JJNY : ค้านรัฐแทรกแซง'การบินไทย'│"เท้ง"ถามรบ.หากเจรจา OCA จบ│สส.ปชน.ค้านชงท่าเรือทำกาสิโน│อินโดอพยพชาวบ้านหนีภูเขาไฟปะทุ

'กก.เจ้าหนี้'ค้านรัฐแทรกแซง'การบินไทย' เสนอโหวตล้มเพิ่ม'ผู้บริหารแผน'จาก'คลัง' 2 ราย
https://www.isranews.org/article/isranews-news/133119-TG-Submit-complaint-Business-rehabilitation-plan-Issue-3-news.html
 
 
‘การบินไทย’ ยื่นคำร้องขอแก้ไขแผนฟื้นฟูฯ ขอเพิ่ม‘ผู้บริหารแผน’ จากฝั่ง ‘ก.คลัง’ อีก 2 ราย ชี้จำเป็นต้องมี ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ที่เชื่อมโยงกับ ‘ผู้ถือหุ้น’ หลังออกจากการฟื้นฟูฯมาร่วมตัดสินใจ ขณะที่ ‘กรรมการเจ้าหนี้’ ร่อนหนังสือคัดค้านรัฐแทรกแซงบริษัทเอกชน-เอาเปรียบ
เจ้าหนี้ เสนอที่ประชุมเจ้าหนี้โหวตล้มเพิ่ม 'ผู้บริหารแผน' จับตาจัดซื้อ ‘เครื่องบินใหม่’
 ................................
 
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา บมจ.การบินไทย โดยนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ ,นายพรชัย ฐีระเวช และนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ในฐานะผู้บริหารแผนของ บมจ.การบินไทย ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย (ฉบับที่) 3 ต่อกองฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ (กรมบังคับคดี) โดยคำร้องฯดังกล่าว ผู้บริหารแผนฯได้ขอเพิ่มผู้บริหารแผนอีก 2 ราย ได้แก่ นายปัญญา ชูพานิช และนายพลจักร นิ่มวัฒนา
 
ข้อ 2. ผู้บริหารแผนยื่นคำร้องฉบับนี้เพื่อเสนอขอแก้ไขแผนตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 90/63 ในอีกเรื่องอีกประเด็น ซึ่งเป็นเรื่องที่แยกต่างหาก และไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องกับคำร้องขอแก้ไขแผน ฉบับที่ 1 และคำร้องขอแก้ไขแผน ฉบับที่ 2 โดยมีที่มาสืบเนื่องจากการที่ผู้บริหารแผน ได้รับหนังสือจากกระทรวงการคลังแจ้งว่า ด้วยการบินไทยอยู่ระหว่างกระบวนการแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการ
 
ประกอบกับภายได้แผนฟื้นฟูกิจการฉบับที่ศาลเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 กำหนดให้มีผู้บริหารแผนจำนวน 5 ราย ซึ่งการดำเนินงานปัจจุบันคงเหลือผู้บริหารแผน จำนวน 3 ราย ขณะที่ในช่วงระยะเวลาที่เหลือ ก่อนออกจากการฟื้นฟูกิจการ การบินไทยจะต้องตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญและมีผลผูกพันถึงการดำเนินงานต่างๆ ในอนาคต
 
โดยการตัดสินใจที่สำคัญดังกล่าว การบินไทยจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถเชื่อมโยงกับผู้ถือหุ้นของการบินไทย ภายหลังการออกจากการฟื้นฟูกิจการมาร่วมตัดสินใจ และสามารถสนับสนุนการฟื้นฟูกิจการตลอดจนประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งผู้ถือหุ้นของการบินไทย เพื่อให้การบริหารแผนฟื้นฟูกิจการและการออกจากการฟื้นฟูกิจการของการบินไทยเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด
กระทรวงการคลังจึงเห็นสมควรเสนอรายชื่อผู้บริหารแผน ซึ่งได้รับความเห็นขอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมเป็นคณะผู้บริหารแผนของการบินไทยเพิ่มเติม ซึ่งได้แก่

1.นายปัญญา ชูพานิช ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม
2.นายพลจักร นิ่มวัฒนา ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบาย รัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง…

ข้อ 3. ผู้บริหารแผนขอเรียนว่า จากข้อเสนอของกระทรวงการคลังในฐานะเจ้าหนี้และในฐานะที่จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหลักของการบินไทย ผู้บริหารแผนเห็นสมควรเสนอให้มีผู้บริหารแผนที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานภาครัฐเพิ่มเติมตามที่กระทรวงการคลังได้เสนอ ดังนั้น ผู้บริหารแผนจึงขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการในเรื่องผู้บริหารแผนดังต่อไปนี้
 
3.1) ขอยกเลิกข้อความเดิมใน ข้อ 10.3 วรรคแรก และใช้ข้อความใหม่ดังต่อไปนี้แทนข้อความเดิม....
แผนกำหนดให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายพรชัย ธีระเวช นายชาญศิลป์ ตรีนชกร นายปัญญา ชูพานิช และนายพลจักร นิ่มวัฒนา เป็นผู้บริหารแผน ทั้งนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับชื่อและคุณสมบัติของผู้บริหารแผนและหนังสือยินยอมเป็นผู้บริหารแผนได้แสดงรายละเอียดไว้ในเอกสารแนบ 8 และ 8/1 โดยในการลงนามในเอกสารใดๆ เพื่อทำธุรกรรมหรือเพื่อให้มีผลผูกพันการบินไทย ให้ผู้บริหารแผน 2.คน มีอำนาจลงนามร่วมกันเพื่อผูกพันการบินไทย
 
และให้ข้อความส่วนอื่น ๆ ในข้อ 10.3 เป็นไปตามเดิม
 
3.2) ขอเพิ่มเติมเอกสารแนบ 8/1 ต่อท้ายเอกสารแนบ 8 กล่าวคือ ชื่อและคุณสมบัติของผู้บริหารแผนและหนังสือยินยอมการเป็นผู้บริหารแผน (ปรับปรุงตามข้อเสนอขอแก้ไขแผนของผู้บริหารแผน) รายละเอียดปรากฏ ตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 2.
 
ทั้งนี้ เนื่องจากประเด็นการแก้ไขแผนตามคำร้องฉบับนี้ เป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกับคำร้องขอแก้ไขแผน ฉบับที่ 1 และคำร้องขอแก้ไขแผนฉบับที่ 2 ดังนั้น เพื่อความสะดวกในการพิจารณาข้อเสนอขอแก้ไขแผนของผู้บริหารแผน ผู้บริหารแผน ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสนอคำร้องขอแก้ไขแผนฉบับนี้ต่อที่ประชุมเจ้าหนี้พิจารณา และลงมติแยกต่างหากจากคำร้องขอแก้ไขแผน ฉบับที่ 1 และคำร้องขอแก้ไขแผนฉบับที่ 2
 
โดยให้คำร้องขอแก้ไขแผนฉบับนี้เป็น “คำร้องขอแก้ไขแผน ฉบับที่ 3”...ขอเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้โปรดอนุญาต” คำร้องขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย (ฉบับที่ 3) คดีหมายเลขดำที่ ฟฟ 10/2563 คดีหมายเลขแดงที่ ฟฟ 20/2563 ซึ่งผู้บริหารแผน ยื่นต่อกองฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ (กรมบังคับคดี) ลงวันที่ 4 พ.ย.2567
 
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2567 นายธีรลักษ์ แสงสนิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ทำหนังสือถึงนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย โดยเสนอรายชื่อบุคคลเข้าร่วมเป็นคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของ บมจ.การบินไทย เพิ่มเติม 2 ราย ได้แก่ 1.นายปัญญา ชูพานิช และ 2.นายพลจักร นิ่มวัฒนา
 
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า การยื่นคำร้องฯ ขอเพิ่มผู้บริหารแผนอีก 2 คน ซึ่งมาจากกระทรวงการคลังดังกล่าว ปรากฏว่ามีเสียงคัดค้านจาก ผศ.ดร.ประชา คุณธรรมดี ในฐานะกรรมการเจ้าหนี้ บมจ.การบินไทย เนื่องจากเห็นว่าเป็นการผูกขาดอำนาจการบริหารแผนฟื้นฟูในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ โดยผู้บริหารแผนฯมีอำนาจสำคัญในการคัดเลือกกรรมการบริษัท และกำหนดชะตากรรม/อนาคตของบริษัท โดยเฉพาะเรื่องการบริหารฝูงบินและการจัดซื้อเครื่องบินเพิ่มเติม และเห็นว่าที่ประชุมเจ้าหนี้ฯ ครั้งที่ 7/2567 ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 8 พ.ย.2567 จะไม่ยอมรับการเพิ่มจำนวนผู้บริหารแผนฯ
 
“ในการนี้ ข้าฯ ในฐานะกรรมการเจ้าหนี้ ซึ่งมีหน้าที่สอดส่องดูแลประโยชน์แห่งเจ้าหนี้นั้น ขอบันทึกความเห็นและให้ไว้ประกอบการประชุมคณะกรรมการเจ้าหนี้ครั้งที่ 7/2567 ดังนี้
 
ข้าฯ ไม่เห็นว่า การเพิ่มจำนวนผู้แทนจากกระทรวงการคลังเพื่อมาเป็นคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จะยังประโยชน์แก่เจ้าหนี้ จะยังประโยชน์แก่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และยังประโยชน์แก่สาธารณะแต่อย่างใด ข้าฯ เห็นว่า การเพิ่มจำนวนผู้แทนดังกล่าวมาเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการในช่วงที่การบริหารจัดการต่างๆ มีความลงตัว และคืบหน้าไปมากแล้ว เป็นการเพิ่มต้นทุนให้แก่บริษัท เจ้าหนี้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หากต้องการให้เติบโตอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมีคณะกรรมการบริษัทชุดแรกที่ทรงไว้ซึ่งธรรมาภิบาลและไม่ถูกแทรกแซงจากภาครัฐ
 
การเพิ่มจำนวนผู้แทนกระทรวงการคลังจำนวน 2 คนนั้น เป็นการผูกขาดอำนาจการบริหารแผนฟื้นฟูในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ผู้บริหารแผนฯ มีอำนาจสำคัญในการคัดเลือกคณะกรรมการมการบริษัท และกำหนดชะตากรรม/อนาคตของบริษัท โดยเฉพาะเรื่องการบริหารฝูงบิน และจัดซื้อเครื่องบินเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ของบริษัทและเจ้าหนี้ ภาครัฐที่มีธรรมาภิบาลอย่างดี จึงไม่สมควรเข้ามาแทรกแซงบริษัทเอกชน และไม่ควรเอาเปรียบเจ้าหนี้ทั้งปวงเยี่ยงนี้
ข้าฯ เห็นว่า ที่ประชุมเจ้าหนี้ จะไม่ยอมรับการเพิ่มจำนวนผู้บริหารแผนฯ ดังนั้น เพื่อประโยชน์แห่งเจ้าหนี้ เพื่อประโยชน์ของ

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และเพื่อประโยชน์สาธารณะ ข้าฯ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประชา คุณธรรมดี ขอบันทึกความเห็นว่า “ไม่เห็นด้วย” ต่อข้อเสนอของกระทรวงการคลังดังกล่าว จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและดำเนินการตามสิทธิของข้าพเจ้าด้วย” จดหมายเปิดผนึกของ ผศ.ดร.ประชา คุณธรรมดี ในฐานะกรรมการเจ้าหนี้ ลงวันที่ 4 พ.ย.2567 ระบุ



"เท้ง" ยันเกาะกูดเป็นของไทย ถามรัฐบาลหากเจรจา OCA จบ จะเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมหรือไม่
https://ch3plus.com/news/political/morning/423499

5 พ.ย. 2567 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีข้อพิพาทเกาะกูด กับราชอาณาจักรกัมพูชา ในหัวข้อ ปกป้องผลประโยชน์ชาติ กรณีไทย-กัมพูชา ประเด็นแท้จริงอยู่ที่ "สัมปทาน" ว่า กรณีพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน หรือ OCA ระหว่างไทยกับกัมพูชา ขนาด 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสังคมขณะนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ เพราะเกี่ยวพันอย่างมีนัยสำคัญถึงความพยายามในการนำทรัพยากรปิโตรเลียมจากอ่าวไทย ขึ้นมาใช้ประโยชน์ เป็นสมบัติชาติที่มีมูลค่ามหาศาล และรัฐบาลไทยได้พยายามดำเนินการเรื่องนี้มาไม่ต่ำกว่า 20 ปี แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
 
"ผมอยากชี้ชวนพี่น้องประชาชน ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ ว่ามีมากกว่าเรื่องเกาะกูด และการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาที่เป็นที่สนใจกันอยู่ เราเสี่ยงที่จะเสียอธิปไตยเหนือเกาะกูด จากการเจรจา OCA และการพยายามเดินหน้าโครงการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA หรือไม่?"

ประเด็นนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ยืนยันชัดเจนแล้วว่าไทยไม่เคยลงนามใดๆ ที่มีผลผูกพันยอมรับเส้นแบ่งเขตแดนที่กัมพูชาอ้างสิทธิเหนือเกาะกูด และ MOU ปี 2544 อันเป็นการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชา อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน เป็นเพียงความตกลงกำหนดกรอบและกลไกการเจรจาระหว่างกัน และ "รับทราบ" การลากเส้นอาณาเขตทางทะเลของแต่ละฝ่าย ไทยรับทราบจุดยืนกัมพูชา กัมพูชารับทราบจุดยืนของไทย ว่ามีความแตกต่างกัน ไม่ใช่การที่ไทย "ยอมรับ" เส้นอาณาเขตทางทะเลที่กัมพูชา อ้างสิทธิ์แต่อย่างใด

ดังนั้น จึงเป็นที่ชัดเจนแล้วทั้งในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติว่าเกาะกูดเป็นของไทย และกัมพูชาก็ไม่เคยอ้างหรือมีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนของเกาะกูดแต่อย่างใด ดังนั้นเกาะกูดไม่มีทางจะเป็นของชาติอื่นแน่นอน

"แต่เรื่องน่ากังวลที่ยังไม่ได้พูดถึงกันมากนัก ก็คือการจัดการผลประโยชน์เหนือแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA อันถือเป็นสมบัติชาติที่มีมูลค่ามหาศาล ดังนั้น ผมข้อตั้งคำถามต่อรัฐบาล ถึงแผนการจัดการสัมปทานปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA ดังนี้"

1. หากไทยกับกัมพูชาเจรจากันเป็นผลสำเร็จ จนนำไปสู่การเปิดแหล่งปิโตรเลียมได้ สัมปทานเหนือพื้นที่ที่ไทยเคยให้แก่บริษัทต่างๆ ทั้งของไทยและต่างชาติตั้งแต่ปี 2515 แต่ถูกแช่แข็งไว้เนื่องจากยังไม่สามารถตกลงเรื่องการอ้างสิทธิทับซ้อนกันได้ จะมีการจัดการอย่างไร จะเปิดประมูลใหม่หรือไม่

2. หากมีการเปิดประมูลใหม่ รัฐบาลจะจัดการอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ไม่ละเมิดกติการะหว่างประเทศ และทำให้ประชาชนเชื่อได้ว่าความพยายามในการเจรจากับกัมพูชาหลายสิบปีที่ผ่านมาเพื่อเปิดแหล่งปิโตรเลียมนี้ เป็นไปเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติและประชาชนชาวไทย ไม่ใช่การเปิดช่องให้กลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่งเข้ามาแสวงหาความมั่งคั่งจากทรัพยากรอันเป็นของคนไทยทั้งประเทศ เหมือนกับที่ประชาชนเกิดข้อครหาต่อท่าทีและนโยบายพลังงานของรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่