800 กว่าชีวิตระส่ำ บริษัทดังปิดกิจการ เลิกจ้างพนง.ทั้งหมด หลังบ.แม่ที่ญี่ปุ่นล้มละลาย
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4878363
ห่วง!ลูกจ้างฟูไน (ไทยแลนด์) 862 ชีวิต ถูกลอยแพ หลังบริษัทแม่ล้มละลาย “พิพัฒน์” สั่งติดตามท่าทีนายจ้าง
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นาย
พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งติดตามการช่วยเหลือเยียวยาลูกจ้างบริษัท ฟูไน (ไทยแลนด์) จำกัด จ.นครราชสีมา หลังจากทราบข่าวว่าสำนักงานใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นล้มละลาย ทำให้บริษัท ฟูไน (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตเครื่องรับวิทยุ เครื่องบันทึกและทำสำเนาเสียงและภาพ ต้องปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด โดยจากการตรวจสอบพบว่าบริษัทมีลูกจ้างทั้งสิ้น 862 คน แบ่งเป็น เพศชาย 310 คน และหญิง 552 คน
โฆษกกระทรวงแรงงานกล่าวว่า สำนักงานแรงงานจังหวัดนครราชสีมารายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม บริษัทดังกล่าวได้ประกาศหยุดดำเนินกิจการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1-30 พฤศจิกายน เนื่องจากบริษัทแม่ประกาศล้มละลายต่อศาลประเทศญี่ปุ่น ส่งผลกระทบต่อการจัดซื้อวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในการผลิต โดยทางบริษัทจะจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างในอัตราร้อยละ 75 ของค่าจ้างตามมาตรา 75 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยลูกจ้างทุกคนที่ได้รับผลกระทบ และมอบหมายให้หน่วยงานของกระทรวงแรงงานลงพื้นที่เก็บข้อมูลและให้ความช่วยเหลือแก่ลูกจ้างตามกฎหมายให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งค่าจ้าง สิทธิประโยชน์ประกันสังคม และอื่นๆ
“
นายพิพัฒน์ให้ติดตามดูด้วยว่า หลังจากวันที่ 30 พฤศจิกายนไปแล้ว บริษัทจะดำเนินการอย่างไร และลูกจ้างจะมีโอกาสเช่นไรต่อไป หากมีแนวโน้มที่จะว่างงานก็ขอให้สำนักงานจัดหางานและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานในพื้นที่เร่งเข้าไปแนะนำตำแหน่งงานว่างแก่ลูกจ้าง หรือฝึกอบรมพัฒนาทักษะอาชีพ เพื่อสร้างอาชีพใหม่หรือใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ระหว่างรองาน รวมทั้งให้กระทรวงแรงงานเฝ้าติดตามสถานการณ์การเลิกจ้างทั่วประเทศ เพื่อดูแลช่วยเหลือลูกจ้างที่อาจได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงทีด้วย” นาย
ภูมิพัฒน์กล่าว
“สส.ณรงเดช” อัด รัฐบาลหละหลวม ปล่อยองุ่นไชน์มัสแคทปนเปื้อนเข้าไทย ทำผู้บริโภครับกรรม
https://www.thairath.co.th/news/politic/2823271
“ณรงเดช อุฬารกุล” ชี้องุ่นไชน์มัสแคทปนเปื้อน ซ้ำรอยหมูเถื่อน เพราะรัฐไทยหละหลวม ตรวจสินค้าเกษตรนำเข้าไม่เข้มงวด-ไม่โปร่งใส ทำผู้บริโภค-เกษตรกรไทยรับกรรม แนะตรวจเข้มทุกช่องทาง ดำเนินคดีกับผู้ลักลอบนำเข้าอย่างเด็ดขาด
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นาย
ณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นถึงกรณีที่องค์กรภาคประชาสังคมสุ่มตัวอย่างตรวจพบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในองุ่นไชน์มัสแคท (Shine Muscat) ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยระบุว่า ประเด็นนี้สะท้อนถึงปัญหาการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับกรณี “หมูเถื่อน” คือการนำเข้าสินค้าเกษตรโดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดและโปร่งใส ไม่แน่ใจว่าผ่านช่องทางใด และมีการตรวจสอบสารตกค้างหรือไม่ อีกทั้งสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่องค์กรภาคประชาสังคมตรวจพบในองุ่น คือ คลอร์ไพริฟอส ซึ่งประเทศไทยไม่อนุญาตให้ใช้แล้ว แสดงให้เห็นถึงความบกพร่องในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนนำเข้า เป็นภัยต่อผู้บริโภค และละเลยความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety)
นาย
ณรงเดช กล่าวต่อไปว่า การบังคับใช้กฎหมายที่หละหลวมเช่นนี้นำมาซึ่งปัญหาการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เพราะเกษตรกรไทยต้องผลิตสินค้าตามมาตรฐานที่เข้มงวด แต่กลับต้องแข่งขันกับสินค้าเกษตรนำเข้าที่มีต้นทุนต่ำกว่าเนื่องจากขาดการควบคุม จากปัญหานี้ คณะกรรมาธิการการเกษตรฯ จึงมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา ดังนี้
1. เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบสินค้าเกษตรนำเข้า โดยควรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าเกษตรนำเข้าที่ด่านศุลกากรให้ครอบคลุมทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ ควรเพิ่มบุคลากร เครื่องมือตรวจสอบ และการสุ่มตรวจอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการตรวจสอบสารตกค้างอย่างละเอียด ไม่ใช่แค่การตรวจเอกสารเพียงอย่างเดียว
2. ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ประกอบการที่ลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรที่ไม่ผ่านมาตรฐานอย่างเด็ดขาด เพื่อเป็นการป้องปรามและสร้างความเข้มงวดในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
3. ควรมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้การตรวจสอบและควบคุมการนำเข้าสินค้าเกษตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
4. พัฒนาระบบการตรวจสอบและติดตามสินค้าเกษตรนำเข้าให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาจใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการตรวจสอบและติดตามสินค้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
5. สร้างความตระหนักรู้ให้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับการเลือกซื้อสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและปลอดภัย เพื่อสนับสนุนเกษตรกรไทยและลดการสนับสนุนสินค้าที่มีมาตรฐานต่ำและไม่ปลอดภัย
6. เพิ่มมาตรการควบคุมการนำเข้าและการใช้สารเคมีทางการเกษตรอย่างเข้มงวดมากขึ้น เพื่อคุ้มครองทั้งเกษตรกรและผู้บริโภค
ไอเอ็มเอฟคาด ‘อาเซียน’ จะยังคงได้ประโยชน์จาก ‘จีน-สหรัฐขัดแย้งกัน’
https://www.bangkokbiznews.com/world/1151791
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ยังคงก้าวขึ้นเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐที่เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าความเสี่ยงจากโลกแบ่งขั้วจะยังคงมีอยู่
ไอเอ็มเอฟระบุ “
เวียดนามได้ประโยชน์สูงสุดทั้งส่งออกโต และการลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้า ในขณะที่ไทยส่งออกชะลอลง”
ตามรายงานของหน่วยงานของสหประชาชาติ ภูมิภาคนี้ได้รับประโยชน์จากโลกาภิวัตน์มาหลายทศวรรษ โดยสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งกับจีนและสหรัฐ ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
แม้ว่าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนจะแย่ลงในช่วง ไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่อาเซียนก็ได้ปรับตัวและยังคงบูรณาการ กับเศรษฐกิจโลกต่อไป โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศระบุในรายงาน Asia-Pacific Outlook ฉบับล่าสุด ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (1 พ.ย.)
“
แม้จะมีความตึงเครียดทาง ภูมิรัฐศาสตร์ อาเซียนยังคงเสริมสร้างความเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุนกับทั้งจีนและสหรัฐ”
ข้อมูลจากไอเอ็มเอฟแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2018 เศรษฐกิจอาเซียนมีส่วนแบ่งตลาดในสินค้าส่งออกไปจีนและสหรัฐเพิ่มขึ้น โดยที่มหาอำนาจดูดซับส่วนแบ่งมูลค่าเพิ่มของภูมิภาคมากขึ้น
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจากทั้งสองประเทศยังเพิ่มขึ้นในอาเซียนอีกด้วย “
ภูมิภาคนี้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสในการเบี่ยงเบนการค้าที่เกิดจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ได้” รายงานระบุ
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ
โดนัลด์ ทรัมป์ ได้จุดชนวนสงครามการค้ากับจีนด้วยการกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจีน หลายพันรายการในปี 2018 และ 2019 ซึ่งกระตุ้นให้ปักกิ่งตอบโต้ ขณะที่รัฐบาล
โจ ไบเดนยังคงภาษีส่วนใหญ่ไว้และยังกำหนดภาษีเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคม
ไอเอ็มเอฟกล่าวว่า จากการวิเคราะห์เชิงประจักษ์พบว่า เศรษฐกิจอาเซียนหลายแห่งมีการส่งออกสินค้ากลุ่มที่ถูกเรียกเก็บภาษีจากตอบโต้กันระหว่างจีนกับสหรัฐสูง และเติบโตเร็วกว่าการส่งออกสินค้าประเภทอื่น
นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟยังระบุด้วยว่า อาเซียนพบว่าการส่งออกสินค้าที่ถูกเรียกเก็บภาษีเหล่านี้ไปยังประเทศอื่นนอกตลาดจีนและสหรัฐ เพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าอาเซียนไม่เพียงแต่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนเส้นทางการค้าเท่านั้น แต่ยังได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดอีกด้วย และการค้าระหว่างสมาชิกของสหภาพการเมืองและเศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
โดยรวมแล้วไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า แนวโน้มเหล่านี้มีส่วนทำให้อาเซียนมีส่วนแบ่งของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การส่งออกทั่วโลกและสินค้ามูลค่าเพิ่มของโลกเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านการเงินตั้งข้อสังเกตว่า กำไรที่ได้จากภาษีศุลกากรระหว่างจีนและสหรัฐ ไม่ได้แปลว่าการส่งออกโดยรวมของสมาชิกอาเซียนทั้งหมดแข็งแกร่งขึ้น
ในขณะที่สมาชิกบางราย เช่น เวียดนาม ประสบกับการเติบโตด้านการส่งออกที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกตั้งแต่ปี 2018 แต่การเติบโตของการส่งออกในอีกหลายประเทศ เช่น ไทย กลับชะลอตัวลง หรือหยุดนิ่ง เช่น ในกรณีของฟิลิปปินส์และสิงคโปร์
ซีเอ็นบีซีเคยรายงานก่อนหน้านี้ว่าเวียดนามได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำแห่งหนึ่งสำหรับบริษัทต่างๆ ในการกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน ท่ามกลางความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซียและอินโดนีเซีย
อย่างไรก็ตามไอเอ็มเอฟเตือนว่า แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นขึ้นอาจส่งผลเสียต่อภูมิภาคในอนาคต ตัวอย่างเช่น การแยกตัวของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะลดกิจกรรมในหุ้นส่วนการค้าหลักของอาเซียน เช่น สหรัฐและจีน และอาจทำให้ความต้องการสินค้าจากภายนอกของภูมิภาคที่พึ่งพาการส่งออกเป็นอย่างมากลดลง
เมื่อวันศุกร์ไอเอ็มเอฟได้ปรับเพิ่มแนวโน้มการเติบโตในปี 2024 และ 2025 สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทั้งหมดขึ้น 0.1% จากการคาดการณ์ครั้งสุดท้ายในเดือนเมษายน โดยคาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัว 4.6 % ในปี 2024 และ 4.4% ในปี 2025
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปรับเพิ่มประมาณการ แต่ไอเอ็มเอฟยังได้เตือนด้วยว่า การเติบโตกำลังเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึง “
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของอุปสงค์ทั่วโลก และความเสี่ยงตลาดการเงินผันผวน”
JJNY : 800 กว่าชีวิตระส่ำ│อัดปล่อยองุ่นไชน์มัสแคทปนเปื้อนเข้าไทย│IMF คาด‘อาเซียน’จะยังคงได้ประโยชน์│“กองเร็ย”คร่าคนไทย
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4878363
ห่วง!ลูกจ้างฟูไน (ไทยแลนด์) 862 ชีวิต ถูกลอยแพ หลังบริษัทแม่ล้มละลาย “พิพัฒน์” สั่งติดตามท่าทีนายจ้าง
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งติดตามการช่วยเหลือเยียวยาลูกจ้างบริษัท ฟูไน (ไทยแลนด์) จำกัด จ.นครราชสีมา หลังจากทราบข่าวว่าสำนักงานใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นล้มละลาย ทำให้บริษัท ฟูไน (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตเครื่องรับวิทยุ เครื่องบันทึกและทำสำเนาเสียงและภาพ ต้องปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด โดยจากการตรวจสอบพบว่าบริษัทมีลูกจ้างทั้งสิ้น 862 คน แบ่งเป็น เพศชาย 310 คน และหญิง 552 คน
โฆษกกระทรวงแรงงานกล่าวว่า สำนักงานแรงงานจังหวัดนครราชสีมารายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม บริษัทดังกล่าวได้ประกาศหยุดดำเนินกิจการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1-30 พฤศจิกายน เนื่องจากบริษัทแม่ประกาศล้มละลายต่อศาลประเทศญี่ปุ่น ส่งผลกระทบต่อการจัดซื้อวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในการผลิต โดยทางบริษัทจะจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างในอัตราร้อยละ 75 ของค่าจ้างตามมาตรา 75 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยลูกจ้างทุกคนที่ได้รับผลกระทบ และมอบหมายให้หน่วยงานของกระทรวงแรงงานลงพื้นที่เก็บข้อมูลและให้ความช่วยเหลือแก่ลูกจ้างตามกฎหมายให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งค่าจ้าง สิทธิประโยชน์ประกันสังคม และอื่นๆ
“นายพิพัฒน์ให้ติดตามดูด้วยว่า หลังจากวันที่ 30 พฤศจิกายนไปแล้ว บริษัทจะดำเนินการอย่างไร และลูกจ้างจะมีโอกาสเช่นไรต่อไป หากมีแนวโน้มที่จะว่างงานก็ขอให้สำนักงานจัดหางานและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานในพื้นที่เร่งเข้าไปแนะนำตำแหน่งงานว่างแก่ลูกจ้าง หรือฝึกอบรมพัฒนาทักษะอาชีพ เพื่อสร้างอาชีพใหม่หรือใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ระหว่างรองาน รวมทั้งให้กระทรวงแรงงานเฝ้าติดตามสถานการณ์การเลิกจ้างทั่วประเทศ เพื่อดูแลช่วยเหลือลูกจ้างที่อาจได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงทีด้วย” นายภูมิพัฒน์กล่าว
“สส.ณรงเดช” อัด รัฐบาลหละหลวม ปล่อยองุ่นไชน์มัสแคทปนเปื้อนเข้าไทย ทำผู้บริโภครับกรรม
https://www.thairath.co.th/news/politic/2823271
“ณรงเดช อุฬารกุล” ชี้องุ่นไชน์มัสแคทปนเปื้อน ซ้ำรอยหมูเถื่อน เพราะรัฐไทยหละหลวม ตรวจสินค้าเกษตรนำเข้าไม่เข้มงวด-ไม่โปร่งใส ทำผู้บริโภค-เกษตรกรไทยรับกรรม แนะตรวจเข้มทุกช่องทาง ดำเนินคดีกับผู้ลักลอบนำเข้าอย่างเด็ดขาด
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นายณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นถึงกรณีที่องค์กรภาคประชาสังคมสุ่มตัวอย่างตรวจพบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในองุ่นไชน์มัสแคท (Shine Muscat) ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยระบุว่า ประเด็นนี้สะท้อนถึงปัญหาการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับกรณี “หมูเถื่อน” คือการนำเข้าสินค้าเกษตรโดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดและโปร่งใส ไม่แน่ใจว่าผ่านช่องทางใด และมีการตรวจสอบสารตกค้างหรือไม่ อีกทั้งสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่องค์กรภาคประชาสังคมตรวจพบในองุ่น คือ คลอร์ไพริฟอส ซึ่งประเทศไทยไม่อนุญาตให้ใช้แล้ว แสดงให้เห็นถึงความบกพร่องในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนนำเข้า เป็นภัยต่อผู้บริโภค และละเลยความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety)
นายณรงเดช กล่าวต่อไปว่า การบังคับใช้กฎหมายที่หละหลวมเช่นนี้นำมาซึ่งปัญหาการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เพราะเกษตรกรไทยต้องผลิตสินค้าตามมาตรฐานที่เข้มงวด แต่กลับต้องแข่งขันกับสินค้าเกษตรนำเข้าที่มีต้นทุนต่ำกว่าเนื่องจากขาดการควบคุม จากปัญหานี้ คณะกรรมาธิการการเกษตรฯ จึงมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา ดังนี้
1. เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบสินค้าเกษตรนำเข้า โดยควรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าเกษตรนำเข้าที่ด่านศุลกากรให้ครอบคลุมทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ ควรเพิ่มบุคลากร เครื่องมือตรวจสอบ และการสุ่มตรวจอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการตรวจสอบสารตกค้างอย่างละเอียด ไม่ใช่แค่การตรวจเอกสารเพียงอย่างเดียว
2. ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ประกอบการที่ลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรที่ไม่ผ่านมาตรฐานอย่างเด็ดขาด เพื่อเป็นการป้องปรามและสร้างความเข้มงวดในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
3. ควรมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้การตรวจสอบและควบคุมการนำเข้าสินค้าเกษตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
4. พัฒนาระบบการตรวจสอบและติดตามสินค้าเกษตรนำเข้าให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาจใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการตรวจสอบและติดตามสินค้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
5. สร้างความตระหนักรู้ให้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับการเลือกซื้อสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและปลอดภัย เพื่อสนับสนุนเกษตรกรไทยและลดการสนับสนุนสินค้าที่มีมาตรฐานต่ำและไม่ปลอดภัย
6. เพิ่มมาตรการควบคุมการนำเข้าและการใช้สารเคมีทางการเกษตรอย่างเข้มงวดมากขึ้น เพื่อคุ้มครองทั้งเกษตรกรและผู้บริโภค
ไอเอ็มเอฟคาด ‘อาเซียน’ จะยังคงได้ประโยชน์จาก ‘จีน-สหรัฐขัดแย้งกัน’
https://www.bangkokbiznews.com/world/1151791
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ยังคงก้าวขึ้นเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐที่เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าความเสี่ยงจากโลกแบ่งขั้วจะยังคงมีอยู่
ไอเอ็มเอฟระบุ “เวียดนามได้ประโยชน์สูงสุดทั้งส่งออกโต และการลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้า ในขณะที่ไทยส่งออกชะลอลง”
ตามรายงานของหน่วยงานของสหประชาชาติ ภูมิภาคนี้ได้รับประโยชน์จากโลกาภิวัตน์มาหลายทศวรรษ โดยสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งกับจีนและสหรัฐ ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
แม้ว่าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนจะแย่ลงในช่วง ไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่อาเซียนก็ได้ปรับตัวและยังคงบูรณาการ กับเศรษฐกิจโลกต่อไป โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศระบุในรายงาน Asia-Pacific Outlook ฉบับล่าสุด ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (1 พ.ย.)
“แม้จะมีความตึงเครียดทาง ภูมิรัฐศาสตร์ อาเซียนยังคงเสริมสร้างความเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุนกับทั้งจีนและสหรัฐ”
ข้อมูลจากไอเอ็มเอฟแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2018 เศรษฐกิจอาเซียนมีส่วนแบ่งตลาดในสินค้าส่งออกไปจีนและสหรัฐเพิ่มขึ้น โดยที่มหาอำนาจดูดซับส่วนแบ่งมูลค่าเพิ่มของภูมิภาคมากขึ้น
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจากทั้งสองประเทศยังเพิ่มขึ้นในอาเซียนอีกด้วย “ภูมิภาคนี้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสในการเบี่ยงเบนการค้าที่เกิดจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ได้” รายงานระบุ
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐโดนัลด์ ทรัมป์ ได้จุดชนวนสงครามการค้ากับจีนด้วยการกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจีน หลายพันรายการในปี 2018 และ 2019 ซึ่งกระตุ้นให้ปักกิ่งตอบโต้ ขณะที่รัฐบาลโจ ไบเดนยังคงภาษีส่วนใหญ่ไว้และยังกำหนดภาษีเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคม
ไอเอ็มเอฟกล่าวว่า จากการวิเคราะห์เชิงประจักษ์พบว่า เศรษฐกิจอาเซียนหลายแห่งมีการส่งออกสินค้ากลุ่มที่ถูกเรียกเก็บภาษีจากตอบโต้กันระหว่างจีนกับสหรัฐสูง และเติบโตเร็วกว่าการส่งออกสินค้าประเภทอื่น
นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟยังระบุด้วยว่า อาเซียนพบว่าการส่งออกสินค้าที่ถูกเรียกเก็บภาษีเหล่านี้ไปยังประเทศอื่นนอกตลาดจีนและสหรัฐ เพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าอาเซียนไม่เพียงแต่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนเส้นทางการค้าเท่านั้น แต่ยังได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดอีกด้วย และการค้าระหว่างสมาชิกของสหภาพการเมืองและเศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
โดยรวมแล้วไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า แนวโน้มเหล่านี้มีส่วนทำให้อาเซียนมีส่วนแบ่งของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การส่งออกทั่วโลกและสินค้ามูลค่าเพิ่มของโลกเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านการเงินตั้งข้อสังเกตว่า กำไรที่ได้จากภาษีศุลกากรระหว่างจีนและสหรัฐ ไม่ได้แปลว่าการส่งออกโดยรวมของสมาชิกอาเซียนทั้งหมดแข็งแกร่งขึ้น
ในขณะที่สมาชิกบางราย เช่น เวียดนาม ประสบกับการเติบโตด้านการส่งออกที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกตั้งแต่ปี 2018 แต่การเติบโตของการส่งออกในอีกหลายประเทศ เช่น ไทย กลับชะลอตัวลง หรือหยุดนิ่ง เช่น ในกรณีของฟิลิปปินส์และสิงคโปร์
ซีเอ็นบีซีเคยรายงานก่อนหน้านี้ว่าเวียดนามได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำแห่งหนึ่งสำหรับบริษัทต่างๆ ในการกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน ท่ามกลางความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซียและอินโดนีเซีย
อย่างไรก็ตามไอเอ็มเอฟเตือนว่า แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นขึ้นอาจส่งผลเสียต่อภูมิภาคในอนาคต ตัวอย่างเช่น การแยกตัวของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะลดกิจกรรมในหุ้นส่วนการค้าหลักของอาเซียน เช่น สหรัฐและจีน และอาจทำให้ความต้องการสินค้าจากภายนอกของภูมิภาคที่พึ่งพาการส่งออกเป็นอย่างมากลดลง
เมื่อวันศุกร์ไอเอ็มเอฟได้ปรับเพิ่มแนวโน้มการเติบโตในปี 2024 และ 2025 สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทั้งหมดขึ้น 0.1% จากการคาดการณ์ครั้งสุดท้ายในเดือนเมษายน โดยคาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัว 4.6 % ในปี 2024 และ 4.4% ในปี 2025
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปรับเพิ่มประมาณการ แต่ไอเอ็มเอฟยังได้เตือนด้วยว่า การเติบโตกำลังเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึง “ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของอุปสงค์ทั่วโลก และความเสี่ยงตลาดการเงินผันผวน”