JJNY : ปล้นรถหลวง บึ้มโรงพักในปัตตานี│สมยศจี้รับรายงาน│‘เขื่อนวังร่มเกล้า’ระบายนํ้าต่อเนื่อง│จ่ามีพัดขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์

อุกอาจ!! คนร้ายนับสิบ บุกอบต. จับ 4 จนท.มัดมือ-เท้า ปล้นรถหลวง บึ้มโรงพักในปัตตานี
https://www.matichon.co.th/region/news_4862283
  
 
อุกอาจ!! คนร้ายนับสิบ บุกอบต. จับ 4 จนท.มัดมือ-เท้า ปล้นรถหลวงทำคาร์บอมบ์ โรงพักในปัตตานี

เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 24 ตุลาคม ขณะที่ ร.ต.ท.วีรพงศ์ ทองงาม รอง สว.(สอบสวน) สภ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี กำลังปฎิบัติหน้าที่อยู่ในโรงพักปรากฏว่าได้เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำให้ตัวอาคารของโรงพักสั่นสะเทือนและมีเศษกระจกแตกตกเกลื่อนกระจายตกลงพื้น ต่อมาจึงทราบว่าได้เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ บนถนนข้างโรงพัก บริเวณติดกับที่ว่าการอำเภอปะนาเระ หมู่ 1 ตำบลปานาเระ

ทำให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในโรงพักจึงต้องรีบหนีออกจากตัวอาคารโรงพัก สภ. ก่อนจะพบว่ามีเพลิงกำลังลุกไหม้ซากรถยนต์ซึ่งเป็นรถคาร์บอมบ์ เจ้าหน้าที่จึงวางกำลัง และทำการปิดกั้นพื้นที่ รัศมี 200 เมตรทันที ปิดถนนเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะแจ้งให้ พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ปานบุญทอง ผกก.ทราบ

ขณะจุดเกิดเหตุพบเพลิงไหม้รถยนต์คันเกิดเหตุคาร์บอมบ์ พร้อมกับได้ประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด EOD เข้าตรวจสอบ รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้น นายมนชัย หนูสาย นายอำเภอปะนาเระ ซึ่งขณะเกิดเหตุอยู่ภายในบ้านพักฝั่งตรงข้ามที่ว่าการอำเภอและอยู่ห่างจากจุดระเบิดคาร์บอนเพียง 50 เมตร ได้รีบออกมาตรวจสอบสถานการณ์พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ระวังเหตุซ้ำซ้อน ที่อาจจะเกิดขึ้น ประมาณ 30 นาทีไฟที่ไหม้รถคาร์บอมได้ดับลง

ตรวจสอบเบื้องต้นไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต มีเพียงเจ้าหน้าที่สายตรวจ และ อส.ซึ่งกำลังเฝ้าเวรที่ป้อมมีอาการหูอื้อเท่านั้น

จากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุพบซากรถยนต์กระบะ 4 ประตู ยี่ห้อมิตซูบิชิ สีเทา ทะเบียน กค 4052 ปัตตานี ซึ่งเป็นรถของ อบต.บ้านน้ำบ่อ สภาพเหลือแต่ซาก แรงระเบิดทำให้ชิ้นส่วนรถกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ บางชิ้นกระเด็นตกลงหลังคาบ้านพักของ นายมนชัย หนูสาย นายอำเภอปะนาเระ จนแตกทะลุชั้นสองของบ้าน โชคดีที่ไม่มีใครได้รับอันตราย

นอกจากนี้ ยังทำให้ผนังอาคารไม้ที่ว่าการอำเภอปะนาเระหลังเก่าผังเสียหาย กระจกอาคารอำเภอหลังใหม่แตกทุกทั้ง กำแพงพังเสียหาย เช่นเดียวกับกระจกอาคารโรงพัก สภ.ปันาเระ ทั้ง 4 ชั้นแตกเสียหายหมด นอกจากนี้ยังทำให้รถยนต์และรถจยย.หลายคันใกล้ๆ เสียหายไปด้วย

ภายหลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ปานบุญทอง ผกก. สั่งการให้ชุดสืบสวนสอบสวน สภ.ปะนาเระ ได้เข้าไปตรวจสอบที่ทำการ อบต.บ้านน้ำบ่อ เนื่องจากรถคาร์บอมบ ที่คนร้ายนำมาก่อเหตุเป็นรถของ อบต.บ้านน้ำบ่อ ปรากฏว่าเมื่อไปถึงพบสิ่งผิดปกติเนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ดูแลด้านนอก อบต. และเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบภายในอาคาร อบต. พบว่ามีเจ้าหน้าที่และ รปภ.จำนวน 4 คน ถูกมัดมือมัดเท้าขังไว้ จึงได้รีบเข้าไปช่วยเหลือก่อนจะเชิญตัวมาสอบปากคำที่ สภ.ปะนาเระ ทราบชื่อ 1.นายมูฮัมหมัดซอฟี มิงซู 2.นายมาหามะ สาแม 3.นายอาหะมะ อาแว และ 4.นายมะฮูเซ็ง วานิ ซึ่งทั้ง 4 คนไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด จากการสอบสวนทราบว่า ช่วงเวลาประมาณ 23.00 น. ก่อนเกิดเหตุคาร์บอมประมาณ 1 ชั่วโมง ขณะที่ทั้ง 4 คนเข้าเวรดูแลความปลอดภัย ปรากฏว่ามีคนร้ายประมาณ 10 คนแต่งกายชุดดำปกปิดใบหน้าพร้อมอาวุธปืนยาวบุกเข้ามาพร้อมข่มขู่ไม่ให้เสียงดังก่อนจะจับทั้ง 4 คนมัดมือมัดเท้าแล้วบังคับให้นำกุญแจรถคันดังกล่าวให้ จากนั้นคนร้ายจึงรีบขโมยรถขับหนีออกไป โดยขังทั้ง 4 คนไว้ในอาคาร

จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด พบพฤติการณ์ของคนร้ายหลังจากขโมยรถขับออกจาก อบต.ก่อนจะหายไป จากนั้นกล้องจับภาพได้อีกครั้ง ขณะที่คนร้ายขับรถมาตามเส้นทางด้านหลังอำเภอ โดยมีคนร้าย 1 คนขับขี่รถ จยย.ตามหลัง 1 คัน และเมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุคนร้ายจึงได้จอดรถคาร์บอมไว้ ซึ่งเป็นถนนขั้นกลางระหว่างที่ทำการอำเภอปะนาเระและ สภ.ปะนาเระ คนร้าย 1 คนออกจากรถแล้วรีบขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถ จยย.ก่อนจะขับหลบหนีกลับไปเส้นทางเดิม

ประมาณ 5 นาทีคนร้ายจึงได้กดชนวนระเบิดแสวงเครื่อง น้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัมขึ้น จนเกิดความเสียหา ยแต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ทำการเก็บรวบรวมวัตถุพยานพร้อมตรวจสอบหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามคนร้ายต่อไป

ส่วนคนร้ายที่ก่อเหตุนั้น เบื้องต้น ชุดสืบสวนสอบสวนคดีความมั่คง ระบุว่า เหตุครั้งนี้เชื่อว่าเป็นฝีมือของ กลุ่มนายอับดุลเลาะ มูดอ ซึ่งเป็นมือระเบิดที่เคยก่อเหตุมาแล้วในพื้นที่ เนื่องจากพบว่า เมื่อวันที่ 8 พค. 2556 คนร้ายเคยบุกเข้าไปปล้นรถกระบะของ อบต.บ้านน้ำบ่อมาแล้ว แต่ยังไม่พบว่ารถคันดังกล่าวคนร้ายนำไปก่อเหตุใดบ้าน และเชื่อว่าเหตุคาร์บอมครั้งนี้น่าจะเชื่อมโยงกับคดีตากใบ ซึ่งคนร้ายมีความพยายามตอบโต้เพื่อสร้างสถานการณ์



สมยศ บุกสภา จี้รับรายงาน นิรโทษกรรม เชื่อ ยุติความขัดแย้ง ประเทศเดินหน้าได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4862347
 
‘เครือข่ายนิรโทษฯ’ ยื่นหนังสือถึง ‘ประธานสภา-ประธาน กมธ.ฯ’ จี้ รับรายงานนิรโทษกรรม ด้าน ‘สมยศ’ เชื่อ ยุติความขัดแย้ง ประเทศเดินหน้าได้ ชี้ หากไม่มีนักเคลื่อนไหว ก็ไม่ได้เป็น ส.ส.ในสภาฯ

เวลา 09.30 น. วันที่ 24 ตุลาคม ที่รัฐสภา ตัวแทนเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน เข้ายื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญเพื่อศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)นิรโทษกรรม สภาฯ โดยมี น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ส.ส. กทม. พรรคประชาชน ในฐานะ กมธ.ฯ เป็นผู้รับหนังสือ เพื่อเรียกร้องให้ที่ประชุมสภาฯ รับรายงานและผลการศึกษาของ กมธ.ฯ ที่จะมีการลงมติในวันนี้(24 ต.ค.) ทั้งนี้เห็นว่าควรที่จะนิรโทษกรรมให้กับผู้ต้องหาทางการเมืองที่เกี่ยวกับมาตรา 112 และขอส่งตัวแทนเครือข่ายฯ 15 คน เข้าสังเกตการณ์การประชุมสภาฯ เพื่อติดตามการพิจารณาในวันนี้ด้วย
 
ขณะที่ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตผู้ถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 กล่าวว่า คนที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 เป็นผลสืบเนื่องจาก การทำรัฐประหาร 2549 ซึ่งเป็นผลมาจากการต่อสู้ปกป้องพรรคการเมือง ไม่ให้ถูกรัฐบาลเผด็จการยุบพรรค รวมถึงการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
 
เพราะฉะนั้นพวกตนในฐานะเป็นประชาชนที่ออกมาต่อต้านและแสดงความคิดเห็น แต่กลับโดนกล่าวหา จึงขอให้ทุกพรรคการเมืองได้รับทราบ ถ้าไม่มีพวกเขาเหล่านั้น เราก็จะไม่มีการเลือกตั้งถึงสองครั้ง ประเทศไทยจะตกอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบเผด็จการ และไม่มี ส.ส. ทุกพรรคการเมืองในสภาฯ
 
นายสมยศ กล่าวต่อว่า ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีที่พรรคการเมือง จะคืนความเป็นธรรม ด้วยการนิรโทษกรรมโดยไม่ยกเว้นคดีใด โดยเฉพาะคดีมาตรา 112 ที่ปัจจุบันมีถึง 280 คน ที่ถูกกล่าวหา และ ถูกจองจำถึง 42 คน ดังนั้น วันนี้พวกตนขอให้สภาผู้แทนราษฎร รับรองรายงานของกรรมาธิการ ที่มีนายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นประธานกมธ.ฯชุดนี้
 
จึงไม่มีเหตุผลใดที่พรรคเพื่อไทยจะไม่รับรายงานฉบับนี้ และทุกพรรคการเมืองก็อยู่ในกมธ.ฯชุดนี้ จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะคว่ำรายงานฉบับนี้เช่นกัน เพราะใช้เวลาในการศึกษาไปแล้วถึง 6 เดือน มีการประชุมหารือกับทุกฝ่ายไปแล้ว จึงขอให้สภาฯ มีความกล้ารับรายงาน ฉบับนี้ อย่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลที่ชักนำหรือชี้นำ เพื่อรักษา ระบบรัฐสภา และกระบวนการนิติบัญญัติเอาไว้ และเชื่อว่าหากมีการนิรโทษกรรมจะยุติความขัดแย้งต่างๆ และประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปได้


 
อ่วมอีก! ‘เขื่อนวังร่มเกล้า’ ระบายนํ้าต่อเนื่อง ไหลท่วมบ้านเรือนริมแม่น้ำสะแกกรังเข้าสู่วันที่ 3
https://www.dailynews.co.th/news/4005286/
 
อ่วมอีก! ‘เขื่อนวังร่มเกล้า’ ระบายนํ้าต่อเนื่อง ไหลท่วมบ้านเรือนริมแม่น้ำสะแกกรังเข้าสู่วันที่ 3

เขื่อนวังร่มเกล้า จ.​อุทัยธานี เร่งระบายนํ้าต่อเนื่อง ทำให้ช่วงเช้าที่ผ่านมามวลนํ้าได้ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน อยู่ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรังเข้าสู่วันที่ 3 ต้องขนของหนีกันจ้าละหวั่น

เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ ที่จ.อุทัยธานี จากสถานการณ์น้ำป่าจากอุทยานแห่งชาติมาวงก์และการระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองโพธิ์ ลงสู่แม่น้ำตากแดด เหนือเขื่อนวังร่มเกล้าอย่างต่อเนื่อง​ ส่งผลให้ปริมาณน้ำสูงเกินกว่าที่เขื่อนวังร่มเกล้าจะรับได้ ทำให้ทางโครงการชลประทานอุทัยธานี จึงต้องเร่งระบายน้ำลงสู่ท้ายเขื่อนอย่างเต็มกำลัง โดยระดับน้ำเหนือเขื่อน และท้ายเขื่อน​ ​ขณะนี้อยู่ที่ 27.10 ม.รทก. ระดับน้ำท้ายเขื่อน​ ระบายน้ำอยู่ที่ 381.22 ลบ.ม./วินาที

ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยา​ ที่สถานี C2 มีการระบายน้ำอยู่ที่ 1,816 ลบ.ม./วินาที​ ทำให้แม่น้ำสะแกกรัง มีระดับน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 18.19 ม.รทก. สูงกว่าตลิ่ง 0.05 เมตร

ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำสะแกกรังที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง บางส่วนขนของหนีไม่ทัน ขณะที่ฝั่งตรงข้ามวัดอุโปสถาราม หรือ วัดโบสถ์​ สถานที่ท่องเที่ยว​สำคัญ​ ยังไม่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังมีบ้านเรือนที่อยู่ริมน้ำตีนสะพานพัฒนาภาพเหนือ เขตเทศบาล​เมืองอุทัยธานี ถูกน้ำท่วมสูง 50-60 เซนติเมตร บ้านเรือนชั้นล่างไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ต้องต่อสะพานเพื่อเดินสัญจรเข้าออกบ้านเรือน อีกด้วย

โดยชาวบ้านในพื้นที่ เล่าว่า ในพื้นที่ถูกน้ำเอ่อล้น​เข้าท่วมมาได้ 3 วัน และยังกังวลว่าน้ำจะเพิ่มระดับสูงขึ้นอีก จึงต้องตัดสินใจทำสะพานไม้ลอยน้ำ เพื่อใช้เป็นทางเดินเข้าออกบ้านและร้านอาหาร บรรเทาความเดือดร้อน​ในช่วงนี้.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่