JJNY : 5in1 แถลงการณ์หน้าUN│ยิ่งชีพมองเหตุปิดสภา│ผู้เชี่ยวชาญUN กังวลการตายของบุ้ง│เกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคาม│จีนอ่วมหนัก

สมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิม อ่านแถลงการณ์หน้า UN เรียกร้องติดตามคดีตากใบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4853515


สมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิม อ่านแถลงการณ์หน้า UN เรียกร้องติดตามคดีตากใบ-สนับสนุนกระบวนการยุติธรรรม

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 15.30-16.00 น. กลุ่มสมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิมแห่งประเทศไทย (MUSTFETH) นำโดย นายมูฮัมหมัดชัยฟู วานิ ประธานสมาพันธ์ฯ และคณะประมาณ 40 คน รวมตัวบริเวณหน้า UN และทำกิจกรรมยืนถือป้ายข้อความ อาทิ #ตากใบต้องไม่เงียบ

พร้อมเขียนแสดงความคิดเห็นบนกระดาษ ในหัวข้อ อยากบอกอะไรกับกระบวนการยุติธรรมไทย

จากนั้น อ่านแถลงการณ์ ล้อมวงร้องเพลง ฮ่ารูวะเพื่อเป็นการไว้อาลัยและรำลึกเกียรติผู้เสียชีวิตเมื่อเหตุการณ์สลายการชุมนุมให้กับเสียชีวิต 78 รายหน้าศาล จ.สงขลา และยืนถือป้ายข้อความหน้าป้าย UN จากนั้นเดินทางกลับเวลา 16.30 น.

ทั้งนี้จากเพจ “สมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิมแห่งประเทศไทย (MUSTFETH)” ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า

แถลงการณ์

สมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิมแห่งประเทศไทย ต่อองค์การสหประชาชาติ (UN)

ในวันที่ 25 ต.ค. 2547 ที่ได้มีการสลายการชุมนุมของประชาชนที่มาชุมนุมหน้าสถานีตำรวจ ส.ภ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส มีผู้เสียชีวิตทันที 7 คนในเหตุการณ์การสลายการชุมนุม ซึ่ง 5 จาก 7 คนมีผลพิสูจน์ทางนิติเวชที่บ่งชี้ว่าเสียชีวิตจากการถูกยิงที่ศีรษะ และหลังจากนั้นได้ มีการจับตัวแล้วลำเลียงประชาชน 1,300 กว่าคน ในสภาพถอดเสื้อ มัดมือไพล่หลัง และซ้อนทับกันสามถึงสี่ชั้นบนรถบรรรทุก โดยอยู่ในสภาพ ดังกล่าวเป็นเวลากว่าหกชั่วโมงเพื่อไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี ทำให้มีผู้เสียชีวิตระหว่างลำเสียงถึง 78 คน ทั้งยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นพิการอีกจำนวนไม่น้อย และอีกนับร้อยที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่หรือต้องอยู่อย่างหวาดระแวง ซึ่งความสูญเสียและ ผลกระทบทั้งหมดเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่สลายการชุมนุมรุนแรงเกินกว่าหตุ

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาผู้เสียหายจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ตากใบจำนวน 48 คน ได้ร่วมแจ้งความดำเนินคดีอาญาต่อเจ้าที่ของรัฐและผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจต่อเหตุการณ์ฯ ณ เวลานั้น และในวันที่ 23 สิ่งหาคม พ.ศ 2567 ศาลจังหวัดนราธิวาสได้รับฟ้องจำเลยจำนวน 7 คน แต่จำเลยทั้ง 7 คนไม่ได้มาตามนัด ศาลจึงพิจารณาออกหมายจับ

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2567 ศาลจังหวัดนราธิกาสได้เปิดพิจารณาคดีในเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ตากใบ แต่จำเลยทั้ง 7 คน ไม่ได้มาตามนัดอีกเช่นกัน โดยที่คดีความจะหมดอายุในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2567 ในอีกไม่กี่วันนับจากนี้ แต่จนวินาทีนี้ก็ยังไม่มีรายงานความคืบหน้าในการจับกุมจำเลยแต่อย่างใด

สมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิมแห่งประเทศไทย ขอเรียกร้องต่อองค์การสหประชาชาติดังนี้

1.ขอเรียกร้องให้ UN ให้ความสำคัญในการติดตามและตรวจสอบการพิจารณาคดีการสลายการชุมนุมที่ตากไบของกระบวนการยุติธรมไทยอย่างเร่งด่วน เพื่อให้มีความโปร่งใส และเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

2.ขอเรียกร้องให้ UN และประชาคมระหว่างประเทศให้การสนับสนุนกระบวนการยุติธรรรม และกลไกการฟื้นฟูความยุติธรรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจแก่ประชาชน

3.ขอเรียกร้องให้ UN และประชาคมระหว่างประเทศสนับสนุนการสร้างพื้นที่สำหรับประชาชนในการแสดงความคิดอย่างเสรี มีเสร็ภาพในการแสดงออกทางการเมือง ตลอดจนส่งเสริมและปกป้องสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน

ดังนั้น สมาพันธ์นิสิตนักศึกษามสลิมแห่งประเทศไทย ขอส่งเสียงให้องค์การสหประชะชาชาติและประชาคมระหว่างประเทศได้ร่วมกันสนับสนุนและเฝ้าติดตามกระบวนการยุติธรรรมไทย ให้ดำเนินไปด้วยความโปร่งใส และให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษตามกฎหมาย เพื่อป้องกันให้เกิดวาทกรรมลอยนวลพ้นผิดอย่างที่เคยเป็นมา

ด้วยความเคารพ

สมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิมแห่งประเทศไทย

https://www.facebook.com/mustfeth/posts/pfbid02jjkNayzx2QhoheLueqgF3zCbgFEKbvup3Yd6KzsVVW456MB3VTYLW6xhzfVDfzDPl



ยิ่งชีพ มองเหตุปธ. สั่งปิดสภา ทำนิรโทษค้างเติ่ง ชี้ผลศึกษาชัดแล้ว ขาดแค่ความกล้าหาญ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4853050
 
ยิ่งชีพ มองเหตุปธ. สั่งปิดสภา ทำนิรโทษค้างเติ่ง ชี้ผลศึกษาชัดแล้ว ขาดแค่ความกล้าหาญ ลุยโหวต

จากกรณีที่ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม ได้สั่งปิดการประชุมระหว่างการพิจารณารายงานของคณะกมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่มี นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เป็นประธานกมธ. เนื่องจากมีการถกเถียงระหว่าง สมาชิกเร่งให้ลงมติ แต่กมธ.ยังขอเวลาชี้แจง ทำให้ต้องเลื่อนการลงมติออกไปนั้น
 
ล่าสุด (18 ต.ค.) นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผอ.โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ iLaw ได้โพสต์ผ่านเฟสบุ๊กถึงเรื่องดังกล่าวว่า 

เป็นเรื่องที่เข้าใจได้มากว่า พรรคเพื่อไทยไม่อยากโหวต กระทั่งแค่รับรายงานนิรโทษกรรม เพราะโดนกดดันมากจากพรรคร่วมที่ดันไปเลือกจับมือด้วย ทั้งที่ก็อาจจะอยากโหวตรับ
 
แต่ก็เป็นเรื่องที่คาดหมายได้ว่า ถ้า ส.ส. พรรคเพื่อไทย จะโหวตไม่เห็นด้วยก็เป็น เรื่องแปลกมากไปอีก ในเมื่อเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลที่เสนอให้ตั้งกมธ.ขึ้นเอง ประธานกมธ. ก็รองหัวหน้าพรรค ในกมธ. ก็มีส.ส. ของพรรค และคนที่พรรคตั้งมาเต็มไปหมด ซึ่งโหวตต่างกันแตกเป็นหลายแบบ เท่ากับว่า หากโหวตไม่รับก็หักหน้าตัวเองหรือหักหน้ากันเอง
 
ขณะที่ พวกพรรค อย่าง ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ พร้อมโหวต (ว่าไม่เห็นด้วย) พรรคส้ม ก็พร้อมโหวต (ว่าเห็นด้วย) แต่ท่านประธานจากพรรคเพื่อไทยก็เลยสั่งปิดประชุมเลย
 
ถ้าเชื่อมั่นในกระบวนการของสภา และเห็นควรศึกษารายละเอียดเรื่องที่อ่อนไหวจริง เขาศึกษามาแล้วเสนอมาแล้วรัฐบาลก็ควรต้องรับๆไป ข้อสรุปของรายงานเรื่อง 112 เอาจริงก็คือไม่สรุป แต่ก็ยังไม่กล้ายอมรับว่าไม่ได้สรุป
สถานการณ์ทั้งหมดเข้าใจได้ เพราะถูกกดดันหลายทาง ทักษิณก็เพิ่งมีนัดสืบพยานคดี 112 ทำให้ พรรคเพื่อไทย “ไม่กล้า” ทำอะไร แต่ก็เป็นความจริงว่า ตอนนี้เหตุและผล มันนำเสนอกันไปหมดแล้ว ที่ขาดจริงๆ มีแค่ความกล้าหาญเท่านั้น
และที่สงสัยคือ สัปดาห์หน้าพอเปิดประชุมมา ก็ต้องโหวตเลย คราวนี้ จะหาเรื่องอะไรมาเลื่อนอีก น่าจะหาไม่ได้แล้ว แต่ถ้าดันยิ้มหาได้ขึ้นมาคราวนี้จะยาวไปลุ้นใหม่ธันวาคมเลย
 
ในการโหวตของกมธ.นิรโทษกรรม แม้จะมีทางเลือก “งดออกเสียง” และมีทางเลือกแบบ “ตั้งเงื่อนไข” อยู่ด้วยแล้ว แต่ต้องขอย้ำว่า คนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงยืนยันว่า การนิรโทษกรรมต้องไม่รวม 112 แบบ “เด็ดขาด”

คนอย่าง ไพบูลย์ นิติตะวัน หรือลอรี่ พวกนี้รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา คือ ทำให้รวม 112 ไม่ได้อย่างเด็ดขาด แต่ขอย้ำว่ามีชื่อที่น่าสนใจพอสมควร เช่น นพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ, วุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ที่ตอนประชุมเหมือนจะเข้าใจพูดดีตลอด, นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความคนเสื้อแดงหลายๆ คดีที่เคยต่อสู้คดีในยุคคสช.
 
https://www.facebook.com/pow.ilaw/posts/pfbid02ZozZskgDVtVx7Nr6NoU1sTnKPuTSXpv93PVrRBKSi1DMyGJpYcoHGWEUsgsoSz7cl
 

 
ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิ UN กังวลการตายของ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ เรียกร้องรัฐบาลชี้แจง
https://prachatai.com/journal/2024/10/111099

ผู้รายงานพิเศษภายใต้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของ UN ส่งจดหมายถึงรัฐบาลไทยแสดงความกังวลต่อการเสียชีวิตในเรือนจำของ เนติพร หรือ “บุ้ง ทะลุวัง” และเรียกร้องให้ชี้แจงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าในการสืบสวนการเสียชีวติและการดำเนินคดีม.112 และ ม.116 ต่อบุ้งด้วย 
 
18 ต.ค.2567 เว็บไซต์ของผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ เผยแพร่จดหมายที่ส่งถึงรัฐบาลไทยแสดงความกังวลและขอข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ทะลุวัง ในฐานะเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวหญิง ที่เสียชีวิตหลังการอดอาหารประท้วงขณะที่ถูกคุมขังและรักษาพยาบาลอยู่ในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ โดยให้รัฐบาลไทยตอบกลับใน 60 วัน 
 
โดยไม่ประสงค์ที่จะตัดสินความถูกต้องของข้อมูลที่ได้รับ เราขอแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อการเสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัวของเนติพร เสน่ห์สังคม นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวหญิง ซึ่งเสียชีวิตได้ไม่นานหลังจากอดอาหารประท้วงช่วงระยะเวลาหนึ่งขณะส่งเสริมสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ ความกังวลของเรายังประกอบกับข้อเท็จจริงที่เนติพรถูกควบคุมตัวเนื่องจากเธอทำกิจกรรมไม่ใช้ความรุนแรงและสนับสนุนการปฏิรูปประชาธิปไตยและการเมือง” ผู้รายงานพิเศษระบุในจดหมาย
 
ผู้รายงานพิเศษได้ระบุข้อเรียกร้องไว้ด้วยว่าให้รัฐบาลยุติดำเนินคดีต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและพลเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวอย่างสงบและชอบธรรมด้วยกฎหมายอาญาโดยเฉพาะข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์
 
เราขอย้ำเตือนว่าเมื่อเกิดผู้เสียชีวิตระหว่างควบคุมตัวในรัฐ ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่าเจ้าหน้าที่รัฐทำให้เกิดการเสียชีวิตตามอำเภอใจ ซึ่งการจะหักล้างข้อสันนิษฐานนี้ได้จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการสืบสวนสอบสวนอย่างเหมาะสมเท่านั้น และเราขอเรียกร้องให้ดำเนินการสอบสวนการเสียชีวิตของเนติพรตามมาตรฐานสากลรวมถึงพิธีสารมินนิโซตาว่าด้วยการสอบสวนการเสียชีวิตที่อาจผิดกฎหมาย
 
จดหมายฉบับนี้ลงวันที่ในการส่งถึงรัฐบาลไทยไว้ตั้งแต่เมื่อ 6 ส.ค.2567 โดยเนื้อหาผู้รายงานพิเศษในด้านต่างๆ ที่ร่วมกันลงนามในจดหมายฉบับนี้ ระบุถึงความกังวลต่อการเสียชีวิตของเนติพรซึ่งออกมาเคลื่อนไหวทั้งในประเด็นการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมาย “หมิ่นประมาทกษัตริย์” และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประเด็นที่กลไกพิเศษของยูเอ็นเคยแสดงความกังวลถึงการใช้กฎหมายมาตรา 112 ในการดำเนินคดีอาญาต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์และใช้สิทธิเสรีภาพของพวกเขามาก่อนแล้ว
 
ในจดหมายได้ระบุถึงลำดับเวลาเหตุการณ์นับตั้งแต่เนติพรออกมาเคลื่อนไหวโดยการร่วมทำกิจกรรมสำรวจความเห็นประชาชนเรื่องขบวนเสด็จที่ทำให้เธอถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 ตั้งแต่ปี 2565 และการอดอาหารประท้วงครั้งแรกเป็นเวลา 64 วันของเธอในเรือนจำและต่อมาศาลให้ประกันตัว จนกระทั่งเธอถูกดำเนินคดีอีกครั้งจากการทำกิจกรรมพ่นสีประท้วงเมื่อ 6 ก.ย.2566 ที่กระทรวงวัฒนธรรม ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งถอนประกันเนติพรในคดีทำโพลด้วยเหตุผลว่าเธอละเมิดเงื่อนไขประกันที่จะไม่กระทำการที่เป็นการเสื่อมเสียต่อสถาบันกษัตริย์เพราะพ่นสีลงบนธงประจำพระองค์และทำให้เธอถูกคุมขังตั้งแต่ 26 ม.ค.2567 และเริ่มอดอาหารประท้วงในวันรุ่งขึ้น
 
จากการอดอาหารประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและยุติการคุมขังคนที่ออกมาใช้สิทธิ์แสดงความคิดเห็นของเนติพร ทำให้เธอต้องถูกย้ายไปมาระหว่างทัณฑสถานหญิงกลางกับโรงพยาบาลราชทัณฑ์เพราะมีสภาวะโลหิตจางและความดันต่ำและเธอต้องกลับมาเริ่มทานอาหารและดื่มน้ำอีกครั้งในวันที่ 4 เม.ย.

แต่ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอ ทำให้วันที่ 14 พ.ค.ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) ในเวลา 6.20 น.ในสถานคุมขัง ทางเจ้าหน้าที่พยาบาลแจ้งว่าได้พยายามกู้ชีพแล้วแต่ไม่สำเร็จ จากนั้นเธอถูกส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติในเวลา 9.30 น.และต่อมาทางโรงพยาบาลจึงประกาศเสียชีวิตเป็นทางการในเวลา 11.22 น. และระบุว่า เนติพรถูกส่งมาถึงโรงพยาบาลโดยไม่มีสัญญาณชีพแล้วและมีการ “ใส่ท่อช่วยหายใจผิด” (faulty intubation)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่