หลักจากผลประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศออกมาก ก็เป็นไปตามคาดจากหลายสำนักข่าว ที่ฟันธงว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้กลับมาครองตำแหน่ง นอกจากนี้การกลับมาของทรัมป์ ก็ส่งผลกระทบต่อค่าเงินทั่วโลกไม่น้อย
เร็ว ๆ นี้ ก็มีอีกข่าวหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั้นก็คือ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ได้ขยายเวลาการซื้อขายหุ้น ออกไปเป็น 22 ชั่วโมงต่อวัน และตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (TSE) ก็ได้ประกาศว่าจะขยายเวลาการซื้อขาย ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน โดยเพิ่มระยะเวลาการซื้อขายเป็น 5.5 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี นับตั้งแต่ปี 1954 ที่มีการขยายเวลาซื้อขาย
การขยายเวลาของทั้ง 2 ตลาดนี้ ดูเหมือนจะส่งสัญญาณว่า แนวโน้มการการซื้อขายหุ้นทั่วโลกอาจกลายเป็นเทรนด์ใหม่
แล้วการขยายเวลาซื้อขายออกไปนี้ มีอะไรที่ต้องระวังบ้าง :
1. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะขยายเวลาการซื้อขายอย่างไร?
ตามประกาศของ NYSE ระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะขยายเวลาการซื้อขายออกไป โดยเริ่มตั้งแต่ 1:30 น. ถึง 23:30 น. ตามเวลาสหรัฐฯ
และจะครอบคลุมช่วงก่อนตลาดเปิด (Pre-market) และหลังตลาดปิด (After-hours) ในส่วนเวลาซื้อขายปกติในตลาดหลัก (9:30 - 16:00 น.) จะยังคงเหมือนเดิม
สรุปง่ายๆ คือ เวลาซื้อขายจะเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนและหลังการเปิดตลาดปกติเท่านั้น โดยช่วงที่ตลาดเปิดปกติจะยังคงเป็น 6 ชั่วโมงครึ่ง (9:30 - 16:00 น.) ส่วนเวลาที่เหลือ 15 ชั่วโมงครึ่ง จะเป็นช่วงที่ตลาดปิด และการซื้อขายจะดำเนินการผ่านระบบ ECN (Electronic Communication Networks) แทน
การซื้อขายในช่วงนี้อาจพบกับปัญหาต่างๆ เช่น ความผันผวนของราคาที่มากกว่าปกติและสภาพคล่องที่ต่ำ ดังนั้น นักลงทุนควรระมัดระวังและพิจารณาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขายในช่วงเวลาดังกล่าว
2. ความสามารถของโบรกเกอร์ Forex
2.1 สภาพคล่อง
หนึ่งในปัญหาสำคัญที่พบในการซื้อขายในช่วงก่อนตลาดเปิด และหลังตลาดปิด คือสภาพคล่องที่ต่ำ โดยในช่วงเวลานี้ ปริมาณการซื้อขายมักไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้การซื้อขายดำเนินไปได้ไม่ตามที่ต้องการ ดังนั้น การเลือกใช้แพลตฟอร์มโบรกเกอร์ที่มีสภาพคล่องดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น
เช่น โบรกเกอร์ EBC ที่เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการสภาพคล่องระดับโลกกว่า 36 ราย เช่น JPMorgan, UBS, Goldman Sachs และ Citibank แม้ในช่วงที่สภาพคล่องต่ำก็ยังสามารถเสนอราคาที่ดีได้
ข้อควรระวังเพิ่มเติมเกี่ยวกับช่วงก่อนและหลังตลาดเปิดคือ มักมีเพียงหุ้นขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูงที่มีการซื้อขาย ส่วนหุ้นขนาดเล็กมักจะมีปริมาณการซื้อขายน้อย ดังนั้น การเลือกโอกาสในการลงทุนอาจถูกจำกัด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสภาพคล่องต่ำ การลงทุนในดัชนีหุ้นจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เนื่องจากดัชนีหุ้นสะท้อนแนวโน้มของตลาดโดยรวมและเคลื่อนไหวสอดคล้องกับหุ้นหลัก โดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะ
2.2 ความผันผวน
การซื้อขายในช่วงก่อนตลาดเปิด และหลังตลาดปิด มักไม่รวมอยู่ในปริมาณการซื้อขายหลักของวัน ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวของราคามีข้อจำกัดน้อยลง ด้วยสภาพคล่องที่ต่ำ โอกาสเกิดช่องว่างของราคา (price gap) จึงมีความเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวสำคัญเกิดขึ้นในช่วงนี้ ราคามักมีความผันผวนชัดเจนยิ่งขึ้น
ดังนั้น การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่สามารถดำเนินการคำสั่งได้อย่างรวดเร็วถือว่าสำคัญมาก เพราะหากมีการดำเนินการช้า คำสั่งซื้อขายอาจไม่ทันราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิด Slippage เช่น การหยุดขาดทุน (Stop Loss) ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
2.3 ผลกระทบในช่วงการซื้อขายเวลาปกติ
การซื้อขายก่อนและหลังตลาดเปิด ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และเปิดโอกาสในการทำการซื้อขายในช่วงเวลาที่มีการประกาศข้อมูลสำคัญ เช่น งบการเงินของบริษัท ซึ่งการตอบสนองของตลาดในช่วงนี้สามารถเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่ส่งผลต่อการซื้อขายในช่วงเวลาปกติได้
ยกตัวอย่าง เช่น หากข้อมูลการเปิดคำสั่งซื้อขายในช่วงก่อนตลาดเปิด แสดงถึงแรงต้านของดัชนี ในกรณีที่มีข่าวดีแต่กลับมีคำสั่งขายมาก อาจแสดงว่าแรงซื้อต่างถูกดูดซับไปแล้ว ส่งผลให้ราคาอาจคงที่หรือลดลงในช่วงตลาดเปิด การใช้ข้อมูลนี้สามารถช่วยให้เราวางแผนกลยุทธ์ปรับลดตำแหน่งได้ในเวลาที่เหมาะสม
สรุปแล้ว การขยายเวลาซื้อขายของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ผู้ลงทุนควรระมัดระวังเรื่องสภาพคล่องและความผันผวน การเลือกโบรกเกอร์ที่มีคุณภาพจะช่วยลดความเสี่ยงได้ นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของตลาดในช่วงก่อนและหลังเปิดตลาดปกติยังอาจมีผลต่อทิศทางการซื้อขายในช่วงปกติอีกด้วย
ขยายเวลาการซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
เร็ว ๆ นี้ ก็มีอีกข่าวหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั้นก็คือ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ได้ขยายเวลาการซื้อขายหุ้น ออกไปเป็น 22 ชั่วโมงต่อวัน และตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (TSE) ก็ได้ประกาศว่าจะขยายเวลาการซื้อขาย ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน โดยเพิ่มระยะเวลาการซื้อขายเป็น 5.5 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี นับตั้งแต่ปี 1954 ที่มีการขยายเวลาซื้อขาย
แล้วการขยายเวลาซื้อขายออกไปนี้ มีอะไรที่ต้องระวังบ้าง :
1. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะขยายเวลาการซื้อขายอย่างไร?
ตามประกาศของ NYSE ระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะขยายเวลาการซื้อขายออกไป โดยเริ่มตั้งแต่ 1:30 น. ถึง 23:30 น. ตามเวลาสหรัฐฯ
และจะครอบคลุมช่วงก่อนตลาดเปิด (Pre-market) และหลังตลาดปิด (After-hours) ในส่วนเวลาซื้อขายปกติในตลาดหลัก (9:30 - 16:00 น.) จะยังคงเหมือนเดิม
สรุปง่ายๆ คือ เวลาซื้อขายจะเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนและหลังการเปิดตลาดปกติเท่านั้น โดยช่วงที่ตลาดเปิดปกติจะยังคงเป็น 6 ชั่วโมงครึ่ง (9:30 - 16:00 น.) ส่วนเวลาที่เหลือ 15 ชั่วโมงครึ่ง จะเป็นช่วงที่ตลาดปิด และการซื้อขายจะดำเนินการผ่านระบบ ECN (Electronic Communication Networks) แทน
การซื้อขายในช่วงนี้อาจพบกับปัญหาต่างๆ เช่น ความผันผวนของราคาที่มากกว่าปกติและสภาพคล่องที่ต่ำ ดังนั้น นักลงทุนควรระมัดระวังและพิจารณาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขายในช่วงเวลาดังกล่าว
2. ความสามารถของโบรกเกอร์ Forex
2.1 สภาพคล่อง
หนึ่งในปัญหาสำคัญที่พบในการซื้อขายในช่วงก่อนตลาดเปิด และหลังตลาดปิด คือสภาพคล่องที่ต่ำ โดยในช่วงเวลานี้ ปริมาณการซื้อขายมักไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้การซื้อขายดำเนินไปได้ไม่ตามที่ต้องการ ดังนั้น การเลือกใช้แพลตฟอร์มโบรกเกอร์ที่มีสภาพคล่องดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น
เช่น โบรกเกอร์ EBC ที่เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการสภาพคล่องระดับโลกกว่า 36 ราย เช่น JPMorgan, UBS, Goldman Sachs และ Citibank แม้ในช่วงที่สภาพคล่องต่ำก็ยังสามารถเสนอราคาที่ดีได้
ข้อควรระวังเพิ่มเติมเกี่ยวกับช่วงก่อนและหลังตลาดเปิดคือ มักมีเพียงหุ้นขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูงที่มีการซื้อขาย ส่วนหุ้นขนาดเล็กมักจะมีปริมาณการซื้อขายน้อย ดังนั้น การเลือกโอกาสในการลงทุนอาจถูกจำกัด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสภาพคล่องต่ำ การลงทุนในดัชนีหุ้นจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เนื่องจากดัชนีหุ้นสะท้อนแนวโน้มของตลาดโดยรวมและเคลื่อนไหวสอดคล้องกับหุ้นหลัก โดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะ
2.2 ความผันผวน
การซื้อขายในช่วงก่อนตลาดเปิด และหลังตลาดปิด มักไม่รวมอยู่ในปริมาณการซื้อขายหลักของวัน ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวของราคามีข้อจำกัดน้อยลง ด้วยสภาพคล่องที่ต่ำ โอกาสเกิดช่องว่างของราคา (price gap) จึงมีความเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวสำคัญเกิดขึ้นในช่วงนี้ ราคามักมีความผันผวนชัดเจนยิ่งขึ้น
ดังนั้น การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่สามารถดำเนินการคำสั่งได้อย่างรวดเร็วถือว่าสำคัญมาก เพราะหากมีการดำเนินการช้า คำสั่งซื้อขายอาจไม่ทันราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิด Slippage เช่น การหยุดขาดทุน (Stop Loss) ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
2.3 ผลกระทบในช่วงการซื้อขายเวลาปกติ
การซื้อขายก่อนและหลังตลาดเปิด ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และเปิดโอกาสในการทำการซื้อขายในช่วงเวลาที่มีการประกาศข้อมูลสำคัญ เช่น งบการเงินของบริษัท ซึ่งการตอบสนองของตลาดในช่วงนี้สามารถเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่ส่งผลต่อการซื้อขายในช่วงเวลาปกติได้
ยกตัวอย่าง เช่น หากข้อมูลการเปิดคำสั่งซื้อขายในช่วงก่อนตลาดเปิด แสดงถึงแรงต้านของดัชนี ในกรณีที่มีข่าวดีแต่กลับมีคำสั่งขายมาก อาจแสดงว่าแรงซื้อต่างถูกดูดซับไปแล้ว ส่งผลให้ราคาอาจคงที่หรือลดลงในช่วงตลาดเปิด การใช้ข้อมูลนี้สามารถช่วยให้เราวางแผนกลยุทธ์ปรับลดตำแหน่งได้ในเวลาที่เหมาะสม
สรุปแล้ว การขยายเวลาซื้อขายของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ผู้ลงทุนควรระมัดระวังเรื่องสภาพคล่องและความผันผวน การเลือกโบรกเกอร์ที่มีคุณภาพจะช่วยลดความเสี่ยงได้ นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของตลาดในช่วงก่อนและหลังเปิดตลาดปกติยังอาจมีผลต่อทิศทางการซื้อขายในช่วงปกติอีกด้วย