตัดหญ่า ขูดหิมะ
* เปลี่ยนนำมันเครื่อง เปลี่ยนผ้าเบรค
* ซ่อมแซมต่างๆภายในบ้าน เช่น ที่ปั่นเศษอาหารเสีย ก็อกน้ำรั่ว ชักโครกน้ำซึม แอร์ไม่เย็น heater ไม่ร้อน เปลี่ยนมุ้งลวด ซ่อมแซม patio
* จ่ายตลาด
* file income tax
* เลี้ยงลูกเอง
* ไปรับ ไปส่งลูก พอลูกปิดเทอม หยุดอยู่บ้านเหนื่อยเป็น 2 เท่า
* day care after school แพงมาก แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้
* ค่าใช้จ่ายแพงมาก
ทุกอย่างที่ลิสมาคนอเมริกันเขาทำกันเอง คนธรรมดาจ้างให้แม่บ้านมาทำไม่ไหว ขนาด เจ้านายผมเป็น director ยังตัดหญ่า ขูดหิมะเอง
หากคุณแต่งงานแล้วมาอเมริกา คุณก็ต้องช่วยแบ่งเบางานพวกนี้ (ผมยังเขียนรายการไม่หมด) ใข่ คุณอาจจะมีเงินเดือนเยอะ แต่คุณจะไม่ได้เป็นคุณหนูที่เมืองไทย พูดตรงๆอเมริกาให้โอกาสทุกคนที่ อดทน และขยัน คุณต้องทำงานบ้านที่ผมพูดมา ชีวิตคุณประมาณว่ามาป็นคนรับใช้ที่นี่ เพราะคถณต้องทำเองทุกอย่าง หากคุณไม่ทำ แฟนคุณไม่มีปัญญาจ้างคนทำ เขาต้องทำเองทุกอย่าง แล้วมันจะมาถึงจุดที่แตกหัก เพราะคุณทำอะไรไม่ได้เลย
*ทำกับข้าวทานเอง เพราะไม่มีปัญญาซื้อกินข้างนอกทุกวัน
* เช็ดครัวทุกครั้งที้ทำกับข้าวเสร็จ
* ทำความสะอาดบ้าน ตั้งแต่ดูดฝุน ซักพรหม ล้างห้องซ้วม ห้องน้ำ
* กวาดบ้าน ถูบ้าน เช็ดกระจก
* ซัก รีดเสื้อผ้า
* ตัดหญ่า ขูดหิมะ
* เปลี่ยนนำมันเครื่อง เปลี่ยนผ้าเบรค
* ซ่อมแซมต่างๆภายในบ้าน เช่น ที่ปั่นเศษอาหารเสีย ก็อกน้ำรั่ว ชักโครกน้ำซึม แอร์ไม่เย็น heater ไม่ร้อน เปลี่ยนมุ้งลวด ซ่อมแซม patio
* จ่ายตลาด
* file income tax
* เลี้ยงลูกเอง
* ไปรับ ไปส่งลูก พอลูกปิดเทอม หยุดอยู่บ้านเหนื่อยเป็น 2 เท่า
* day care after school แพงมาก แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้
* ค่าใช้จ่ายแพงมาก
ทุกอย่างที่ลิสมาคนอเมริกันเขาทำกันเอง คนธรรมดาจ้างให้แม่บ้านมาทำไม่ไหว ขนาด เจ้านายผมเป็น director ยังตัดหญ่า ขูดหิมะเอง
หากคุณแต่งงานแล้วมาอเมริกา คุณก็ต้องช่วยแบ่งเบางานพวกนี้ (ผมยังเขียนรายการไม่หมด) ใข่ คุณอาจจะมีเงินเดือนเยอะ แต่คุณจะไม่ได้เป็นคุณหนูที่เมืองไทย พูดตรงๆอเมริกาให้โอกาสทุกคนที่ อดทน และขยัน คุณต้องทำงานบ้านที่ผมพูดมา ชีวิตคุณประมาณว่ามาป็นคนรับใช้ที่นี่ เพราะคถณต้องทำเองทุกอย่าง หากคุณไม่ทำ แฟนคุณไม่มีปัญญาจ้างคนทำ เขาต้องทำเองทุกอย่าง แล้วมันจะมาถึงจุดที่แตกหัก เพราะคุณทำอะไรไม่ได้เลย
ความคิดเห็นที่ 2
เราก็มองไม่เห็นหนทาง ในเหตุการณ์และลักษณะที่คุณเป็น สำหรับการมาอยู่ที่เมกา
เพราะชีวิตที่เมืองไทยคือสุขสบายที่สุดแล้ว ในสถานะการณ์อย่างคุณ ที่เมกาช่างต่างกัน
มากมาย อย่าแต่งงานกับคนนี้เลยค่ะ คุณจะทุกข์มากกว่าสุข มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต้อง
เปลี่ยนอะไรมากกกกกมายยยยย เพื่อใครในเมื่อที่เป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว การแต่งงาน ไม่ได้
เป็นจุดจบของการมีชีวิต แต่เป็นการเริ่มต้นดำเนินชีวิตใหม่ ในอีกรูปแบบนึง หรืออีกอย่าง
ที่พอจะแนะนำได้นะคะ ที่พอเห็นทางอย่างที่คุณเล่ามา ลองค่ะ ในเมื่อคุณบอกทำงานที่บ้าน
ได้ ลองขอที่ทำงาน สามเดือนไม่เข้าออฟฟิส ทำงานออนไลน์แล้ว ไปอยู่กับแฟนสักสาม
เดือน ตรงนั้นแหละ ถ้าคุณอยู่ได้หรือไม่ได้ ตัดสินใจเองตรงนั้นได้เลย อย่าไปอยู่กันแค่
สั้นๆ ต่างคนต่างยังไม่ออกทาสแท้ ว่ารับกันได้มัย
เพราะชีวิตที่เมืองไทยคือสุขสบายที่สุดแล้ว ในสถานะการณ์อย่างคุณ ที่เมกาช่างต่างกัน
มากมาย อย่าแต่งงานกับคนนี้เลยค่ะ คุณจะทุกข์มากกว่าสุข มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต้อง
เปลี่ยนอะไรมากกกกกมายยยยย เพื่อใครในเมื่อที่เป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว การแต่งงาน ไม่ได้
เป็นจุดจบของการมีชีวิต แต่เป็นการเริ่มต้นดำเนินชีวิตใหม่ ในอีกรูปแบบนึง หรืออีกอย่าง
ที่พอจะแนะนำได้นะคะ ที่พอเห็นทางอย่างที่คุณเล่ามา ลองค่ะ ในเมื่อคุณบอกทำงานที่บ้าน
ได้ ลองขอที่ทำงาน สามเดือนไม่เข้าออฟฟิส ทำงานออนไลน์แล้ว ไปอยู่กับแฟนสักสาม
เดือน ตรงนั้นแหละ ถ้าคุณอยู่ได้หรือไม่ได้ ตัดสินใจเองตรงนั้นได้เลย อย่าไปอยู่กันแค่
สั้นๆ ต่างคนต่างยังไม่ออกทาสแท้ ว่ารับกันได้มัย
แสดงความคิดเห็น
จะทำยังไงเมื่อเราหาหนทางลงเอยความรักระหว่างเรากับแฟนฝรั่งไม่ได้
ขออนุญาติเราก่อนว่า
เราอายุ 28 ปีค่ะ ปัจจุบันกำลังคบหากับแฟนที่เป็นชาวต่างชาติ
เรารู้จักกันเพราะแฟนเป็นเพื่อนกับลูกพี่ลูกน้องเราช่วงที่เขาไปเรียนต่างประเทศ
แล้วช่วงนั้นแฟนมาเที่ยวไทยพอดีบวกกับเราเป็นสาวโสดอยู่พี่ชายจับคู่ให้ก็เลยลงเอยกันค่ะ
ตลอดเวลาที่คบกันแฟนเราเป็นผู้ชายที่ดีมากกกกกก
ออกตัวก่อนเลยว่าเราไม่ใช่สาวไทยสายฝอแต่แรกนะคะ เราคุยกับหนุ่มไทยบ้างไทยครึ่งจีนบ้างมาตลอดค่ะตั้งแต่เรียนจนทำงาน
เราไม่ได้มองหาฝรั่งเป็นพิเศษค่ะแต่บังเอิญว่าถูกชะตากับแฟน
หลังจากนั้นพอได้ลองไปเดทไปเที่ยวกันก็เลยชอบกันจริงๆจังๆขึ้นมาค่ะ
เราสองคนคบกันมาเป็นแฟนเป็นระยะเวลาปีกว่าแล้วบวกด้วยช่วงอายุแฟนที่แก่กว่าเรา 4 ปีเราก็เลยเริ่มพูดๆคุยกันเรื่องหนทางของการมีชีวิตคู่กันขึ้นมา
เล่าแบคกราวก่อนนะคะว่า
เราเป็นมนุษย์เงินเดือนค่ะ
ปัจจุบันเราเงินเดือน 110,000 บาทค่ะ
เราจบปริญญาโทสาขาวิศวกรรมการเงิน และปริญญาตรี วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ค่ะ ทำให้ตอนนี้เราเลยได้โอกาสทำงานในส่วนงาน FinTech ค่ะ เลยมีเงินเดือนสูงกว่าเพื่อนๆคนอื่นๆที่เรียนวิศวกรรมด้วยกันแต่เรียนสาขาอื่น
แต่ถ้าเทียบกันกับเพื่อนที่ทำงานสมัยเรียนจบแรกๆในบริษัท Consult IT แห่งหนึ่งถือว่าเราเงินเดือนไม่เยอะค่ะ ฮ่าๆ
ทุกคนเงินเดือนแซงเราไปหมดแล้วค่ะตอนนี้
พ่อแม่เราเป็นข้าราชการทั้งคู่ค่ะ ถึงแม้ท่านทั้งสองจะไม่ได้รวยมากเวอร์วังมีเงินถุงเงินถังให้เรากับพี่แต่ก็พอส่งให้ทั้งเราและพี่มีโอกาสได้เรียนดีๆ ส่งเรียนพิเศษ ส่งติวเข้มข้นจนพวกเราพอจะมีชีวิตการทำงานที่ดูแลตัวเองได้แล้วน่ะค่ะ
คุณพ่อเราเสียไปนานมากแล้วค่ะท่านยกสมบัติเป็นบ้านหลังปัจจุบันนี้ให้เราและพี่สาวแล้วค่ะ ส่วนตัวพี่สาวเราแต่งงานกับคุณหมอด้วยกันไปสร้างบ้านกันใหม่ก็เลยยกบ้านหลังนี้ให้เราค่ะ
ส่วนรถคุณแม่เราหลังเกษียนก็ได้ทำการซื้อรถให้เราเป็นของขวัญเรียนจบปริญญาโทค่ะ เท่ากับว่าตัวเราไม่ได้มีภาระอะไรเลยค่ะ ภาระเท่ากับ 0 มากๆ
แฟนเราเนี่ยที่บ้านเป็นคนอังกฤษแต่ว่าเขาเกิดที่อเมริกาค่ะ เพราะงั้นเขาเลยถือสัญชาติอเมริกา
แฟนเราเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาท่านนึงค่ะ มีการเล่นหุ้นบ้างประปรายตามงานที่เขาทำ
เขาอายุ 32 ปี พื้นเพครอบครัวก็ไม่ได้จัดว่าเป็นคนรวยมากกกเวอร์อะไรค่ะ แต่พ่อแม่เขาก็พอมีบ้านอยู่มีรถขับตามประสา
แต่ด้วยความเป็นชาวต่างชาติเนอะคะ ของของที่บ้านเขาก็ไม่ได้นับว่าเป็นสมบัติของเขา
ตัวแฟนเราเองยังต้องสร้างตัวค่ะ เขามีรถเป็นของตัวเองแล้วแต่เขากำลังเก็บหอมรอมริบเพื่อจะซื้อบ้านอยู่ค่ะ
เขาอาจจะไม่ได้เป็นแนวฝรั่งที่ทุกคนนึกถึงว่าต้องจ่ายต้องเปย์ให้ทุกอย่างนะคะแต่เขาก็ให้เท่าที่เขาให้ได้ ส่วนตัวเราเองก็ให้ตอบแทนเท่าที่เราอยากให้เช่นกันค่ะ เช่นเวลาไปแฟนบินมาส่วนใหญ่ถ้าไม่นับค่าตั๋วกับค่าโรงแรมทุกอย่างเราจะจ่ายค่ะ เช่นเดียวกับเวลาเราบินไปหา เราจ่ายแค่ค่าตั๋วแต่ที่เหลือแฟนจะจ่ายค่ะ
ของขวัญตามเทศกาลก็ผลัดกันเปย์ค่ะ
แฟนเราเป็นผู้ชายตรงๆส่วนใหญ่อยากได้อะไรเขาก็บอกเราตรงๆ ส่วนเราแอบชอบเซอร์ไพรส์นิดๆแฟนก็จะรู้และก็หามาให้เราเสมอค่ะ
พวกเราไปมาหาสู่กันอยู่เสมอค่ะ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้แฟนเราก็เกริ่นกับเราเรื่องการแต่งงานค่ะ
แฟนเราออกตัวแต่แรกเลยว่าเขาไม่มีความคิดที่จะอยากย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทย
เราเข้าใจเขาดีค่ะ ถ้าเราเป็นคนชาติอื่นที่อยู่แบบค่อนข้างชิวๆ ไม่ได้ต้องมาทนกับรถติดเยอะๆ อากาศร้อนๆเขาก็คงไม่ได้อยากอยู่ที่นี่
บวกกับเขาเป็นคนสนิทกับครอบครัวมากค่ะ ซึ่งมันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เรารักเขา
เขาเทคแคร์ทั้งเราทั้งพี่น้องเขารวมไปถึงคุณพ่อคุณแม่ของเขาแบบอบอุ่นและจริงใจอยู่เสมอ
เรารักผู้ชายคนนี้ค่ะ เขาจะเป็นสามีที่น่ารักและรู้ใจที่สุดของเราและเราเชื่อว่าเขาจะเป็นพ่อที่อบอุ่นแล้วก็ใจดีกับลูกของเราแน่ๆถ้าเรามีลูกกันในอนาคต
แต่ทว่าทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายแบบนั้นค่ะ
พอเราคุยกันเรื่องแต่งงานและแฟนเราบอกแบบนั้นเขาก็พูดตามตรงว่าเขาอยากให้เราไปอยู่กับเขาที่อเมริกา
ซึ่งนั่นมันยากมากสำหรับเราจริงๆค่ะ
เราชอบประเทศไทยค่ะ เราชอบชีวิตของเราที่ไทยมากๆ เราชอบความเป็นอยู่ที่นี่ เราชอบชีวิตที่เราไม่ต้องดิ้นรนค่ะ ทุกวันนี้เรามีบ้านที่อาจจะไม่ได้อยู่ในกรุงเทพชั้นในแต่ก็ยังอยู่ในกรุงเทพพอให้ขับรถไปทำงานไหว (จริงๆแล้วงานเรา Hybrid ค่ะเข้าออฟฟิศอาทิตย์ละวัน)
เราชอบเส้นทางชีวิตในการทำงานของตัวเองค่ะ เราอาจจะโชคดีที่ตลอดระยะเวลาที่เราทำงานมาเราได้เจอกับคนดีๆ หัวหน้าดีๆ ทำให้เรามีโอกาสในการแสดงฝีมือจนเป็นที่ยอมรับในชีวิตการทำงานมาตลอด แม้ว่าจะไม่ได้ย้ายงานบ่อยๆคล้ายกับเพื่อนๆในรุ่นเดียวกันเพื่อให้ได้เงินเดือนมากๆตามต้องการแต่ในทุกๆที่ที่เราทำงานแทบจะพูดได้ว่าในทุกปีเราได้รับการโปรโมท (เลื่อนขั้น) อยู่เสมอค่ะ
เราชอบชีวิตในบ้านของเราที่เราโฟกัสเฉพาะชีวิตการทำงานของตัวเองเท่านั้น มีดูแลคุณแม่บ้างประปรายแต่การดูแลบ้านนั้นคุณแม่และแม่บ้านจัดการให้เราทั้งหมดตั้งแต่เล็กค่ะซึ่งมันต่างจากเวลาที่เราอยู่กับแฟนอย่างสิ้นเชิง
แฟนเราบอกแต่แรกแล้วค่ะว่าประเทศเขาต้องเป็นคนรวยจริงๆเท่านั้นถึงจะมีแม่บ้าน แม้แต่พ่อกับแม่ของเขาที่ถือว่าพอมีเงินยังไม่ได้คิดจะจ้างแม่บ้านกันเลย
ทำให้ตลอดเวลาที่เราไปใช้ชีวิตกันกับเขาเรากับแฟนต้องช่วยกันทำงานบ้านค่ะ ซึ่งมันทรมานเราจริงๆ
งานครัวไม่ต้องพูดถึงค่ะเราไม่เคยทำแล้วคุณแม่ก็ไม่อยากให้เราทำด้วยค่ะโดนไล่ออกมาตลอด เพราะงั้นตลอดชีวิตของเราถ้าไม่ใช่ คุณแม่ แม่บ้าน เราก็จะใช้บริการเดลิเวอรี่เพื่อสั่งอาหารค่ะ แต่พอมาอยู่กับแฟนโชคดีว่าแฟนเราทำ แต่เราก็ดันต้องมาล้างอยู่ดีค่ะ
เรารู้สึกแย่มากกกกกกกกก จริงๆค่ะ เราไม่ชอบล้างจานค่ะ ไม่ชอบล้างหม้อแล้วก็ไม่ชอบล้างกระทะที่มันมีน้ำมัน แม้ที่บ้านเขาจะมีเครื่องล้างจานแต่เราก็ไม่ชอบการกวาดเศษอาหารค่ะเราไม่ชอบมันจริงๆ ซักผ้าเราก็ไม่ชอบค่ะแม่บ้านเราซักให้ตลอด ถ้าชุดไหนแพงๆหน่อยแม่บ้านก็จะไปส่งที่ร้านซักรีดให้หอมฉุยกลับมารตลอดค่ะ
เราไม่รู้ด้วยว่าต่อให้เราคิดว่าตัวเองเก่งเราจะสามารถหางานในแบบเดิมที่ทำในไทยที่อเมริกาได้หรือเปล่าเพราะเพื่อนเราเกือบครึ่งนึงที่ไปเรียนต่อที่ US ก็หอบกระเป๋ากลับไทยกันหลังอยู่จนสุดวีซ่าเพราะหางานไม่ได้กันเกือบทุกคนเลย
ต่อให้หางานเราก็เครียดอยู่ดีค่ะเพราะต่อให้ได้เงินเดือนเยอะขึ้นค่าครองชีพก็สูงขึ้นตามไปด้วยแน่ๆ
เราอยู่ไทยเราอาจจะไม่ได้เงินเดือนเยอะเท่าอยู่โน่นค่ะแต่เราคิดว่าสำหรับคนไม่มีภาระแบบเรานอกจากจะต้องจ่ายภาษีแล้วเงินเดือนทั้งหมดเราใช้เองและเก็บเองคนเดียวแบบไม่ต้องจ่ายค่าบ้านค่ารถค่ะ ซึ่งต่างจากการไปอยู่กับแฟนแน่ๆ
ช่วงนี้เรากับแฟนเลยแอบค่อนข้างตึงต่อกันนิดหน่อยน่ะค่ะ
ลูกน้องในทีมของแฟนพึ่งแต่งงานกับสาวไทยไปไม่นานมานี้ยิ่ง trigger แฟนเราค่ะว่าทำไมแฟนของลูกน้องเขาถึงสามารถแต่งงานแล้วย้ายมาอยู่ด้วยกันที่นี่มีลูกมีครอบครัวภรรยาจะเป็นแม่บ้านส่วนสามีจะออกไปทำงานค่ะ
แฟนเราก็คิดว่าเขายอมหาเลี้ยงครอบครัวให้เราได้ตลอดไป ส่วนเราก็ดูแลที่บ้านกับลูกๆ (ถ้ามี) ซึ่งเราก็ยืนยันว่าไม่ได้โดย เพราะเราทำใจเป็นแม่บ้านไม่ได้จริงๆ เรานับถือคนที่เป็นแม่บ้านให้สามีนะคะ นับถือหัวใจในความเสียสละจริงๆ แต่เราทำไม่ได้ค่ะ
เราได้ทุนไปเรียนปริญญาโทด้วยน้ำพักน้ำแรงอ่านหนังสือเลือดตาแทบกระเด็นเราคงเป็นแม่บ้านให้ใครไม่ได้จริงๆค่ะ เราต้องรู้สึกไม่มีค่ามากแน่ๆถ้าเราที่ตั้งใจเรียนและเป็นเด็กเรียนเก่งมาตลอดจะต้องไม่ได้ใช้ความรู้สึกที่สู้อุตส่าเรียนมาน่ะค่ะ
เราเลยไม่รู้ว่าจะยังไงกับแฟนต่อดีค่ะ
เรารักเขามากนะคะ แล้วเราก็รู้ว่าเขาก็รักเรามาก
เราไม่ได้เป็นคนมีแฟนมาเยอะค่ะ เราเจอเขารักเขาแล้วก็อยากจะจริงจังกันกับเขา
แต่พวกเรามองไม่เห็นหนทางจริงๆค่ะ หากใครพอมีคำแนะนำหรือวิธีการเริ่มต้นหางานอย่างจริงจังที่โน่นได้แนะนำเราทีนะคะ
หรือถ้าใครพอมีวิธีทำใจหรือปลอบใจเราก็แนะนำเราได้เช่นกันค่ะ
///// ตรงนี้มาขอเพิ่มเติมนะคะหลังจากที่ได้รับมาหลายๆความเห็นแล้ว
ข้อแรกคือที่บอกว่าเราไม่ได้รักแฟนเรา อันนี้ขอยืนยันว่าไม่จริงค่ะ
เรารักแฟนเรา
แฟนเราเป็นคนดี เขาทุ่มเทกับความรักครั้งนี้ และที่บ้านเขาก็รักและเอ็นดูเรามาก
เราเจอเพื่อนๆและสังคมของเขาแล้วหลังจากบินไปมาหาสู่กันหลายครั้ง
แฟนเราบินมาไทยหลายรอบมากๆ เพื่อใช้เวลาอยู่กับเราค่ะดังนั้นถ้าจะบอกว่าให้เราเชิดแค่ทิ้งแฟนเราไปและแยกย้าย มันเป็นการตัดสินใจที่ยากค่ะเราถึงต้องมาถามในนี้
ส่วนเรื่องที่เขาขอให้เราเป็นแม่บ้านนั่นก็เป็นเพราะเขาอยากจะ offer และหาทางให้พวกเราอยู่ด้วยกันให้ไวที่สุดค่ะ
แต่ตัวเราไม่ยอมอยู่แล้ว
ข้อสองคือที่มาแขวะเราเรื่องลูกคุณหนูไม่ทำงานบ้านอันนี้ก็ไม่ว่ากันเช่นกันค่ะ
เราเข้าใจว่าสังคมไทยคาดหวังอะไรกับเพศหญิงและหลายๆคนก็เติบโตมาแบบนั้นซึ่งนั่นก็เข้าใจได้อีกเช่นเคยค่ะ
แต่ก็อย่างที่บอกว่าเราโตมาแบบนี้และสังคมรอบข้างเราก็เป็นแบบนี้
คุณอย่าตัดสินว่าอุ๊ย ลูกบ้านนั้นไปเรียนเมืองนอกยังทำเองได้บลาๆ
เราทราบค่ะว่าเวลาไปเรียนต่างประเทศต้องทำเอง
แต่กรุณาแยกให้ออกระหว่างการใช้ life skill ดูแลตัวเองในระยะสั้นปีสองปีกับการต้องทำสิ่งนี้ไปตลอดชีวิตมันต่างกันอย่างไร
ใครจะใคร่บอกว่าผู้หญิงต้องทำงานบ้านสิไม่ทำแล้วจะมีอะไรไปสอนลูกก็แล้วแต่ดุลยพินิจค่ะ แต่ละบ้านเลี้ยงมาไม่เหมือนกัน
พ่อแม่เราเขาให้อยากให้เราโฟกัสกับการเรียนและหน้าที่การงานของเราเขาก็เลยเลือกที่จะดูแลเราแบบนี้
บ้านเราไม่ได้รวยเวอร์วังค่ะเกริ่นแต่แรกแล้วว่าพ่อแม่รับราชการ ไม่มีคนรับราชการที่ไหนเป็นคนรวยหรอกค่ะ
ข้อสามคือเราไม่เคยเคลมว่าตัวเองเป็น elite ค่ะ เพื่อนๆในสังคมเราก็ไม่ได้ชอบคำนี้ด้วยเพราะมันดูตลกค่ะ
เราไม่ได้เป็น elite ที่บ้านเราไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง มีเพียงวิชาความรู้เท่านั้นที่พ่อแม่จะมอบเป็นมรดกให้เราได้
เราจบตรีและโทในไทยตามปกติมีแผนไปเรียนต่างประเทศเพื่อหวังจะเพิ่มความก้าวหน้าให้ตัวเองค่ะ
ดังนั้นแล้วไม่ต้องพยายามจะบอกว่าเราเป็นลูกคุณหนูงั้นงี้
จริงๆสุดท้ายต้องบอกว่าการอำนวยความสะดวกให้ลูกแบบที่พ่อแม่เราทำเนี่ยไม่ใช่ว่าต้องการมาเป็นลูกเจ้าสัวเท่านั้นถึงจะทำได้ค่ะ แค่มีลูกเมื่อพร้อมก็ทำได้แล้ว ดังนั้นอย่ามาเหน็บแนมที่บ้านเราดีกว่าค่ะ เพราะเราและพี่สาวขอบคุณที่พ่อแม่เลี้ยงเรามาแบบนี้ ขอบคุณที่ทำให้เราสบายแบบนี้ค่ะ
แต่ไอ้เรื่องที่เรากล้าๆกลัวๆไม่กล้าทิ้งโอกาสชีวิตตัวเองก็ตอบไปเยอะแล้วเช่นกันค่ะว่าแม้แต่ดาราที่สวยที่สุดและคิดว่าในวันที่เขารักใครสักคนเขาก็รักคนที่เขาคิดว่าฝากชีวิตได้ เขาก็ยังเจอกับปัญหาครอบครัวจนต้องแตกหักกันมาเยอะแล้ว
ดังนั้นใครใคร่จะฝากชีวิตไว้กับเพศชาย ใช้คำว่ารักนำทางก็สุดแท้แต่ที่จะทำค่ะไม่ว่ากัน
แต่จะบอกให้เราทำแบบนั้นเราคงทำไม่ได้ค่ะ ถึงได้มาขอคำแนะนำในวันนี้