บั้งไฟพญานาค กับคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์

พอดีเห็นอาจารย์เจษ เจษฎา เด่นดวงบริพันธุ์ โพสเรื่องบั้งไฟพญานาค เลยอยากจะออกมาโพสเรื่องนี้ในมุมวิทยาศาสตร์

ความจริงแล้วในทางวิทยาศาสตร์เอง เคยมีการศึกษาเรื่องนี้ โดย นายแพทย์ มนัส กนกศิลป์ กล่าวในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2538 ว่า

บั้งไฟพญานาคน่าจะเป็นสสาร และจะต้องมีมวล เพราะแหวกนํ้าขึ้นมาได้ จึงน่าจะเป็นก๊าซไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จุดติดไฟได้เอง และต้องเบากว่าอากาศ" เขายังพบว่าความเป็นกรดด่างของน้ำในแม่น้ำโขงสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่จะเกิดการหมักมีเทน ซึ่งเขาเคยไปวางทุ่นดักก๊าซในแม่น้ำโขง และพบว่าก๊าซที่ดักได้ในแม่น้ำโขงสามารถนำไปจุดติดไฟ จะเกิดการพุ่งวูบขึ้นมีสีออกเป็นแดงอมชมพู

ส่วนคำถามที่ว่าทำไมบั้งไฟพญานาคถึงเกิดในช่วงออกพรรษานั้น นายแพทย์ มนัส อธิบายว่า

คืนนั้นมีอ็อกซิเจน ก๊าซที่ช่วยให้ติดไฟสูงสุดในรอบปี ซึ่งก็เกิดจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงพลังงานรังสีของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลก

มีคำอธิบายที่คล้ายกันเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ใกล้เคียงในฟิสิกส์พลาสมา (plasma physics) โดยเป็นลูกพลาสมาลอยอิสระซึ่งสร้างจากไฟฟ้าสถิต (เช่น จากตัวเก็บประจุ) ถูกปล่อยสู่สารละลาย[6] ทว่า การทดลองบอลพลาสมาส่วนใหญ่กระทำโดยใช้ตัวเก็บประจุค่าแรงดันสูง ตัวกำเนิดสัญญาณไมโครเวฟหรือเตาอบไมโครเวฟ มิใช่ภาวะธรรมชาติ

ทั้งนี้เนื่องจากว่า เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเองในแกนที่เอียงทำมุม 23.5 องศา กับดวงอาทิตย์ทำให้ซีกโลกในเวลากลางคืนของประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูด 15-45 องศาเหนือและองศาใต้ อยู่ห่างจากแนวแรงรวมของแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ โลก และดวงอาทิตย์ไม่เกิน 25 องศาในวันขึ้น 15 ค่ำเดือนกันยายน,ตุลาคม ,เมษายน และพฤษภาคม ทำให้มีปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นในหลายประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว

หลังจากใช้เวลาหมัก 3-6 ชั่วโมง จะได้ก๊าซมีเธนปริมาณมากพอที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าซ ใต้ผิวทรายอย่างน้อย 1.45 เท่าของความดันอากาศ หล่มทรายก็จะไม่สามารถปรับแรงดันได้ ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ ฟองก๊าซที่โตกว่า 15 CC. (ขนาดหัวแม่มือ) ลอยสูงขึ้นไปกระทบกับอนุภาคออกซิเจนกับอะตอมที่มีประจุที่มีพลังงานสูงและมีความหนาแน่นมากพอ และเมื่อลอยสูงขึ้นมาผ่านพ้นผิวนํ้าจะเหลือขนาดแค่ 12 ซีซี ช่วงนี้เองที่จะเริ่มติดไฟได้ด้วยตัวเอง จนเกิดเป็นบั้งไฟพญานาค

แต่ทฤษฎีของคุณหมอมนัสนี้ ก็ได้ถูกโจมตีด้วยว่า พื้นดินใต้แม่น้ำโขงนั้นเป็นดินแข็ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการหมักหมมของมีเทน

ทั้งนี้เคยมีรายงานว่า เคยพบลูกไฟที่มีลักษณะคล้ายบั้งไฟพญานาค ได้แก่มลรัฐมิสซูรี่ (ห่าง 20 องศา ไปทางเหนือในเวลากลางคืน ) มลรัฐเท๊กซัสตอนใต้ของสหรัฐ (ห่าง11.5 องศา ไปทางเหนือในเวลากลางคืน) ซึ่งเรียกว่า แสงมาร์ฟา (www.marfalights.com) ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นมามากกว่า 100 กว่าปีแล้ว และยังมีลักษณะการเกิดเช่นเดียวกันกับการเกิดบั้งไฟพญานาคของไทย และที่เมืองเจดด้าห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ริมฝั่งทะเลแดง (ห่าง 0.5 องศาไปทางเหนือในเวลากลางคืน)

ในอีกมุมหนึ่ง อาจารย์เจษ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธุ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า บั้งไฟพญานาคอาจเกิดจากกระสุนส่องแสง ยิงขึ้นท้องฟ้า โดยอาจารย์เจษตั้งข้อสงสัยว่า บั้งไฟพญานาคนั้นเกิดขึ้นเฉพาะจุด โดยเฉพาะทางฝั่งลาว บริเวณหมู่บ้านห้วยสายพาย ซึ่งจะทำให้คนไทยสามารถมองเห็นบั้งไฟพญานาคได้ 4 จุด คือบริเวณบ้านท่าม่วง บ้านตาลชุม บ้านหนองแก้ว บ้านดงมดแดง อ.กุมภวาปี จ.หนองคาย โดยทุกจุดนับได้ 40 ลูกเท่ากันหมด แต่พอเข้าตารางก็นับรวมกันทั้งหมด 4 จุด เป็น 160 ลูก ซึ่งมัรควรจะเป็น 40 ลูก เพราะมันเกิดจากจุดเดียวกัน เวลาเดียวกัน แต่สังเกตุคนละจุด




แผนที่สองฝั่งแม่น้ำโขง แสดงตำแหน่งบ้านห้วยสายพาน สปป ลาว และจุดชมบั้งไฟพญานาคฝั่งไทย 4 จุด


ข้อมูลการพบเห็นบั้งไฟพญานาคจาที่ทำการปกครอง จ.หนองคาย

ปล.ขออนุญาตแทกห้องดาราศาสตร์ เพราะอยากให้คุณ Partita เข้ามาร่วมกันพูดคุยเรื่องนี้ด้วย

ปล.2 ส่วนตัวมองว่าควรจะต้อมมีการพิสูจน์เรื่องนี้ให้เคลียร์ เมื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเชื่อที่งมงาย แต่ควรจะอนุรักษ์ไว้เพื่อการท่องเที่ยว หมายความว่าหากการพิสูจน์พบว่าบั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติหรือเกิดจากฝีมือมนุษย์ ก็ควรที่จะอธิบายตรงๆไปเลยว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วให้เข้าใจในมุมมองว่าเป็นการเฉลิมฉลองวันออกพรรษาแทน เพื่อโปรโมทการท่องเที่ยว

ข้อมูลจาก : https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/159136

เพจเฟสบุ๊ค อาจารย์เจษฎ์ : https://www.facebook.com/share/p/yEfiUMZSXevyx6zx/?mibextid=oFDknk
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่