https://www.the101.world/absolute-presidential-immunity/
การเมืองอเมริกันไม่เคยหยุดนิ่ง กล่าวได้ว่าระบบการเมืองที่เปิดและให้มีการโต้แย้งถกเถียงอย่างอ่อนไปถึงแก่ ไม่มีที่ไหนที่มีมากเท่ากับอเมริกา ที่เป็นเช่นนี้มีหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยทางการเมืองคือมีระบบที่มั่นคงสถาพรไม่เคยมีการยึดอำนาจหรือใช้อิทธิพลภายนอกระบบกฎหมายมาโค่นล้มหรือทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ปัจจัยทางเศรษฐกิจคือมีระบบทุนนิยมเสรีที่เปิดให้มีการแข่งขันเสรีของทุกคนที่มีความสามารถ ทำให้ปัจเจกบุคคลมีโอกาสในการเคลื่อนไหวได้มาก ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมคืออเมริกาเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติศาสนาและสีผิว ทำให้มีประเด็นจุดประกายให้แก่การปะทะโต้แย้งกันไม่ขาดสาย โดยเฉพาะระบบที่พรรคการเมืองมีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกคนที่จะเข้าไปนั่งในรัฐสภาแห่งอำนาจ
แต่ก็ไม่เคยมียุคไหนที่การเมืองอเมริกันมีความขัดแย้งแตกแยกกันอย่างหนักเท่าสมัยที่นายโดนัลด์ ทรัมป์เป็นประธานบดี
ใน พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) เขาเป็นประธานาธิบดีในนามพรรครีพับลิกัน เพราะถ้าไม่สังกัดพรรคใหญ่สองพรรคคือรีพับลิกันหรือเดโมแครตก็ไม่มีทางจะได้รับเลือกตั้ง ทรัมป์ไม่เคยเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันจริงจัง เขาเป็นนักธุรกิจหมื่นล้านจึงเข้าได้กับทั้งสองพรรคมาตลอด เมื่อตัดสินใจเข้าสมัครเป็นประธานาธิบดี ทรัมป์เลือกเข้ารีพับลิกันซึ่งตอนนั้นระบบพรรคไม่เข้มแข็งและมีอุดมการณ์เหนียวแน่นเช่นเดโมแครต เขาอาศัยเครือข่ายและอิทธิพลของตัวเองจนได้เป็นผู้สมัครของรีพับลิกันและได้ชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างคาดไม่ถึง
นับจากนั้นมาทรัมป์เริ่มวิธีการปกครองและบริหารรัฐบาลอย่างที่ไม่เคยมีประธานาธิบดีคนก่อนๆ เคยทำกันมา ที่สำคัญคือการใช้อำนาจของประธานาธิบดีอย่างไม่มีขีดจำกัด เป็นอำนาจอันล้นเกิน ที่เขาอ้างว่ามาจากรัฐธรรมนูญ ที่ไม่มีการระบุการจำกัดอำนาจของหัวหน้าฝ่ายบริหารคือประธานาธิบดีไว้ นำไปสู่การประกาศคำสั่งในหลายเรื่อง เช่น การห้ามคนมุสลิมจากหกประเทศตะวันออกกลางเข้ามาในสหรัฐฯ ด้วยข้อหาการก่อการร้าย ปิดพรมแดนกับเม็กซิโกและจับกุมผู้เข้าประเทศผิดกฎหมายอย่างรุนแรง โจมตีนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างหยาบคายไม่เคารพความเป็นมนุษย์ของคนอื่นๆ เสนอข่าวและความเห็นโดยปั้นแต่งข้อมูลที่เป็นเท็จผ่านทวิตเตอร์ของเขาเป็นประจำ
ล่าสุดคำวินิจฉัยของศาลสูงสุดของสหรัฐฯ (SCOTUS) ที่ตัดสินโดยเสียงข้างมาก 6 (อนุรักษนิยม) : 3 (เสรีนิยม) ลงมติว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญไม่ให้ดำเนินการทางการศาลได้ในฐานะของการเป็นประธานาธิบดี เรียกว่าอำนาจพ้นผิด (immunity) อย่างสมบูรณ์ด้วย แต่กระนั้นศาลสูงยังยอมให้มีการดำเนินคดีทางศาลได้หากพิสูจน์ได้ว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำที่ไม่เป็นทางการหรืออยู่ในหน้าที่ ซึ่งผู้สังเกตการณ์ต่างบอกว่าไม่ง่ายเลยที่จะจำแนกออกมาว่า การปฏิบัติในระหว่างดำรงตำแหน่งอยู่นั้น กิจการอันไหนที่เป็นราชการ อันไหนที่ไม่ใช่ราชการ ข้อนี้ศาลสูงสุดเตะลูกออกไปให้ศาลมลรัฐเป็นผู้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลและดำเนินการทางการศาลตามที่ได้รับอนุมัติจากศาลสูง
เนื่องจากเมื่อต้นปีนี้ศาลสูงในมลรัฐโคโลราโดและเมนห้ามไม่ให้ทรัมป์ลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกไพรมารีในโคโลราโดและเมน เนื่องจากถูกฟ้องว่ามีส่วนร่วมในการปลุกระดมให้มวลชนประท้วงรัฐสภาในการประชุมลงมติรับรองการเป็นประธานาธิบดีของนายโจ ไบเดน เป็นการกระทำที่เข้าข่ายทำลายอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐ ซึ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญบทแก้ไขเพิ่มเติมที่ 14 นั่นเอง (ดูบทความผม อำนาจอันสัมบูรณ์ของประธานาธิบดีมีไหม) นั่นคือที่มาของการดำเนินการยื่นเรื่องว่าประธานาธิบดีมี ‘ภูมิคุ้มกัน’ ตามรัฐธรรมนูญไหม ในที่สุดในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ก็ออกคำวินิจฉัยโดยเสียงข้างมากว่า ประธานาธิบดีมีภูมิคุ้มกันตามที่ทรัมป์ร้องเรียนไปจริง ถ้าเช่นนั้นคำตัดสินดังกล่าวนี้จะมีผลต่อการแข่งขันเลือกตั้งระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์กับประธานาธิบดีโจ ไบเดนไหม ผมคิดว่ามีอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าฝ่ายใดจะได้หรือเสียและทั้งหมดนั้นจะนำไปสู่ผลของการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้อย่างไร
ฝ่ายแรกคือประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งพรรคเดโมแครตที่ตัดสินใจลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นครั้งที่สอง อันเป็นธรรมเนียมปกติของประธานาธิบดีอเมริกันแทบทุกคนในรอบหลายทศวรรษมา กล่าวได้ว่าการรับเลือกตั้งกลับมาในวาระที่สองเป็นเรื่องปกติที่เกิดก่อนแล้วในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระยะหลังๆ มานี้การที่ประธานาธิบดีในตำแหน่งไม่ได้รับการเลือกตั้งกลับมาอีกเป็นวาระที่สองถูกมองว่าเป็นความผิดปกติ ดังที่ได้เกิดกับนายทรัมป์ในปี 2563 (2020) สร้างความโกรธแค้นให้แก่นายทรัมป์อย่างยิ่งจนกลายเป็นแรงอาฆาตที่ต้องเอาชนะคืนให้ได้
ในที่สุดนายทรัมป์ก็สามารถแก้แค้นในยกแรกได้ในการโต้วาทีของผู้สมัครประธานาธิบดี ระหว่างทรัมป์กับไบเดนเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา ด้วยการโจมตีและถล่มไบเดนในเรื่องต่างๆ อย่างเมามัน โดยที่โจ ไบเดนตอบโต้อย่างไม่หนักหน่วงเท่าการโต้วาทีเมื่อสี่ปีก่อนโน้น แย่ยิ่งกว่านี้โจ ไบเดนยังออกมาวิจารณ์ทรัมป์อย่างติดๆ ขัดๆ พูดไม่เต็มเสียง บางครั้งหยุดคิดก่อนจะพูดต่อ ทั้งหมดนี้เป็นความพ่ายแพ้ของนักโต้วาทีไม่ว่าในเวทีไหนก็ตาม สมาชิกและแกนนำเดโมแครตต่างพากันเครียดหนักเมื่อเห็นปรากฏการณ์ของไบเดนบนเวทีโต้วาทีวันนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น แต่มันได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญหาคือจะแก้ความพ่ายแพ้ครั้งนี้อย่างไร
จากปัญหาความขลุกขลักในการโต้วาทีของโจ ไบเดน ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังออกมาจากหลายฟาก ทั้งสื่อมวลชนใหญ่ สมาชิกพรรค รวมถึงแกนนำบางคนของเดโมแครตเองที่เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนแผนการในการเสนอนายไบเดนเข้ารับการเลือกตั้งเป็นวาระที่สอง เนื่องจากเขามีอายุมากถึง 81 ปี เป็นผู้สมัครที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนพยายามเสนอว่า ควรเลือกผู้สมัครเดโมแครตคนใหม่ที่อายุน้อยกว่าและมีประสบ การณ์ในการเมืองระดับชาติมาแข่งแทนดีกว่า แต่ความคิดนี้ถูกตีตกอย่างรวดเร็วจากที่ปรึกษาใกล้ชิดของไบเดน อ้างว่าเขายังมีสุขภาพดีพอเหมาะกับอายุ ที่สำคัญเขาสามารถนำพาการผ่านนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศได้อย่างงดงามในกฎหมายสองฉบับคือวิกฤตโควิดกับปฏิรูปเศรษฐกิจในประเทศ อันนี้นับว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัวของไบเดนที่ผ่านเวทีการต่อรองกับนักการเมืองทั้งพรรคเดียวกันและต่างพรรคได้อย่างดี ข้อนี้ปฏิเสธยาก ทำให้เสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนตัวไบเดนค่อยๆ ลดและหายไปในที่สุด จนกระทั่งวันหลังการโต้วาทีนี้เองที่กระแสให้เปลี่ยนตัวดังกระหึ่มกลับมาอีก
ณ จุดนี้เองที่คำวินิจฉัยของศาลสูงสุดสหรัฐฯ เรื่องภูมิคุ้มกันประธานาธิบดีประกาศออกมาท่ามกลางบรรยากาศที่อึมครึมในค่ายเดโมแครต ทันใดนั้นที่ปรึกษาและคนใกล้ชิดโจ ไบเดนต่างออกมาประโคมว่า การเคลื่อนไหวของศาลสูงสุดผ่านผู้พิพากษาข้างมากที่เป็นอนุรักษนิยมกำลังก้าวไปสู่จุดอันตรายต่อประชาธิปไตยในอเมริกา นั่นคือศาลสูงกำลังมอบอำนาจสูงสุดที่ไม่อาจคานและกำกับได้ให้แก่ประธานาธิบดี ดังนั้นหากทรัมป์ได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง ก็เป็นการแน่นอนว่าเขาจะใช้อำนาจอันสัมบูรณ์นี้อย่างไม่จำกัดและไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น มีการเปรียบเปรยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เหมือนการทำให้ประธานาธิบดีเป็นพระมหากษัตริย์ไปนั่นเอง เพราะกษัตริย์ย่อมอยู่เหนือกฎหมาย โจ ไบเดนออกมารณรงค์หลายครั้งด้วยคำขวัญว่า “ไม่มีใครในประเทศนี้แม้แต่ ประธา นาธิบดีก็ตามที่จะอยู่เหนือกฎหมายได้” ดังนั้นการรณรงค์ในการสกัดกั้นไม่ให้ทรัมป์ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งจึงต้องเป็นภารกิจเฉพาะหน้าเร่งด่วนสุดของพรรคเดโมแครตและสมาชิกทุกคน
สรุปคือเดโมแครตสามารถหาประเด็นในการรักษาฐานะของไบเดนในการรับเลือกตั้งต่อไปได้ด้วยการชูประเด็นเรื่องศาลสูงสุดกำลังตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรีพับลิกัน หนทางเดียวที่จะกู้สถานการณ์นี้ให้กลับมาเที่ยงธรรมก็คือการที่เดโมแครตเป็นรัฐบาลและกุมเสียงข้างมากในสองสภา จึงจะสามารถออกกฎหมายมากำกับการประพฤติของผู้พิพากษารุ่นนี้และต่อไปได้ เพื่อไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคใดพรรคหนึ่งต่อไป
ไม่น่าเชื่อว่าวิกฤตทางการเมืองในอเมริกาจะเดินไปในหนทางที่คล้ายกับของไทย นั่นคือการที่สถาบันตุลาการ โดยเฉพาะศาลสูงสุด กลายเป็นจุดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในการทำหน้าที่พิทักษ์รักษาความยุติธรรมที่ผู้คนมองว่าไม่เป็นธรรม
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อเมริกาที่ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงๆ ว่าไม่ดำรงตนอย่างถูกต้องชอบธรรม มีข้อหาเรื่องการรับสินบนและผลประโยชน์จากกลุ่มธุรกิจและพรรคการเมืองซึ่งมีการเปิดเผยหลักฐานออกมาโดยสื่อมวลชน จนถึงกับมีการเรียกร้องให้ผู้พิพากษาสองคน คือคลาเรนซ์ โทมัสกับซามูเอล อาลิโต ว่าควรยุติการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างพิพากษาคดีที่เกี่ยวโยงกับนายทรัมป์ แต่สองผู้พิพากษาก็ปฏิเสธ ในอเมริกาไม่มีสถาบันไหนที่มีสิทธิอำนาจในการสั่งให้ผู้พิพากษาศาลสูงสุดยุติการปฏิบัติหน้าที่ได้ หนทางเดียวที่จะบังคับผู้พิพากษาศาลได้คือการออกกฎหมายโดยรัฐสภาเท่านั้น นั่นคือการยืนยันว่าอำนาจอธิปไตยนั้นอยู่ที่ประชาชนและเป็นของประชาชน ไม่ใช่ในองคาพยพของศาลสถิตยุติธรรม
สรุปโจทย์ใหญ่ของการต่อสู้เพื่อตำแหน่งประธานาธิบดี บัดนี้ย้ายจากเรื่องอายุและความเหมาะสมทางกาย ไปสู่ปัญหาการพิทักษ์รักษาความเป็นประชาธิปไตยของประชาชนเอาไว้และผมคิดว่านี่จะเป็นคำขวัญในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตที่จะใช้ในการยุติความขัดแย้งแตกแยกที่อาจก่อตัวขึ้นภายในพรรคในวันประชุมสมัชชาใหญ่เพื่อเสนอชื่อผู้เป็นผู้รับสมัครประธานาธิบดีต่อไป
ในฝ่ายรีพับลิกัน ไม่มีใครเสนอแนวทางคำขวัญอะไรในการตอบโต้เดโมแครตในเรื่องนี้ เพราะทุกอย่างในพรรคถูกควบคุมและกำกับโดยทรัมป์และคณะหมดสิ้น จึงไม่มีอะไรใหม่ที่จะเสนอ นอกเสียจากว่าทรัมป์จะเสนออะไรขึ้นมา พรรครีพับลิกันภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์จึงดูเหมือนกับพรรคการเมืองบ้านใหญ่ในการเมืองไทยปัจจุบันอย่างยิ่ง และนี่ก็จะเป็นดัชนีวัดความเป็นประชาธิปไตยในอเมริกาว่าจะดำเนินไปในสภาพอะไร จะเป็นดาวฤกษ์ส่องนำทางแก่ประชาธิปไตยทั่วโลกหรือเป็นดาวร่วงที่รอวันดับแสงเหมือนประเทศโลกที่สามต่อไป
กระแสความสนใจในตัว “กมลา แฮร์ริส” (Kamala Harris) เพิ่มขึ้นมาทันที หลังเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2024 “โจ ไบเดน” เขียนจดหมายถอนตัวอย่างเป็นทางการจากการเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2024 หลังจากก่อนหน้านี้ โจ ไบเดน ถูกตั้งคำถามมากมายถึงความพร้อมในการสู้ศึกเลือกตั้งสมัยที่ 2 ไม่ว่าจะด้วยผลงานดีเบตที่เพลี่ยงพล้ำให้แก่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ในรอบแรกเมื่อช่วงสิ้นเดือนที่ผ่านมา ตลอดจนปัญหาสุขภาพ และความแก่ชราของไบเดนในวัย 81 ปีที่แสดงออกมาชัดเจน พรรคเดโมแครต จึงตัดสินใจเปลี่ยนม้ากลางศึก เพื่อไม่ให้คะแนนนิยมตกต่ำไปมากกว่านี้ ซึ่งว่ากันว่าผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทนในครั้งนี้ก็คือ กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันนั่นเอง ไบเดน โพสผ่าน X ส่วนตัวว่า การถอนตัวครั้งนี้ เพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดต่อพรรคและประเทศชาติ พร้อมหนุนให้ แฮร์ริส เป็นผู้รับไม้ต่อในสู้ศึกเลือกตั้ง
ข้อสังเกตุ:
เนื่องจากชาวไทยได้รับข่าวจาก CNN NBC CBS MSNBC GOOGLE YAHOO FACEBOOK และอีกมาก ซึ่งเป็น Media ของพรรคดีโมแครท
ดังนั้นในประเทศไทยจะไม่ได้ข่าวที่ถูกต้องนัก เช่นในบทความข้างบนนี้ นางแฮริสไม่เป็นที่นิยมของชาวอเมริกันมากนัก
FOX News เท่านั้นที่เป็น Media ที่หนักไปทางพรรครีพับลิกัน สนับสนุน ประธานาธิบดีทรัมพ์ เท่าที่ผมสังเกตุดู ประชาชนอเมริกันส่วนมากสนับสนุน ประธานาธิบดีทรัมพ์ รวมทั้ง อรับมุสลิม ยิว และ คาโทลิค
เรียนรู้การเมืองอเมริกา Freedom of Speech
https://www.the101.world/absolute-presidential-immunity/
การเมืองอเมริกันไม่เคยหยุดนิ่ง กล่าวได้ว่าระบบการเมืองที่เปิดและให้มีการโต้แย้งถกเถียงอย่างอ่อนไปถึงแก่ ไม่มีที่ไหนที่มีมากเท่ากับอเมริกา ที่เป็นเช่นนี้มีหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยทางการเมืองคือมีระบบที่มั่นคงสถาพรไม่เคยมีการยึดอำนาจหรือใช้อิทธิพลภายนอกระบบกฎหมายมาโค่นล้มหรือทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ปัจจัยทางเศรษฐกิจคือมีระบบทุนนิยมเสรีที่เปิดให้มีการแข่งขันเสรีของทุกคนที่มีความสามารถ ทำให้ปัจเจกบุคคลมีโอกาสในการเคลื่อนไหวได้มาก ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมคืออเมริกาเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติศาสนาและสีผิว ทำให้มีประเด็นจุดประกายให้แก่การปะทะโต้แย้งกันไม่ขาดสาย โดยเฉพาะระบบที่พรรคการเมืองมีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกคนที่จะเข้าไปนั่งในรัฐสภาแห่งอำนาจ
แต่ก็ไม่เคยมียุคไหนที่การเมืองอเมริกันมีความขัดแย้งแตกแยกกันอย่างหนักเท่าสมัยที่นายโดนัลด์ ทรัมป์เป็นประธานบดี
ใน พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) เขาเป็นประธานาธิบดีในนามพรรครีพับลิกัน เพราะถ้าไม่สังกัดพรรคใหญ่สองพรรคคือรีพับลิกันหรือเดโมแครตก็ไม่มีทางจะได้รับเลือกตั้ง ทรัมป์ไม่เคยเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันจริงจัง เขาเป็นนักธุรกิจหมื่นล้านจึงเข้าได้กับทั้งสองพรรคมาตลอด เมื่อตัดสินใจเข้าสมัครเป็นประธานาธิบดี ทรัมป์เลือกเข้ารีพับลิกันซึ่งตอนนั้นระบบพรรคไม่เข้มแข็งและมีอุดมการณ์เหนียวแน่นเช่นเดโมแครต เขาอาศัยเครือข่ายและอิทธิพลของตัวเองจนได้เป็นผู้สมัครของรีพับลิกันและได้ชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างคาดไม่ถึง
นับจากนั้นมาทรัมป์เริ่มวิธีการปกครองและบริหารรัฐบาลอย่างที่ไม่เคยมีประธานาธิบดีคนก่อนๆ เคยทำกันมา ที่สำคัญคือการใช้อำนาจของประธานาธิบดีอย่างไม่มีขีดจำกัด เป็นอำนาจอันล้นเกิน ที่เขาอ้างว่ามาจากรัฐธรรมนูญ ที่ไม่มีการระบุการจำกัดอำนาจของหัวหน้าฝ่ายบริหารคือประธานาธิบดีไว้ นำไปสู่การประกาศคำสั่งในหลายเรื่อง เช่น การห้ามคนมุสลิมจากหกประเทศตะวันออกกลางเข้ามาในสหรัฐฯ ด้วยข้อหาการก่อการร้าย ปิดพรมแดนกับเม็กซิโกและจับกุมผู้เข้าประเทศผิดกฎหมายอย่างรุนแรง โจมตีนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างหยาบคายไม่เคารพความเป็นมนุษย์ของคนอื่นๆ เสนอข่าวและความเห็นโดยปั้นแต่งข้อมูลที่เป็นเท็จผ่านทวิตเตอร์ของเขาเป็นประจำ
ล่าสุดคำวินิจฉัยของศาลสูงสุดของสหรัฐฯ (SCOTUS) ที่ตัดสินโดยเสียงข้างมาก 6 (อนุรักษนิยม) : 3 (เสรีนิยม) ลงมติว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญไม่ให้ดำเนินการทางการศาลได้ในฐานะของการเป็นประธานาธิบดี เรียกว่าอำนาจพ้นผิด (immunity) อย่างสมบูรณ์ด้วย แต่กระนั้นศาลสูงยังยอมให้มีการดำเนินคดีทางศาลได้หากพิสูจน์ได้ว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำที่ไม่เป็นทางการหรืออยู่ในหน้าที่ ซึ่งผู้สังเกตการณ์ต่างบอกว่าไม่ง่ายเลยที่จะจำแนกออกมาว่า การปฏิบัติในระหว่างดำรงตำแหน่งอยู่นั้น กิจการอันไหนที่เป็นราชการ อันไหนที่ไม่ใช่ราชการ ข้อนี้ศาลสูงสุดเตะลูกออกไปให้ศาลมลรัฐเป็นผู้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลและดำเนินการทางการศาลตามที่ได้รับอนุมัติจากศาลสูง
เนื่องจากเมื่อต้นปีนี้ศาลสูงในมลรัฐโคโลราโดและเมนห้ามไม่ให้ทรัมป์ลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกไพรมารีในโคโลราโดและเมน เนื่องจากถูกฟ้องว่ามีส่วนร่วมในการปลุกระดมให้มวลชนประท้วงรัฐสภาในการประชุมลงมติรับรองการเป็นประธานาธิบดีของนายโจ ไบเดน เป็นการกระทำที่เข้าข่ายทำลายอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐ ซึ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญบทแก้ไขเพิ่มเติมที่ 14 นั่นเอง (ดูบทความผม อำนาจอันสัมบูรณ์ของประธานาธิบดีมีไหม) นั่นคือที่มาของการดำเนินการยื่นเรื่องว่าประธานาธิบดีมี ‘ภูมิคุ้มกัน’ ตามรัฐธรรมนูญไหม ในที่สุดในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ก็ออกคำวินิจฉัยโดยเสียงข้างมากว่า ประธานาธิบดีมีภูมิคุ้มกันตามที่ทรัมป์ร้องเรียนไปจริง ถ้าเช่นนั้นคำตัดสินดังกล่าวนี้จะมีผลต่อการแข่งขันเลือกตั้งระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์กับประธานาธิบดีโจ ไบเดนไหม ผมคิดว่ามีอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าฝ่ายใดจะได้หรือเสียและทั้งหมดนั้นจะนำไปสู่ผลของการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้อย่างไร
ฝ่ายแรกคือประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งพรรคเดโมแครตที่ตัดสินใจลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นครั้งที่สอง อันเป็นธรรมเนียมปกติของประธานาธิบดีอเมริกันแทบทุกคนในรอบหลายทศวรรษมา กล่าวได้ว่าการรับเลือกตั้งกลับมาในวาระที่สองเป็นเรื่องปกติที่เกิดก่อนแล้วในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระยะหลังๆ มานี้การที่ประธานาธิบดีในตำแหน่งไม่ได้รับการเลือกตั้งกลับมาอีกเป็นวาระที่สองถูกมองว่าเป็นความผิดปกติ ดังที่ได้เกิดกับนายทรัมป์ในปี 2563 (2020) สร้างความโกรธแค้นให้แก่นายทรัมป์อย่างยิ่งจนกลายเป็นแรงอาฆาตที่ต้องเอาชนะคืนให้ได้
ในที่สุดนายทรัมป์ก็สามารถแก้แค้นในยกแรกได้ในการโต้วาทีของผู้สมัครประธานาธิบดี ระหว่างทรัมป์กับไบเดนเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา ด้วยการโจมตีและถล่มไบเดนในเรื่องต่างๆ อย่างเมามัน โดยที่โจ ไบเดนตอบโต้อย่างไม่หนักหน่วงเท่าการโต้วาทีเมื่อสี่ปีก่อนโน้น แย่ยิ่งกว่านี้โจ ไบเดนยังออกมาวิจารณ์ทรัมป์อย่างติดๆ ขัดๆ พูดไม่เต็มเสียง บางครั้งหยุดคิดก่อนจะพูดต่อ ทั้งหมดนี้เป็นความพ่ายแพ้ของนักโต้วาทีไม่ว่าในเวทีไหนก็ตาม สมาชิกและแกนนำเดโมแครตต่างพากันเครียดหนักเมื่อเห็นปรากฏการณ์ของไบเดนบนเวทีโต้วาทีวันนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น แต่มันได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญหาคือจะแก้ความพ่ายแพ้ครั้งนี้อย่างไร
จากปัญหาความขลุกขลักในการโต้วาทีของโจ ไบเดน ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังออกมาจากหลายฟาก ทั้งสื่อมวลชนใหญ่ สมาชิกพรรค รวมถึงแกนนำบางคนของเดโมแครตเองที่เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนแผนการในการเสนอนายไบเดนเข้ารับการเลือกตั้งเป็นวาระที่สอง เนื่องจากเขามีอายุมากถึง 81 ปี เป็นผู้สมัครที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนพยายามเสนอว่า ควรเลือกผู้สมัครเดโมแครตคนใหม่ที่อายุน้อยกว่าและมีประสบ การณ์ในการเมืองระดับชาติมาแข่งแทนดีกว่า แต่ความคิดนี้ถูกตีตกอย่างรวดเร็วจากที่ปรึกษาใกล้ชิดของไบเดน อ้างว่าเขายังมีสุขภาพดีพอเหมาะกับอายุ ที่สำคัญเขาสามารถนำพาการผ่านนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศได้อย่างงดงามในกฎหมายสองฉบับคือวิกฤตโควิดกับปฏิรูปเศรษฐกิจในประเทศ อันนี้นับว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัวของไบเดนที่ผ่านเวทีการต่อรองกับนักการเมืองทั้งพรรคเดียวกันและต่างพรรคได้อย่างดี ข้อนี้ปฏิเสธยาก ทำให้เสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนตัวไบเดนค่อยๆ ลดและหายไปในที่สุด จนกระทั่งวันหลังการโต้วาทีนี้เองที่กระแสให้เปลี่ยนตัวดังกระหึ่มกลับมาอีก
ณ จุดนี้เองที่คำวินิจฉัยของศาลสูงสุดสหรัฐฯ เรื่องภูมิคุ้มกันประธานาธิบดีประกาศออกมาท่ามกลางบรรยากาศที่อึมครึมในค่ายเดโมแครต ทันใดนั้นที่ปรึกษาและคนใกล้ชิดโจ ไบเดนต่างออกมาประโคมว่า การเคลื่อนไหวของศาลสูงสุดผ่านผู้พิพากษาข้างมากที่เป็นอนุรักษนิยมกำลังก้าวไปสู่จุดอันตรายต่อประชาธิปไตยในอเมริกา นั่นคือศาลสูงกำลังมอบอำนาจสูงสุดที่ไม่อาจคานและกำกับได้ให้แก่ประธานาธิบดี ดังนั้นหากทรัมป์ได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง ก็เป็นการแน่นอนว่าเขาจะใช้อำนาจอันสัมบูรณ์นี้อย่างไม่จำกัดและไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น มีการเปรียบเปรยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เหมือนการทำให้ประธานาธิบดีเป็นพระมหากษัตริย์ไปนั่นเอง เพราะกษัตริย์ย่อมอยู่เหนือกฎหมาย โจ ไบเดนออกมารณรงค์หลายครั้งด้วยคำขวัญว่า “ไม่มีใครในประเทศนี้แม้แต่ ประธา นาธิบดีก็ตามที่จะอยู่เหนือกฎหมายได้” ดังนั้นการรณรงค์ในการสกัดกั้นไม่ให้ทรัมป์ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งจึงต้องเป็นภารกิจเฉพาะหน้าเร่งด่วนสุดของพรรคเดโมแครตและสมาชิกทุกคน
สรุปคือเดโมแครตสามารถหาประเด็นในการรักษาฐานะของไบเดนในการรับเลือกตั้งต่อไปได้ด้วยการชูประเด็นเรื่องศาลสูงสุดกำลังตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรีพับลิกัน หนทางเดียวที่จะกู้สถานการณ์นี้ให้กลับมาเที่ยงธรรมก็คือการที่เดโมแครตเป็นรัฐบาลและกุมเสียงข้างมากในสองสภา จึงจะสามารถออกกฎหมายมากำกับการประพฤติของผู้พิพากษารุ่นนี้และต่อไปได้ เพื่อไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคใดพรรคหนึ่งต่อไป
ไม่น่าเชื่อว่าวิกฤตทางการเมืองในอเมริกาจะเดินไปในหนทางที่คล้ายกับของไทย นั่นคือการที่สถาบันตุลาการ โดยเฉพาะศาลสูงสุด กลายเป็นจุดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในการทำหน้าที่พิทักษ์รักษาความยุติธรรมที่ผู้คนมองว่าไม่เป็นธรรม
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อเมริกาที่ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงๆ ว่าไม่ดำรงตนอย่างถูกต้องชอบธรรม มีข้อหาเรื่องการรับสินบนและผลประโยชน์จากกลุ่มธุรกิจและพรรคการเมืองซึ่งมีการเปิดเผยหลักฐานออกมาโดยสื่อมวลชน จนถึงกับมีการเรียกร้องให้ผู้พิพากษาสองคน คือคลาเรนซ์ โทมัสกับซามูเอล อาลิโต ว่าควรยุติการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างพิพากษาคดีที่เกี่ยวโยงกับนายทรัมป์ แต่สองผู้พิพากษาก็ปฏิเสธ ในอเมริกาไม่มีสถาบันไหนที่มีสิทธิอำนาจในการสั่งให้ผู้พิพากษาศาลสูงสุดยุติการปฏิบัติหน้าที่ได้ หนทางเดียวที่จะบังคับผู้พิพากษาศาลได้คือการออกกฎหมายโดยรัฐสภาเท่านั้น นั่นคือการยืนยันว่าอำนาจอธิปไตยนั้นอยู่ที่ประชาชนและเป็นของประชาชน ไม่ใช่ในองคาพยพของศาลสถิตยุติธรรม
สรุปโจทย์ใหญ่ของการต่อสู้เพื่อตำแหน่งประธานาธิบดี บัดนี้ย้ายจากเรื่องอายุและความเหมาะสมทางกาย ไปสู่ปัญหาการพิทักษ์รักษาความเป็นประชาธิปไตยของประชาชนเอาไว้และผมคิดว่านี่จะเป็นคำขวัญในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตที่จะใช้ในการยุติความขัดแย้งแตกแยกที่อาจก่อตัวขึ้นภายในพรรคในวันประชุมสมัชชาใหญ่เพื่อเสนอชื่อผู้เป็นผู้รับสมัครประธานาธิบดีต่อไป
ในฝ่ายรีพับลิกัน ไม่มีใครเสนอแนวทางคำขวัญอะไรในการตอบโต้เดโมแครตในเรื่องนี้ เพราะทุกอย่างในพรรคถูกควบคุมและกำกับโดยทรัมป์และคณะหมดสิ้น จึงไม่มีอะไรใหม่ที่จะเสนอ นอกเสียจากว่าทรัมป์จะเสนออะไรขึ้นมา พรรครีพับลิกันภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์จึงดูเหมือนกับพรรคการเมืองบ้านใหญ่ในการเมืองไทยปัจจุบันอย่างยิ่ง และนี่ก็จะเป็นดัชนีวัดความเป็นประชาธิปไตยในอเมริกาว่าจะดำเนินไปในสภาพอะไร จะเป็นดาวฤกษ์ส่องนำทางแก่ประชาธิปไตยทั่วโลกหรือเป็นดาวร่วงที่รอวันดับแสงเหมือนประเทศโลกที่สามต่อไป
กระแสความสนใจในตัว “กมลา แฮร์ริส” (Kamala Harris) เพิ่มขึ้นมาทันที หลังเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2024 “โจ ไบเดน” เขียนจดหมายถอนตัวอย่างเป็นทางการจากการเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2024 หลังจากก่อนหน้านี้ โจ ไบเดน ถูกตั้งคำถามมากมายถึงความพร้อมในการสู้ศึกเลือกตั้งสมัยที่ 2 ไม่ว่าจะด้วยผลงานดีเบตที่เพลี่ยงพล้ำให้แก่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ในรอบแรกเมื่อช่วงสิ้นเดือนที่ผ่านมา ตลอดจนปัญหาสุขภาพ และความแก่ชราของไบเดนในวัย 81 ปีที่แสดงออกมาชัดเจน พรรคเดโมแครต จึงตัดสินใจเปลี่ยนม้ากลางศึก เพื่อไม่ให้คะแนนนิยมตกต่ำไปมากกว่านี้ ซึ่งว่ากันว่าผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทนในครั้งนี้ก็คือ กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันนั่นเอง ไบเดน โพสผ่าน X ส่วนตัวว่า การถอนตัวครั้งนี้ เพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดต่อพรรคและประเทศชาติ พร้อมหนุนให้ แฮร์ริส เป็นผู้รับไม้ต่อในสู้ศึกเลือกตั้ง
ข้อสังเกตุ:
เนื่องจากชาวไทยได้รับข่าวจาก CNN NBC CBS MSNBC GOOGLE YAHOO FACEBOOK และอีกมาก ซึ่งเป็น Media ของพรรคดีโมแครท
ดังนั้นในประเทศไทยจะไม่ได้ข่าวที่ถูกต้องนัก เช่นในบทความข้างบนนี้ นางแฮริสไม่เป็นที่นิยมของชาวอเมริกันมากนัก
FOX News เท่านั้นที่เป็น Media ที่หนักไปทางพรรครีพับลิกัน สนับสนุน ประธานาธิบดีทรัมพ์ เท่าที่ผมสังเกตุดู ประชาชนอเมริกันส่วนมากสนับสนุน ประธานาธิบดีทรัมพ์ รวมทั้ง อรับมุสลิม ยิว และ คาโทลิค