เนื่องด้วยปัจจุบันมีความแตกแยกในความคิดเกี่ยวกับการเคารพพระพุทธรูปว่าเป็นมิจฉาทิฐิหรือไม่
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อที่จะเป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนในการใช้ประกอบในการพิจารณาว่าควรคิดเห็นเช่นไร
หมายเหตุ 1:ความจริงเกี่ยวกับการถือพระธรรมเป็นศาสดา
พระบางรูป หรือ พระอาจารย์บางคน กล่าวว่า พระพุทธเจ้าบอกแก่พระอานนท์ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ให้เอาพระธรรมเป็นพระศาสดา… ข้อความนี้จริง แต่ไม่ได้ดล่าวถึงข้อความทั้งหมด..
เนื้อหาทั้งหมดที่พระพุทธเจ้ากล่าวต่อพระอานนท์คือ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระสงฆ์บางคนจะคิดว่า องค์ประธานไม่มีแล้ว พระศาสดาไม่อยู่แล้ว พวกเธออย่าคิดเช่นนั้น พวกเธอจงนับเอาพระธรรมและวินัยที่กล่าวขึ้น บัญญัติขึ้นแล้วแก่พวกเธอ เป็นพระศาสดา
ที่มา:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ดูกรอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ก็ข้อนี้ พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวเธอ (ที่มา: https://84000.org/tipitaka/read/?10/141/178)
ความคิดเห็นส่วนตัว: ที่พระพุทธเจ้ากล่าวเช่นนี้เพราะในสมัยพุทธกาล ในยามที่พระสงฆ์มีข้อถกเถียงกัน ก็จะนำข้อถกเถียงนั้นมาให้พระพุทธเจ้าตัดสิน เมื่อตัดสินเสร็จพระพุทธเจ้าจึงตั้งเป็นสิกขา ข้อวินัยนั้นๆขึ้น… แต่เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ย่อมไม่มีองค์ประธาน ไม่มีผู้ตัดสินในข้อถกเถึยงนั้น ด้วยเหตุนี้จะมีแบ่งพรรคแบ่งพวก ด้วยคิดว่าเรามีอาจารย์เป็นคนนี้คนนั้น พระพุทธเจ้าจึงแก้ปัญหาอันจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยบอกให้พระสงฆ์นับเอาพระธรรมเป็นศาสดา เพื่อกันสงฆ์แตกแยก
หมายเหตุ 2: พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้เคารพพระพุทธรูปหรือไม่
จากการที่สืบค้น ปรากฏว่า ในสมัยพุทธกาลนั้นไม่มีการสร้างพระพุทธรูปแต่อย่างใด ทั้งนี้แม้ในศาสนาพราหม์และฮินดู ก็ยังไม่มีการสร้างเทวรูป เช่นกัน ซึ่งเชื่อได้ว่า ในสมัยพุทธกาลยังไม่มีองค์ความรู้ในการสร้างพระพุทธรูป ซึ่งพระพุทธรูปองค์แรกถูกสร้างขึ้นในอินเดียประมาณปี พ.ศ.500-550 โดยชาวกรีกที่เข้ามาปกครองพื้นที่ในแถบอินเดียในเวลานั้น (ที่มา:
https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B)
สรุป จึงกล่าวได้ว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยห้ามมิให้เคารพพระพุทธรูป
หมายเหตุ 3: การเคารพบูชาพระพุทธรูปเป็นมิจฉาทิฐิหรือไม่
มิจฉาทิฐิ คือ ความเห็นผิดจากความเป็นจริง ซึ่งผู้อ่านสามารถหาอ่านได้ทั่วไปว่ามีอะไรบ้าง
ทั้งนี้ผู้เขียนเพียงจะบอกข้อเสียอันสูงสุดของการมีมิจฉาทิฐิ เพื่อให้ข้อเขียนนี้ สั้นกระชับ ไม่ยาวเกินไป
ข้อเสียสูงสุดถ้ามีมิจฉาทิฐิสำหรับพุทธศาสนิกชนคือ จะไม่มีวันบรรลุถึงพระอริยะบุคคลทั้ง 4 ได้เลย คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
ถึงตรงนี้ ผู้เขียนก็อยากให้ผู้อ่านฉุกคิดและลองคิดดู ถ้ากลับไปดูหมายเหตุที่ 2 จะเห็นว่าการบูชาพระพุทธรูปนี้ได้หยั่งรากลงไปในจิต ในใจของ พุทธศาสนิกชนและพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้ามาร่วม 2,000ปีแล้ว และถ้าการบูชาพระพุทธรูปนี้เป็นมิจฉาทิฐิจริง เราก็คงกล่าวได้ว่า โลกเรานี้ได้ขาดอริยะบุคคลตั้งแต่ระดับโสดาบันจนถึงพระอรหันต์มาร่วม 2,000ปีแล้ว
ผู้อ่านคิดว่าจริงใช่ไหม ที่โลกเรานี้ไม่มีอริยะบุคคลเลยมาร่วม 2,000ปีแล้ว.. และถ้าผู้อ่านคิดว่าไม่จริง ผู้อ่านก็คงได้คำตอบสำหรับตัวผู้อ่านเองแล้วว่า การเคารพบูชาพระพุทธรูปเป็นสิ่งควรหรือไม่ vice vesa
ข้อถกเถียงเกี่ยวการกราบไหวพระพุทธรูปว่าเป็นมิจฉาทิฐิหรือไม่
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อที่จะเป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนในการใช้ประกอบในการพิจารณาว่าควรคิดเห็นเช่นไร
หมายเหตุ 1:ความจริงเกี่ยวกับการถือพระธรรมเป็นศาสดา
พระบางรูป หรือ พระอาจารย์บางคน กล่าวว่า พระพุทธเจ้าบอกแก่พระอานนท์ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ให้เอาพระธรรมเป็นพระศาสดา… ข้อความนี้จริง แต่ไม่ได้ดล่าวถึงข้อความทั้งหมด..
เนื้อหาทั้งหมดที่พระพุทธเจ้ากล่าวต่อพระอานนท์คือ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระสงฆ์บางคนจะคิดว่า องค์ประธานไม่มีแล้ว พระศาสดาไม่อยู่แล้ว พวกเธออย่าคิดเช่นนั้น พวกเธอจงนับเอาพระธรรมและวินัยที่กล่าวขึ้น บัญญัติขึ้นแล้วแก่พวกเธอ เป็นพระศาสดา
ที่มา:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความคิดเห็นส่วนตัว: ที่พระพุทธเจ้ากล่าวเช่นนี้เพราะในสมัยพุทธกาล ในยามที่พระสงฆ์มีข้อถกเถียงกัน ก็จะนำข้อถกเถียงนั้นมาให้พระพุทธเจ้าตัดสิน เมื่อตัดสินเสร็จพระพุทธเจ้าจึงตั้งเป็นสิกขา ข้อวินัยนั้นๆขึ้น… แต่เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ย่อมไม่มีองค์ประธาน ไม่มีผู้ตัดสินในข้อถกเถึยงนั้น ด้วยเหตุนี้จะมีแบ่งพรรคแบ่งพวก ด้วยคิดว่าเรามีอาจารย์เป็นคนนี้คนนั้น พระพุทธเจ้าจึงแก้ปัญหาอันจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยบอกให้พระสงฆ์นับเอาพระธรรมเป็นศาสดา เพื่อกันสงฆ์แตกแยก
หมายเหตุ 2: พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้เคารพพระพุทธรูปหรือไม่
จากการที่สืบค้น ปรากฏว่า ในสมัยพุทธกาลนั้นไม่มีการสร้างพระพุทธรูปแต่อย่างใด ทั้งนี้แม้ในศาสนาพราหม์และฮินดู ก็ยังไม่มีการสร้างเทวรูป เช่นกัน ซึ่งเชื่อได้ว่า ในสมัยพุทธกาลยังไม่มีองค์ความรู้ในการสร้างพระพุทธรูป ซึ่งพระพุทธรูปองค์แรกถูกสร้างขึ้นในอินเดียประมาณปี พ.ศ.500-550 โดยชาวกรีกที่เข้ามาปกครองพื้นที่ในแถบอินเดียในเวลานั้น (ที่มา: https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B)
สรุป จึงกล่าวได้ว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยห้ามมิให้เคารพพระพุทธรูป
หมายเหตุ 3: การเคารพบูชาพระพุทธรูปเป็นมิจฉาทิฐิหรือไม่
มิจฉาทิฐิ คือ ความเห็นผิดจากความเป็นจริง ซึ่งผู้อ่านสามารถหาอ่านได้ทั่วไปว่ามีอะไรบ้าง
ทั้งนี้ผู้เขียนเพียงจะบอกข้อเสียอันสูงสุดของการมีมิจฉาทิฐิ เพื่อให้ข้อเขียนนี้ สั้นกระชับ ไม่ยาวเกินไป
ข้อเสียสูงสุดถ้ามีมิจฉาทิฐิสำหรับพุทธศาสนิกชนคือ จะไม่มีวันบรรลุถึงพระอริยะบุคคลทั้ง 4 ได้เลย คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
ถึงตรงนี้ ผู้เขียนก็อยากให้ผู้อ่านฉุกคิดและลองคิดดู ถ้ากลับไปดูหมายเหตุที่ 2 จะเห็นว่าการบูชาพระพุทธรูปนี้ได้หยั่งรากลงไปในจิต ในใจของ พุทธศาสนิกชนและพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้ามาร่วม 2,000ปีแล้ว และถ้าการบูชาพระพุทธรูปนี้เป็นมิจฉาทิฐิจริง เราก็คงกล่าวได้ว่า โลกเรานี้ได้ขาดอริยะบุคคลตั้งแต่ระดับโสดาบันจนถึงพระอรหันต์มาร่วม 2,000ปีแล้ว
ผู้อ่านคิดว่าจริงใช่ไหม ที่โลกเรานี้ไม่มีอริยะบุคคลเลยมาร่วม 2,000ปีแล้ว.. และถ้าผู้อ่านคิดว่าไม่จริง ผู้อ่านก็คงได้คำตอบสำหรับตัวผู้อ่านเองแล้วว่า การเคารพบูชาพระพุทธรูปเป็นสิ่งควรหรือไม่ vice vesa