โชห่วย โอดกำลังซื้อ ‘เงินหมื่น’ เริ่มแผ่ว จี้รัฐกระตุ้นเพิ่ม เผยสินค้าจ่อปรับราคาเพียบ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4851942
โชห่วย โอดกำลังซื้อ ‘เงินหมื่น’ เริ่มแผ่ว จี้รัฐกระตุ้นเพิ่ม เผยสินค้าจ่อปรับราคาเพียบ
วันที่ 17 ตุลาคม นาย
มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่ง จังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า ผลตอบรับโครงการแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาล ทำให้ยอดขายสินค้าภายในร้านเพิ่มขึ้นวันละ 10-15% ในช่วงระหว่างวันที่ 25 กันยายนถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2567 แต่หลังจากนั้นเริ่มแผ่วลง เหลือเพิ่มขึ้นวันละ 5-6% ส่วนใหญ่ลูกค้าซื้อสินค้าที่เป็นของกินของใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งซื้อเพื่อใช้เองหรือซื้อเพื่อนำไปขายปลีกสำหรับร้านค้าที่เป็นเครือข่ายอยู่ต่างอำเภอ อย่างไรก็ตามการที่ยอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าว ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะที่ร้านมีการจัด Local Low Cost รอบพิเศษ นำสินค้าอุปโภคบริโภคลดราคา 20-30% ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนถึงวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา
“
การแจกเงิน 10,000 บาทถือว่าช่วยกระตุ้นยอดขายได้ระดับหนึ่งในช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น อยากให้รัฐบาลออกโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟสสองอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นโครงการอื่นที่ไม่ใช่แจกเงิน 10,000 บาทก็ได้ เช่น คนละครึ่ง เพื่อให้เกิดพายุหมุนเศรษฐกิจได้หลายๆรอบ แต่เราคงไม่รอรัฐ ในวันที่ 1-10 พฤศจิกายนนี้ ผู้ประกอบค้าปลีกและค้าส่ง 90 ร้านค้าทั่วประเทศจะจัดลดราคาสินค้า กระตุ้นกำลังซื้อโค้งสุดท้ายของปีนี้” นาย
มิลินทร์กล่าว
นาย
มิลินทร์กล่าวว่าสถานการณ์ราคาสินค้าในปัจจุบัน มีบางรายการปรับราคาขึ้น เช่น กะทิกล่อง ปรับขึ้น 3 บาทต่อกล่อง ยังมีโอวัลตินและกาแฟสำเร็จรูป รวมถึงต้องดูปลายปีนี้ คาดว่าจะมีสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำตาลจะทยอยปรับราคาขึ้นอีกจำนวนมาก หลังภาษีความหวานระยะที่ 4 เริ่มใช้เดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นไป
นาย
มิลินทร์กล่าววถึงการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปีว่า ถือเป็นเรื่องดีและเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมในรูปแบบหนึ่ง เนื่องจากจะช่วยลดภาระประชาชนที่มีหนี้ที่ต้องจ่ายให้กับธนาคารในแต่ละเดือนลดลงไปได้ แม้จะไม่มาก แต่จะทำให้สามารถมีเงินเหลือที่จะนำมาจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันได้ รวมถึงยังช่วยผู้ประกอบการในการลดต้นทุนและเพิ่มการลงทุนใหม่ได้อีกด้วย
นาย
สมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง- ปลีกไทย เปิดเผยว่า กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี ทำให้ลดภาระหนี้ ทั้งผู้ทำธุรกิจและประชาชนทั่วไปที่เป็นหนี้กับแบงก์ ทำให้มีเงินเหลือที่จะนำมาใช้จ่ายเพิ่มได้ แต่คงไม่มาก และลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ แต่ถ้าลดได้ 0.50% ต่อปี จะดีมากยิ่งขึ้น
“
สถานการณ์กำลังซื้อ ยังไม่ดีขึ้นมากนัก แม้จะมีการแจกเงิน 10,000 บาท แต่ก็ช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมาไม่มาก และเป็นแค่ช่วงสั้นๆ เพราะโชห่วยคงไม่ได้อานิสงส์จากโครงการนี้มากนัก ตอนนี้เริ่มสินค้าขึ้นราคาบ้างแล้ว เช่น โอวัลติน กาแฟสำเร็จรูป กระทิกล่อง ที่ขึ้นไปแล้วก่อนหน้านี้ ยังต้องลุ้นไตรมาสสุดท้ายนี้ซึ่งเป็นไฮซีซั่นกำลังซื้อจะคึกคักขึ้นหรือไม่” นาย
สมชายกล่าว
เลขาฯปธ.สภา ยัน ไม่มีคนไทยถูกฮามาสคุมขังแล้ว เตือนคนไทยในอิสราเอลออกห่างพื้นที่เสี่ยง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4852451
เลขาฯปธ.สภา ยัน ไม่มีคนไทยถูกกลุ่มฮามาสคุมขังแล้ว เตือนคนที่ยังอยู่ในอิสราเอลออกห่างพื้นที่เสี่ยง หวั่นเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น
เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 18 ตุลาคม ที่รัฐสภา นาย
มุข สุไลมาน เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศอิสราเอลว่า ขณะนี้มีความเข้าใจผิดอยู่ว่า ยังมีคนไทยที่ถูกกักขังอยู่ในกลุ่มฮามาส 8 คน ซึ่งตนได้รับรายงานว่า ไม่มีแล้ว แต่คนไทยหลงเหลืออยู่นั้น ตนไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน แต่ไม่ได้อยู่ในที่คุมขังของกลุ่มฮามาสแน่นอน
ส่วนที่มีนักวิชาการระบุว่า หากคนไทยไม่อยากกลับตอนนี้ และยังอยากทำงานที่อยู่บนความเสี่ยงจึงอยากให้รัฐบาลไทยเสนอไปยังรัฐบาลอิสราเอลให้อาวุธกับคนไทย เสมือนหนึ่งเป็นการปกป้องตนเองนั้น นายมุข ระบุว่า เป็นความคิดที่น่าจะผิดพลาด และอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หากนำข้อเสนอไปปฏิบัติจริง และคนไทยถูกจับพร้อมอาวุธ จะกลายเป็นไม่ได้ไปทำงานการเกษตร แต่เป็นเหมือนทหารรับจ้าง จะทำให้เสียหายกระทบต่อประเทศไทย
ตนจึงอยากฝากไปถึงรัฐบาล ต้องคิดให้ดีๆ ประเมินผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว และอยากให้กำชับคนไทยในประเทศอิสราเอล ว่าถ้าอยากอยู่ต่อให้ถอยออกไปจากเขตที่อันตราย แต่ความจริงแล้วในประเทศอิสราเอลที่เป็นประเทศเล็กทำให้อันตรายทุกจุด มีเพียงจุดปลอดภัยที่ยังไม่มีการต่อสู้กันเท่านั้น
ส่วนเหตุการณ์ครั้งหน้าจะบานปลายหรือไม่ก็คงต้องคิดเอาเอง เพราะมีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น
ปภ.สรุปสถานการณ์น้ำ 46 จว. เหลือ 4 จังหวัดที่ยังท่วม กระทบ 3.6 หมื่นครัวเรือน
https://www.matichon.co.th/region/news_4852409
ปภ.รายงาน 4 จว.ยังมีสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ กระทบ 3.6 หมื่นครัวเรือน เร่งบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบภัย ฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่าในระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม – 18 ตุลาคม เกิดสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ 46 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก พะเยา น่าน ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ เลย อุดรธานี กาฬสินธุ์ หนองคาย นครพนม ขอนแก่น ชัยภูมิ มหาสารคาม นครราชสีมา บุรีรัมย์ บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุบลราชธานี ปราจีนบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม ปทุมธานี ระยอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ยะลา นครศรีธรรมราช พังงา กระบี่ ตรัง สตูล และสงขลา รวมพื้นที่ได้รับผลกระทบ 281 อำเภอ 1,248 ตำบล 6,511 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 256,405 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิตรวม 57 ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 28 คน ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ลำพูน สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา และนครปฐม รวมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 12 อำเภอ 136 ตำบล 761 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 36,526 ครัวเรือน แยกเป็น
ภาคเหนือ 1 จังหวัด 1 อำเภอ 6 ตำบล 15 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 70 ครัวเรือน 1) ลำพูน เกิดน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอเมืองฯ รวม 6 ตำบล 15 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 70 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลง ภาคกลาง 3 จังหวัด 11 อำเภอ 130 ตำบล 746 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 36,456 ครัวเรือน 1.สุพรรณบุรี เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.บางปลาม้า และ อ.สองพี่น้อง รวม 17 ตำบล 109 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 4,974 ครัวเรือน ระดับน้ำทรงตัว
2.พระนครศรีอยุธยา เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ อ.บางบาล อ.ผักไห่ อ.เสนา อ.พระนครศรีอยุธยา อ.บางปะอิน อ.บางไทร และ อ.บางปะหัน รวม 104 ตำบล 597 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 30,880 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลง 3.นครปฐม เกิดน้ำท่วมใน
พื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.นครชัยศรี และ อ.บางเลน รวม 9 ตำบล 40 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 602 ครัวเรือน ระดับน้ำทรงตัว
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ระดมสรรพกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการและเครื่องจักรกลสาธารณภัย อาทิ เฮลิคอปเตอร์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย KA-32 เครื่องสูบส่งน้ำระยะไกล เครื่องสูบน้ำ รถเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย รถกู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว รถผลิตน้ำดื่ม รถไฟฟ้าส่องสว่างขนาด 200 KVA รถบรรทุกเล็ก รถลากเรือเคลื่อนที่เร็ว เรือท้องแบน อุปกรณ์กู้ภัยทางน้ำ เข้าให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่เกิดสถานการณ์ภัย รวมถึงนำรถขุดตักไฮดรอลิคยกสูง รถตักล้อยางเอนกประสงค์ รถขุดล้อยางกู้ภัยปรับฐานล้อ รถตีนตะขาบ รถบรรทุกเทท้าย รถขุดตักไฮดรอลิคแขนยาว เร่งขุดตักขนย้ายดินโคลน เศษวัสดุ สิ่งปรักหักพัง พร้อมทั้งปรับเกลี่ยถนน เส้นทางสัญจร ฟื้นฟูถนนหนทาง อาคารบ้านเรือนในพื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายแล้วเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด
JJNY : โชห่วยโอด ‘เงินหมื่น’ เริ่มแผ่ว│ยันไม่มีคนไทยถูกฮามาสขัง│ปภ.สรุปสถานการณ์น้ำ 46จว.│อิสราเอลยืนยันสังหารผู้นำฮามาส
https://www.matichon.co.th/economy/news_4851942
โชห่วย โอดกำลังซื้อ ‘เงินหมื่น’ เริ่มแผ่ว จี้รัฐกระตุ้นเพิ่ม เผยสินค้าจ่อปรับราคาเพียบ
วันที่ 17 ตุลาคม นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่ง จังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า ผลตอบรับโครงการแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาล ทำให้ยอดขายสินค้าภายในร้านเพิ่มขึ้นวันละ 10-15% ในช่วงระหว่างวันที่ 25 กันยายนถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2567 แต่หลังจากนั้นเริ่มแผ่วลง เหลือเพิ่มขึ้นวันละ 5-6% ส่วนใหญ่ลูกค้าซื้อสินค้าที่เป็นของกินของใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งซื้อเพื่อใช้เองหรือซื้อเพื่อนำไปขายปลีกสำหรับร้านค้าที่เป็นเครือข่ายอยู่ต่างอำเภอ อย่างไรก็ตามการที่ยอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าว ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะที่ร้านมีการจัด Local Low Cost รอบพิเศษ นำสินค้าอุปโภคบริโภคลดราคา 20-30% ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนถึงวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา
“การแจกเงิน 10,000 บาทถือว่าช่วยกระตุ้นยอดขายได้ระดับหนึ่งในช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น อยากให้รัฐบาลออกโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟสสองอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นโครงการอื่นที่ไม่ใช่แจกเงิน 10,000 บาทก็ได้ เช่น คนละครึ่ง เพื่อให้เกิดพายุหมุนเศรษฐกิจได้หลายๆรอบ แต่เราคงไม่รอรัฐ ในวันที่ 1-10 พฤศจิกายนนี้ ผู้ประกอบค้าปลีกและค้าส่ง 90 ร้านค้าทั่วประเทศจะจัดลดราคาสินค้า กระตุ้นกำลังซื้อโค้งสุดท้ายของปีนี้” นายมิลินทร์กล่าว
นายมิลินทร์กล่าวว่าสถานการณ์ราคาสินค้าในปัจจุบัน มีบางรายการปรับราคาขึ้น เช่น กะทิกล่อง ปรับขึ้น 3 บาทต่อกล่อง ยังมีโอวัลตินและกาแฟสำเร็จรูป รวมถึงต้องดูปลายปีนี้ คาดว่าจะมีสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำตาลจะทยอยปรับราคาขึ้นอีกจำนวนมาก หลังภาษีความหวานระยะที่ 4 เริ่มใช้เดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นไป
นายมิลินทร์กล่าววถึงการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปีว่า ถือเป็นเรื่องดีและเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมในรูปแบบหนึ่ง เนื่องจากจะช่วยลดภาระประชาชนที่มีหนี้ที่ต้องจ่ายให้กับธนาคารในแต่ละเดือนลดลงไปได้ แม้จะไม่มาก แต่จะทำให้สามารถมีเงินเหลือที่จะนำมาจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันได้ รวมถึงยังช่วยผู้ประกอบการในการลดต้นทุนและเพิ่มการลงทุนใหม่ได้อีกด้วย
นายสมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง- ปลีกไทย เปิดเผยว่า กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี ทำให้ลดภาระหนี้ ทั้งผู้ทำธุรกิจและประชาชนทั่วไปที่เป็นหนี้กับแบงก์ ทำให้มีเงินเหลือที่จะนำมาใช้จ่ายเพิ่มได้ แต่คงไม่มาก และลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ แต่ถ้าลดได้ 0.50% ต่อปี จะดีมากยิ่งขึ้น
“สถานการณ์กำลังซื้อ ยังไม่ดีขึ้นมากนัก แม้จะมีการแจกเงิน 10,000 บาท แต่ก็ช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมาไม่มาก และเป็นแค่ช่วงสั้นๆ เพราะโชห่วยคงไม่ได้อานิสงส์จากโครงการนี้มากนัก ตอนนี้เริ่มสินค้าขึ้นราคาบ้างแล้ว เช่น โอวัลติน กาแฟสำเร็จรูป กระทิกล่อง ที่ขึ้นไปแล้วก่อนหน้านี้ ยังต้องลุ้นไตรมาสสุดท้ายนี้ซึ่งเป็นไฮซีซั่นกำลังซื้อจะคึกคักขึ้นหรือไม่” นายสมชายกล่าว
เลขาฯปธ.สภา ยัน ไม่มีคนไทยถูกฮามาสคุมขังแล้ว เตือนคนไทยในอิสราเอลออกห่างพื้นที่เสี่ยง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4852451
เลขาฯปธ.สภา ยัน ไม่มีคนไทยถูกกลุ่มฮามาสคุมขังแล้ว เตือนคนที่ยังอยู่ในอิสราเอลออกห่างพื้นที่เสี่ยง หวั่นเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น
เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 18 ตุลาคม ที่รัฐสภา นายมุข สุไลมาน เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศอิสราเอลว่า ขณะนี้มีความเข้าใจผิดอยู่ว่า ยังมีคนไทยที่ถูกกักขังอยู่ในกลุ่มฮามาส 8 คน ซึ่งตนได้รับรายงานว่า ไม่มีแล้ว แต่คนไทยหลงเหลืออยู่นั้น ตนไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน แต่ไม่ได้อยู่ในที่คุมขังของกลุ่มฮามาสแน่นอน
ส่วนที่มีนักวิชาการระบุว่า หากคนไทยไม่อยากกลับตอนนี้ และยังอยากทำงานที่อยู่บนความเสี่ยงจึงอยากให้รัฐบาลไทยเสนอไปยังรัฐบาลอิสราเอลให้อาวุธกับคนไทย เสมือนหนึ่งเป็นการปกป้องตนเองนั้น นายมุข ระบุว่า เป็นความคิดที่น่าจะผิดพลาด และอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หากนำข้อเสนอไปปฏิบัติจริง และคนไทยถูกจับพร้อมอาวุธ จะกลายเป็นไม่ได้ไปทำงานการเกษตร แต่เป็นเหมือนทหารรับจ้าง จะทำให้เสียหายกระทบต่อประเทศไทย
ตนจึงอยากฝากไปถึงรัฐบาล ต้องคิดให้ดีๆ ประเมินผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว และอยากให้กำชับคนไทยในประเทศอิสราเอล ว่าถ้าอยากอยู่ต่อให้ถอยออกไปจากเขตที่อันตราย แต่ความจริงแล้วในประเทศอิสราเอลที่เป็นประเทศเล็กทำให้อันตรายทุกจุด มีเพียงจุดปลอดภัยที่ยังไม่มีการต่อสู้กันเท่านั้น
ส่วนเหตุการณ์ครั้งหน้าจะบานปลายหรือไม่ก็คงต้องคิดเอาเอง เพราะมีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น
ปภ.สรุปสถานการณ์น้ำ 46 จว. เหลือ 4 จังหวัดที่ยังท่วม กระทบ 3.6 หมื่นครัวเรือน
https://www.matichon.co.th/region/news_4852409
ปภ.รายงาน 4 จว.ยังมีสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ กระทบ 3.6 หมื่นครัวเรือน เร่งบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบภัย ฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่าในระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม – 18 ตุลาคม เกิดสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ 46 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก พะเยา น่าน ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ เลย อุดรธานี กาฬสินธุ์ หนองคาย นครพนม ขอนแก่น ชัยภูมิ มหาสารคาม นครราชสีมา บุรีรัมย์ บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุบลราชธานี ปราจีนบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม ปทุมธานี ระยอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ยะลา นครศรีธรรมราช พังงา กระบี่ ตรัง สตูล และสงขลา รวมพื้นที่ได้รับผลกระทบ 281 อำเภอ 1,248 ตำบล 6,511 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 256,405 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิตรวม 57 ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 28 คน ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ลำพูน สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา และนครปฐม รวมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 12 อำเภอ 136 ตำบล 761 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 36,526 ครัวเรือน แยกเป็น
ภาคเหนือ 1 จังหวัด 1 อำเภอ 6 ตำบล 15 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 70 ครัวเรือน 1) ลำพูน เกิดน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอเมืองฯ รวม 6 ตำบล 15 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 70 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลง ภาคกลาง 3 จังหวัด 11 อำเภอ 130 ตำบล 746 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 36,456 ครัวเรือน 1.สุพรรณบุรี เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.บางปลาม้า และ อ.สองพี่น้อง รวม 17 ตำบล 109 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 4,974 ครัวเรือน ระดับน้ำทรงตัว
2.พระนครศรีอยุธยา เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ อ.บางบาล อ.ผักไห่ อ.เสนา อ.พระนครศรีอยุธยา อ.บางปะอิน อ.บางไทร และ อ.บางปะหัน รวม 104 ตำบล 597 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 30,880 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลง 3.นครปฐม เกิดน้ำท่วมใน
พื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.นครชัยศรี และ อ.บางเลน รวม 9 ตำบล 40 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 602 ครัวเรือน ระดับน้ำทรงตัว
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ระดมสรรพกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการและเครื่องจักรกลสาธารณภัย อาทิ เฮลิคอปเตอร์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย KA-32 เครื่องสูบส่งน้ำระยะไกล เครื่องสูบน้ำ รถเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย รถกู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว รถผลิตน้ำดื่ม รถไฟฟ้าส่องสว่างขนาด 200 KVA รถบรรทุกเล็ก รถลากเรือเคลื่อนที่เร็ว เรือท้องแบน อุปกรณ์กู้ภัยทางน้ำ เข้าให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่เกิดสถานการณ์ภัย รวมถึงนำรถขุดตักไฮดรอลิคยกสูง รถตักล้อยางเอนกประสงค์ รถขุดล้อยางกู้ภัยปรับฐานล้อ รถตีนตะขาบ รถบรรทุกเทท้าย รถขุดตักไฮดรอลิคแขนยาว เร่งขุดตักขนย้ายดินโคลน เศษวัสดุ สิ่งปรักหักพัง พร้อมทั้งปรับเกลี่ยถนน เส้นทางสัญจร ฟื้นฟูถนนหนทาง อาคารบ้านเรือนในพื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายแล้วเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด