https://pantip.com/topic/42988241 (บทที่ 11 ให้ปากคำ)
ร่างกายของขวัญชีวีขับเคลื่อนด้วยสารอะดรีนาลีนมาตั้งแต่เช้ามืด เธอไม่รู้สึกหิวหรืออยากกินอะไรเลย แค่ดื่มน้ำช่วยดับกระหายเท่านั้น เมื่อกลับจากสถานีตำรวจมาถึงบ้าน ก็ถอดเสื้อผ้าโยนลงตะกร้า อาบน้ำอุ่น สวมชุดที่เบาสบายขึ้น ทิ้งตัวลงบนที่นอน พลันคำพูดที่แม่ชอบกรอกหูให้ฟังตั้งแต่เธอเป็นเด็กก็ดังขึ้นในหัว “หัดรู้จักใช้สมองและสติปัญญา อย่าใช้แต่อารมณ์และความรู้สึก”
เธอคงต้องรื้อค้นบ้านทั้งหลัง เพื่อตามหาเบาะแสที่จะเชื่อมโยงไปถึงงานของแม่และสถานที่ที่แม่อยู่ในเวลานี้
ผลักประตูเข้ามาในห้องนอนแม่ ขวัญชีวีเริ่มจากโต๊ะเครื่องแป้งและเทของออกจากลิ้นชักบนล่าง ถัดมาก็เปิดตู้เสื้อผ้าทั้งสามหลัง ปลดทุกชุดออกมาดูแล้วโยนทิ้ง ดึงลิ้นชักตู้ออกมาคว่ำชุดชั้นในและพวกชิ้นเล็กชิ้นน้อยลงบนพื้น หันมาลุยโต๊ะข้างหัวเตียง โคมไฟ ลิ้นชัก ถอดปลอกหมอน สะบัดผ้าห่ม มุดเข้าใต้เตียง พลิกที่นอน มองหาสิ่งของที่อาจสะดุดตา
เครื่องรับโทรทัศน์ โต๊ะวางทีวี ด้านหน้าด้านหลัง ถอดรูปออกจากกรอบที่ใส่แต่รูปลูกสาวคนเดียวตั้งไว้บนโต๊ะรวมทั้งที่แขวนไว้บนผนังทั้งสามด้าน เครื่องปรับอากาศ ผ้าม่านหน้าต่าง ห้องน้ำ อ่างล้างหน้า ขวดสบู่และกระปุกเครื่องประทินโฉม กระจกเหนืออ่าง ชักโครก ข้างในฉากกั้นอาบน้ำ ฝักบัว แต่ก็ไม่พบอะไรที่น่าสนใจ
ย้ายออกมาเข้าห้องนอนเล็กและห้องน้ำ เธอรื้อทุกสิ่งทุกอย่างแบบเดียวกับห้องนอนแม่ ส่วนห้องนอนของตัวเธอเองกับห้องน้ำในตัวนั้น ไม่จำเป็นต้องค้นให้เสียเวลา เธอรู้จักทุกตารางนิ้วดีอยู่แล้ว และชั้นสองของบ้านก็มีแค่สามห้องนี้เท่านั้น
ลงมาชั้นล่าง รื้อข้าวของในห้องครัว ตู้เย็น เตาแก๊ส ตู้เก็บเครื่องปรุง ชั้นวางทุกตัวและเครื่องครัวครบทุกชนิด ขนกล่องทุกใบรวมทั้งของอื่นๆ ออกจากห้องเก็บของมาวางแยกกันไว้ ลงมือตรวจดูทีละชิ้น จากนั้นก็เป็นห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น โต๊ะวางทีวี ชุดโซฟา ตู้โชว์ เรียกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอสงสัย ถูกนำออกมาวางกระจัดกระจายเต็มพื้นเรือนทั้งชั้นบนและชั้นล่างเพื่อควานหาสิ่งที่จะบอกใบ้ให้เธอรู้ระแคะระคายเรื่องแม่ หากแต่มันไร้ผล
นี่เธอต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ..ยัยชีวี เธอพูดกับตัวเอง
นอกตัวบ้าน ค้นหาที่เครื่องซักผ้า ราวตากผ้า กาละมัง ถังพักน้ำสำรอง ตามพุ่มเข็ม ไม้ดอกและไม้ยืนต้นชนิดอื่นที่เธอไม่รู้จักชื่อรวมทั้งในสนามหญ้า วนมาที่โรงจอดรถ เปิดประตูรถทุกบาน กระโปรงหน้าและหลัง ที่เก็บยางอะไหล่ท้ายรถ เมื่อไม่พบอะไรก็ปิดล็อคประตูรถ กำลังก้าวจะกลับเข้าข้างใน ก็สะดุดตากับตู้วางรองเท้าที่ติดอยู่กับผนังบ้านด้านหนึ่ง
เปิดประตูตู้เก็บรองเท้า พบรองเท้าส้นสูง ส้นเตี้ย รองเท้านักเรียนหญิง ผ้าใบทั้งของเธอและของแม่เรียงรายเต็มทั้งสามชั้น เธอจำได้ว่าชั้นวางมีสี่ชั้น แต่ชั้นล่างสุดเหมือนถูกถอดออกเพื่อให้มีที่ว่างพอสำหรับเก็บรองเท้าเก่าของสองแม่ลูกหลายสิบคู่ที่กองรวมกันและส่งกลิ่นเหม็นหืนโชยออกมาชวนคลื่นเหียนอาเจียน นี่แม่ไม่คิดจะทิ้งรองเท้าคู่ไหนเลยใช่ไหมเนี่ย..เธอคิด กี่สิบชาติแล้ว แม้แต่รองเท้าสมัยเธอสวมใส่ตอนเป็นเด็กก็ยังเก็บไว้ สองนิ้วบีบจมูก ใช้มืออีกข้างล้วงเข้าไปใต้กองรองเท้าเก่าและสกปรกเหล่านั้น เธอควานไปมาจนสัมผัสไปโดนของบางอย่างที่รูปร่างคล้ายกระเป๋า แตะดูรอบๆ จนพบหูหิ้วแล้วดึงมันออกมาวางไว้ข้างนอก
กระเป๋าผ้าไนล่อนสีดำยาวประมาณหนึ่งฟุตและกว้างประมาณครึ่งฟุต มีซิปเปิดปิดอยู่ด้านบนคล้ายมีไว้สำหรับใส่รองเท้าเบอร์เล็กๆ หนึ่งคู่
ขวัญชีวีเปิดกระเป๋า มีก้อนกระดาษยับยู่ยี่จำนวนมากถูกยัดไว้ข้างใน โกยก้อนกระดาษออกแล้วก็เจอแผ่นบับเบิ้ลสีขาวม้วนรอบวัตถุบางอย่างเอาไว้หนาหลายชั้น เมื่อฉีกบับเบิ้ลออก เธอพบว่ามันห่อหุ้มตลับโลหะเล็กๆ ทรงสี่เหลี่ยมขนาดเท่าตลับแป้งแต่งหน้าเอาไว้ เปิดฝาตลับออกดู ข้างในบรรจุแค็ปซูลสีขาววางอยู่ในร่องผ้ากำมะหยี่
“แค็ปซูล อะไรเนี่ย” เธอหยิบขึ้นมาพิจารณาดูใกล้ๆ ครั้นไม่อาจตอบตัวเองได้ ก็เก็บแค็ปซูลวางกลับเข้าที่เดิม ปิดฝาตลับโลหะแล้วยัดลงกระเป๋ากางเกง
กลับเข้าบ้าน เปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำมาเปิดดื่มดับกระหาย แล้วขึ้นมาห้องนอนตัวเอง ล้มนอนแผ่หราบนเตียง รู้สึกร่างกายตึงเครียดและเริ่มอ่อนเพลีย หลับตาปล่อยให้สมองว่างเปล่า หยุดคิดเรื่องแม่ให้จิตใจผ่อนคลาย ขอหลับสักงีบก็แล้วกัน เผื่อจะคิดอะไรออกเมื่อตื่นขึ้นมา
ขวัญชีวีตกใจตื่นเมื่อเสียงกดกริ่งสัญญาณดังขึ้น เธอไม่รู้ตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปเปิดม่านหน้าต่างดู เห็นรถปิคอัพสีน้ำตาล/ขาวมาจอดข้างหน้ารถปิคอัพของสาวทอมที่เธอฉกมา ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว แสดงว่าเธอหลับไปนานไม่ต่ำกว่าห้าหรือหกชั่วโมง
ชายสองคนในชุดครึ่งท่อนแบบที่สารวัตรอัศวินและนายดาบทรงสิทธิ์ใส่ยืนอยู่นอกประตูรั้ว ตำรวจมาทำไมอีกนะ..เธอคิด แล้วเดินลงมาชั้นล่าง ออกประตูข้างโรงรถ มาพบตำรวจที่ประตูรั้ว เธอสังเกตว่าทั้งคู่เป็นคนละคนกับตำรวจในเครื่องแบบสีกากีที่มาเชิญตัวเธอไป สภ แม่รัก เมื่อช่วงเช้า
“คุณขวัญชีวีใช่มั้ยครับ” ตำรวจคนหนึ่งถาม
“ค่ะ ใช่ มีอะไรเหรอคะ”
“สารวัตรเชิญไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจครับ”
“เมื่อเช้าหนูเพิ่งไปพบสารวัตรมาแล้วนี่คะ”
หลังจากคุยกันสองประโยค เธอก็สัมผัสได้ว่าภาษาไทยของตำรวจคนนี้ฟังดูแปร่งๆ พูดไม่ชัดเหมือนเป็นพวกคนต่างด้าว ไม่ใช่คนไทยแท้ๆ
“นั่นแหละครับ พอดีว่า เราได้เบาะแสเพิ่มเติม สารวัตรจึงให้มาเชิญคุณไปให้ปากคำอีกครั้งเวลานี้”
“ตอนนี้เลยเหรอคะ แต่มันมืดแล้วนะ” เธอบ่ายเบี่ยง
“ใช่ครับ ไปเวลานี้ สารวัตรให้มาเชิญตัว”
“งั้นหนูขอไปโทรศัพท์ถามสารวัตรก่อนนะคะว่า ขอเลื่อนเป็นพรุ่งนี้ได้มั้ย โทรศัพท์ชาร์จไฟอยู่บนห้องนอน”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ แค่มากับเราก็พอ” ตำรวจคนเดิมพูดพร้อมดึงชายเสื้อแจ็คเก็ตสีดำขึ้นคลุมปืนพกในมือ เล็งปากกระบอกปืนไปที่ลำตัวของขวัญชีวี “อย่าส่งเสียงร้องหรือทำอะไรที่จะทำให้ผมต้องยิงคุณ”
ใจของขวัญชีวีหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ยืนตัวแข็งทื่อ นี่มันอะไรกัน ทำไมตำรวจสองคนนี้ต้องใช้ปืนข่มขู่เธอด้วย
“เปิดประตูรั้ว เดินออกมาขึ้นรถ อย่าทำอะไรโง่ๆ ถ้าไม่อยากตาย” คนถือปืนสั่ง
ขวัญชีวีเลื่อนประตูรั้วเปิดเป็นช่องพอผ่านออกมาได้ คนถือปืนขยับเข้าประชิดด้านข้างเธอ อีกคนเปิดประตูผู้โดยสารด้านหลังรอไว้ เธอถูกคุมตัวขึ้นนั่ง มีชายอีกคนนั่งอยู่แล้วพร้อมปืนในมือ ประตูปิดลง สองคนแยกกันขึ้นรถ คนหนึ่งขึ้นนั่งเบาะผู้โดยสารหน้า ส่วนอีกคนทำหน้าที่คนขับ
ขวัญชีวีถูกพาตัวออกมาโดยละม่อม ไร้หนทางขัดขืนหรือร้องขอความช่วยเหลือ คนพวกนี้เป็นใคร เป็นตำรวจจริงหรือโจรในคราบตำรวจ แล้วเธอจะถูกพาตัวไปที่ไหน ด้วยจุดประสงค์อะไร แม่..แม่จ๋า หนูขอโทษ หนูควรจะเชื่อแม่ หนูควรจะอยู่กับเพื่อนแม่ตั้งแต่แรก
*********
ชายถือปืนที่นั่งอยู่เบาะผู้โดยสารด้านหลังข้างซ้ายของขวัญชีวีแสยะยิ้ม ปากกระบอกปืนจ่อมาที่ลำตัวของเธอตลอดตั้งแต่พวกมันพาตัวเธอขึ้นรถออกจากบ้านมา ชายคนนี้ผิวหน้าปรุ ตาหยี๋ จมูกเล็ก ปากหนา ผมหยิกหยอย ดูมีอายุเยอะกว่าสองคนข้างหน้า ขวัญชีวีเริ่มดูออกแล้วว่าพวกนี้คือตำรวจปลอม แต่ใช้รถสีเดียวกับรถตำรวจมาหลอกลวงเธอ จากตกใจกลัวเปลี่ยนมาเป็นรวบรวมสติ พร้อมเผชิญหน้ากับภยันตรายซึ่งหน้า
“พวกคุณเป็นใคร จับฉันมาทำไม” แสร้งพูดสุภาพด้วย
“มีเบอร์โทร.เลขาขวัญมั้ย” ชายถือปืนถามสิ่งที่เขาอยากรู้ทันที
“พวกคุณอยากรู้เบอร์โทร.ของแม่ฉันไปทำไม”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ บอกมาว่าเบอร์อะไร”
“ฉันไม่รู้”
การใช้ภาษาไทยของในคำพูดของชายคนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากอีกคนที่ใช้ปืนบังคับให้เธอขึ้นรถมา นี่มันพวกคนต่างด้าวชัดๆ..เธอบอกตัวเอง
“เป็นลูกสาว ต้องรู้สิ”
“ก็ฉันไม่รู้จริงๆ”
ชายหน้าปรุใช้ฝ่ามือซ้ายตบหน้าขวัญชีวีหนึ่งฉาดรุนแรงจนเธอหน้าสะบัดตามแรงฟาดและล้มไปชนพนักพิงเบาะ เขาตวาดลั่น “ปากแข็งนักนะ”
ขวัญชีวีสะบัดหน้าพรืด หมุนตัวหันข้างให้ชายหน้าปรุ เงียบเสียง ลักพาตัวฉันมา เอาปืนข่มขู่ แล้วยังตบหน้าฉันอีก ถ้าฉันรอดไปได้ ฉันจะเอาคืนให้สาสม..ชีวีคิด
“เธอคงอยากถูกทรมานสินะ ถึงจะพูด”
“พวกแกเป็นใคร” ขวัญชีวีถาม เปลี่ยนจาก “คุณ” เป็น “แก”
“คนที่จะทำให้แม่ของเธอออกมาจากที่ซ่อน”
“โจรลักพาตัวปลอมเป็นตำรวจซินะ”
“ก็ทำนองนั้น”
“ฉันจะไม่บอกอะไรพวกแก ถึงฉันจะถูกพวกแกฆ่าตายก็ตาม”
“ตายแล้วจะมีประโยชน์อะไร”
ขวัญชีวีชำเลืองมองที่มือเปิดประตูรถ สองจิตสองใจว่าจะดึงหมุดล็อคเปิดประตูแล้วกระโดดออกไปดีหรือไม่ แต่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง กระโดดลงอาจบาดเจ็บหนักหรือโดนรถคันที่ตามหลังมาชนเอา หากได้รับบาดเจ็บหรือตายไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร เธอมองที่กระจกประตูที่ติดฟิล์มทึบแล้วลดสายตาลงมาที่มือหมุนแบบเก่า มือคว้าหมุนจะลดกระจกลง แต่มันกลับติดแน่นไม่ขยับเยื้อน พลันชายหน้าปรุก็กระชากผมเธออย่างแรง ดึงเข้าหาตัวเขา แล้วใช้ท่อนแขนล็อคคอเธอเอาไว้ ปากกระบอกปืนจ่อที่ขมับ คำรามลั่น “อย่าแม้แต่จะคิด”
เธอพยายามดิ้นให้หลุด แต่ท่อนแขนนั้นแข็งแรงเกินกว่าเธอจะขัดขืน จึงจำเป็นต้องอยู่ในท่าถูกล็อคคออยู่อย่างนี้ไปก่อน ในหัวเธอคิดหาทางเอาตัวรอดออกจากรถ วิ่งหนี ตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่สิ่งแรกที่ต้องทำคือ รวบรวมสติ “หัดรู้จักใช้สมองและสติปัญญา อย่าใช้แต่อารมณ์และความรู้สึก” เสียงแม่ดังก้องในหัว คงต้องทำใจดีสู้เสือ ถึงอย่างไรชายคนนี้ก็ไม่ฆ่าเธออยู่ดี เพราะเธอยังมีประโยชน์สำหรับเขา
“เอาแขนออกไปได้มั้ย หนูอึดอัด แล้วหนูจะบอกเบอร์โทร.”
“เธอต้องไม่เล่นตุกติก คิดหนีอีก” ชายหน้าปรุบอก
“หนูไม่กล้าทำแล้ว”
“ดี” เขาปล่อยวงแขนออกจากคอของขวัญชีวี “บอกเบอร์มา”
เธอยันตัวกลับมานั่งในท่าปกติบนเบาะ “พวกคุณจะทำอะไรกับแม่หนู”
“อย่าถามเยอะ เอาเบอร์มา” เขาดึงโทรศัพท์ออกมาเปิดหน้าจอและรอพิมพ์หมายเลข
“ก็ได้ๆ 0987487525” ขวัญชีวีพูดเร็วปรื๋อ
“ไม่ทัน อีกทีซิ อย่ามาลูกไม้”
“เปล่าซะหน่อย หนูบอกไปแล้วนี่”
“เดี๋ยวโดนตบอีกรอบ คราวนี้ตบด้วยด้ามปืน” เขาเงื้อปืนขึ้นใส่หน้าเธอ
“โอเคๆ ก็ได้ๆ” เธอบอกหมายเลขแต่ละตัวช้าๆ
ชายหน้าปรุโทร.ออกไปตามหมายเลขนั้น สายว่าง แต่สัญญาณก็ดังอยู่อย่างนั้นจนตัดไปเอง เขาพยายามอีกครั้ง ผลก็ยังเหมือนเดิม “ไม่มีคนรับ ให้เบอร์ผิดหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่ผิดหรอก บางทีแม่หนูอาจจะกำลังยุ่ง ไม่ว่างรับสายก็ได้”
“มีเบอร์อื่นอีกมั้ย”
“ไม่มีแล้ว พยายามโทร.หน่อยซิ อยากให้แม่หนูรู้ว่าหนูถูกจับตัวมาอยู่แล้วนี่ ว่าแต่จะพาหนูไปไหนเนี่ย”
“เดี๋ยวก็รู้ นั่งเงียบๆ ไป” เขากดโทร.ออกอีกครั้งและอีกครั้ง แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม
ฟ้ามืดสนิทเมื่อรถกระบะสีน้ำตาล/ขาววิ่งเข้าถนนที่ตัดผ่านชุมชนสลับกับทุ่งนาและเนินเขา ชีวีไม่คุ้นเคยกับเส้นทางและสถานที่ที่รถกำลังแล่นผ่าน ทำอย่างไรเธอถึงจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือคนชั่วพวกนี้ได้นะ คิดสิคิด ยัยชีวี อย่าโง่นัก
รถชลอความเร็วลงพร้อมด้วยเสียงบ่นของคนขับว่าข้างหน้ามีรถเก็งขับช้า ขวางทางวิ่ง บังทางไว้ไม่ให้แซง ขับเหมือนคนเมา เขาจะเร่งแซงก็ถูกรถคันหน้าส่ายออกมาปิดทาง ชีวีมองข้ามไหล่คนขับไปเห็นรถคันข้างหน้าอยู่ห่างจากรถที่เธอนั่งอยู่ไปถึงสามเมตร เลื้อยไปมาเหมือนงูตัวอ้วนๆ ครู่เดียวคนขับรถปิคอัพก็กดแตรและโวยออกมาว่า “ขับรถบ้าอะไรของวะ หลีกทางไปซิโว๊ย!”
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็แซงขึ้นไปได้” คนนั่งข้างคนขับบอก
แต่แล้วรถก็ต้องหยุดลงกระทันหัน หน้าผากของขวัญชีวีทิ่มไปกระแทกพนักพิงเบาะข้างหน้าตามแรงเฉื่อย คนขับตะโกนลั่น“เฮ้ย..อะไรวะ! อยากจอดก็จอดกลางถ
นิยาย: จอมป่วนชวนจับโจร บทที่ 12 โจรลักพาตัว
ร่างกายของขวัญชีวีขับเคลื่อนด้วยสารอะดรีนาลีนมาตั้งแต่เช้ามืด เธอไม่รู้สึกหิวหรืออยากกินอะไรเลย แค่ดื่มน้ำช่วยดับกระหายเท่านั้น เมื่อกลับจากสถานีตำรวจมาถึงบ้าน ก็ถอดเสื้อผ้าโยนลงตะกร้า อาบน้ำอุ่น สวมชุดที่เบาสบายขึ้น ทิ้งตัวลงบนที่นอน พลันคำพูดที่แม่ชอบกรอกหูให้ฟังตั้งแต่เธอเป็นเด็กก็ดังขึ้นในหัว “หัดรู้จักใช้สมองและสติปัญญา อย่าใช้แต่อารมณ์และความรู้สึก”
เธอคงต้องรื้อค้นบ้านทั้งหลัง เพื่อตามหาเบาะแสที่จะเชื่อมโยงไปถึงงานของแม่และสถานที่ที่แม่อยู่ในเวลานี้
ผลักประตูเข้ามาในห้องนอนแม่ ขวัญชีวีเริ่มจากโต๊ะเครื่องแป้งและเทของออกจากลิ้นชักบนล่าง ถัดมาก็เปิดตู้เสื้อผ้าทั้งสามหลัง ปลดทุกชุดออกมาดูแล้วโยนทิ้ง ดึงลิ้นชักตู้ออกมาคว่ำชุดชั้นในและพวกชิ้นเล็กชิ้นน้อยลงบนพื้น หันมาลุยโต๊ะข้างหัวเตียง โคมไฟ ลิ้นชัก ถอดปลอกหมอน สะบัดผ้าห่ม มุดเข้าใต้เตียง พลิกที่นอน มองหาสิ่งของที่อาจสะดุดตา
เครื่องรับโทรทัศน์ โต๊ะวางทีวี ด้านหน้าด้านหลัง ถอดรูปออกจากกรอบที่ใส่แต่รูปลูกสาวคนเดียวตั้งไว้บนโต๊ะรวมทั้งที่แขวนไว้บนผนังทั้งสามด้าน เครื่องปรับอากาศ ผ้าม่านหน้าต่าง ห้องน้ำ อ่างล้างหน้า ขวดสบู่และกระปุกเครื่องประทินโฉม กระจกเหนืออ่าง ชักโครก ข้างในฉากกั้นอาบน้ำ ฝักบัว แต่ก็ไม่พบอะไรที่น่าสนใจ
ย้ายออกมาเข้าห้องนอนเล็กและห้องน้ำ เธอรื้อทุกสิ่งทุกอย่างแบบเดียวกับห้องนอนแม่ ส่วนห้องนอนของตัวเธอเองกับห้องน้ำในตัวนั้น ไม่จำเป็นต้องค้นให้เสียเวลา เธอรู้จักทุกตารางนิ้วดีอยู่แล้ว และชั้นสองของบ้านก็มีแค่สามห้องนี้เท่านั้น
ลงมาชั้นล่าง รื้อข้าวของในห้องครัว ตู้เย็น เตาแก๊ส ตู้เก็บเครื่องปรุง ชั้นวางทุกตัวและเครื่องครัวครบทุกชนิด ขนกล่องทุกใบรวมทั้งของอื่นๆ ออกจากห้องเก็บของมาวางแยกกันไว้ ลงมือตรวจดูทีละชิ้น จากนั้นก็เป็นห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น โต๊ะวางทีวี ชุดโซฟา ตู้โชว์ เรียกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอสงสัย ถูกนำออกมาวางกระจัดกระจายเต็มพื้นเรือนทั้งชั้นบนและชั้นล่างเพื่อควานหาสิ่งที่จะบอกใบ้ให้เธอรู้ระแคะระคายเรื่องแม่ หากแต่มันไร้ผล
นี่เธอต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ..ยัยชีวี เธอพูดกับตัวเอง
นอกตัวบ้าน ค้นหาที่เครื่องซักผ้า ราวตากผ้า กาละมัง ถังพักน้ำสำรอง ตามพุ่มเข็ม ไม้ดอกและไม้ยืนต้นชนิดอื่นที่เธอไม่รู้จักชื่อรวมทั้งในสนามหญ้า วนมาที่โรงจอดรถ เปิดประตูรถทุกบาน กระโปรงหน้าและหลัง ที่เก็บยางอะไหล่ท้ายรถ เมื่อไม่พบอะไรก็ปิดล็อคประตูรถ กำลังก้าวจะกลับเข้าข้างใน ก็สะดุดตากับตู้วางรองเท้าที่ติดอยู่กับผนังบ้านด้านหนึ่ง
เปิดประตูตู้เก็บรองเท้า พบรองเท้าส้นสูง ส้นเตี้ย รองเท้านักเรียนหญิง ผ้าใบทั้งของเธอและของแม่เรียงรายเต็มทั้งสามชั้น เธอจำได้ว่าชั้นวางมีสี่ชั้น แต่ชั้นล่างสุดเหมือนถูกถอดออกเพื่อให้มีที่ว่างพอสำหรับเก็บรองเท้าเก่าของสองแม่ลูกหลายสิบคู่ที่กองรวมกันและส่งกลิ่นเหม็นหืนโชยออกมาชวนคลื่นเหียนอาเจียน นี่แม่ไม่คิดจะทิ้งรองเท้าคู่ไหนเลยใช่ไหมเนี่ย..เธอคิด กี่สิบชาติแล้ว แม้แต่รองเท้าสมัยเธอสวมใส่ตอนเป็นเด็กก็ยังเก็บไว้ สองนิ้วบีบจมูก ใช้มืออีกข้างล้วงเข้าไปใต้กองรองเท้าเก่าและสกปรกเหล่านั้น เธอควานไปมาจนสัมผัสไปโดนของบางอย่างที่รูปร่างคล้ายกระเป๋า แตะดูรอบๆ จนพบหูหิ้วแล้วดึงมันออกมาวางไว้ข้างนอก
กระเป๋าผ้าไนล่อนสีดำยาวประมาณหนึ่งฟุตและกว้างประมาณครึ่งฟุต มีซิปเปิดปิดอยู่ด้านบนคล้ายมีไว้สำหรับใส่รองเท้าเบอร์เล็กๆ หนึ่งคู่
ขวัญชีวีเปิดกระเป๋า มีก้อนกระดาษยับยู่ยี่จำนวนมากถูกยัดไว้ข้างใน โกยก้อนกระดาษออกแล้วก็เจอแผ่นบับเบิ้ลสีขาวม้วนรอบวัตถุบางอย่างเอาไว้หนาหลายชั้น เมื่อฉีกบับเบิ้ลออก เธอพบว่ามันห่อหุ้มตลับโลหะเล็กๆ ทรงสี่เหลี่ยมขนาดเท่าตลับแป้งแต่งหน้าเอาไว้ เปิดฝาตลับออกดู ข้างในบรรจุแค็ปซูลสีขาววางอยู่ในร่องผ้ากำมะหยี่
“แค็ปซูล อะไรเนี่ย” เธอหยิบขึ้นมาพิจารณาดูใกล้ๆ ครั้นไม่อาจตอบตัวเองได้ ก็เก็บแค็ปซูลวางกลับเข้าที่เดิม ปิดฝาตลับโลหะแล้วยัดลงกระเป๋ากางเกง
กลับเข้าบ้าน เปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำมาเปิดดื่มดับกระหาย แล้วขึ้นมาห้องนอนตัวเอง ล้มนอนแผ่หราบนเตียง รู้สึกร่างกายตึงเครียดและเริ่มอ่อนเพลีย หลับตาปล่อยให้สมองว่างเปล่า หยุดคิดเรื่องแม่ให้จิตใจผ่อนคลาย ขอหลับสักงีบก็แล้วกัน เผื่อจะคิดอะไรออกเมื่อตื่นขึ้นมา
ขวัญชีวีตกใจตื่นเมื่อเสียงกดกริ่งสัญญาณดังขึ้น เธอไม่รู้ตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปเปิดม่านหน้าต่างดู เห็นรถปิคอัพสีน้ำตาล/ขาวมาจอดข้างหน้ารถปิคอัพของสาวทอมที่เธอฉกมา ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว แสดงว่าเธอหลับไปนานไม่ต่ำกว่าห้าหรือหกชั่วโมง
ชายสองคนในชุดครึ่งท่อนแบบที่สารวัตรอัศวินและนายดาบทรงสิทธิ์ใส่ยืนอยู่นอกประตูรั้ว ตำรวจมาทำไมอีกนะ..เธอคิด แล้วเดินลงมาชั้นล่าง ออกประตูข้างโรงรถ มาพบตำรวจที่ประตูรั้ว เธอสังเกตว่าทั้งคู่เป็นคนละคนกับตำรวจในเครื่องแบบสีกากีที่มาเชิญตัวเธอไป สภ แม่รัก เมื่อช่วงเช้า
“คุณขวัญชีวีใช่มั้ยครับ” ตำรวจคนหนึ่งถาม
“ค่ะ ใช่ มีอะไรเหรอคะ”
“สารวัตรเชิญไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจครับ”
“เมื่อเช้าหนูเพิ่งไปพบสารวัตรมาแล้วนี่คะ”
หลังจากคุยกันสองประโยค เธอก็สัมผัสได้ว่าภาษาไทยของตำรวจคนนี้ฟังดูแปร่งๆ พูดไม่ชัดเหมือนเป็นพวกคนต่างด้าว ไม่ใช่คนไทยแท้ๆ
“นั่นแหละครับ พอดีว่า เราได้เบาะแสเพิ่มเติม สารวัตรจึงให้มาเชิญคุณไปให้ปากคำอีกครั้งเวลานี้”
“ตอนนี้เลยเหรอคะ แต่มันมืดแล้วนะ” เธอบ่ายเบี่ยง
“ใช่ครับ ไปเวลานี้ สารวัตรให้มาเชิญตัว”
“งั้นหนูขอไปโทรศัพท์ถามสารวัตรก่อนนะคะว่า ขอเลื่อนเป็นพรุ่งนี้ได้มั้ย โทรศัพท์ชาร์จไฟอยู่บนห้องนอน”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ แค่มากับเราก็พอ” ตำรวจคนเดิมพูดพร้อมดึงชายเสื้อแจ็คเก็ตสีดำขึ้นคลุมปืนพกในมือ เล็งปากกระบอกปืนไปที่ลำตัวของขวัญชีวี “อย่าส่งเสียงร้องหรือทำอะไรที่จะทำให้ผมต้องยิงคุณ”
ใจของขวัญชีวีหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ยืนตัวแข็งทื่อ นี่มันอะไรกัน ทำไมตำรวจสองคนนี้ต้องใช้ปืนข่มขู่เธอด้วย
“เปิดประตูรั้ว เดินออกมาขึ้นรถ อย่าทำอะไรโง่ๆ ถ้าไม่อยากตาย” คนถือปืนสั่ง
ขวัญชีวีเลื่อนประตูรั้วเปิดเป็นช่องพอผ่านออกมาได้ คนถือปืนขยับเข้าประชิดด้านข้างเธอ อีกคนเปิดประตูผู้โดยสารด้านหลังรอไว้ เธอถูกคุมตัวขึ้นนั่ง มีชายอีกคนนั่งอยู่แล้วพร้อมปืนในมือ ประตูปิดลง สองคนแยกกันขึ้นรถ คนหนึ่งขึ้นนั่งเบาะผู้โดยสารหน้า ส่วนอีกคนทำหน้าที่คนขับ
ขวัญชีวีถูกพาตัวออกมาโดยละม่อม ไร้หนทางขัดขืนหรือร้องขอความช่วยเหลือ คนพวกนี้เป็นใคร เป็นตำรวจจริงหรือโจรในคราบตำรวจ แล้วเธอจะถูกพาตัวไปที่ไหน ด้วยจุดประสงค์อะไร แม่..แม่จ๋า หนูขอโทษ หนูควรจะเชื่อแม่ หนูควรจะอยู่กับเพื่อนแม่ตั้งแต่แรก
*********
ชายถือปืนที่นั่งอยู่เบาะผู้โดยสารด้านหลังข้างซ้ายของขวัญชีวีแสยะยิ้ม ปากกระบอกปืนจ่อมาที่ลำตัวของเธอตลอดตั้งแต่พวกมันพาตัวเธอขึ้นรถออกจากบ้านมา ชายคนนี้ผิวหน้าปรุ ตาหยี๋ จมูกเล็ก ปากหนา ผมหยิกหยอย ดูมีอายุเยอะกว่าสองคนข้างหน้า ขวัญชีวีเริ่มดูออกแล้วว่าพวกนี้คือตำรวจปลอม แต่ใช้รถสีเดียวกับรถตำรวจมาหลอกลวงเธอ จากตกใจกลัวเปลี่ยนมาเป็นรวบรวมสติ พร้อมเผชิญหน้ากับภยันตรายซึ่งหน้า
“พวกคุณเป็นใคร จับฉันมาทำไม” แสร้งพูดสุภาพด้วย
“มีเบอร์โทร.เลขาขวัญมั้ย” ชายถือปืนถามสิ่งที่เขาอยากรู้ทันที
“พวกคุณอยากรู้เบอร์โทร.ของแม่ฉันไปทำไม”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ บอกมาว่าเบอร์อะไร”
“ฉันไม่รู้”
การใช้ภาษาไทยของในคำพูดของชายคนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากอีกคนที่ใช้ปืนบังคับให้เธอขึ้นรถมา นี่มันพวกคนต่างด้าวชัดๆ..เธอบอกตัวเอง
“เป็นลูกสาว ต้องรู้สิ”
“ก็ฉันไม่รู้จริงๆ”
ชายหน้าปรุใช้ฝ่ามือซ้ายตบหน้าขวัญชีวีหนึ่งฉาดรุนแรงจนเธอหน้าสะบัดตามแรงฟาดและล้มไปชนพนักพิงเบาะ เขาตวาดลั่น “ปากแข็งนักนะ”
ขวัญชีวีสะบัดหน้าพรืด หมุนตัวหันข้างให้ชายหน้าปรุ เงียบเสียง ลักพาตัวฉันมา เอาปืนข่มขู่ แล้วยังตบหน้าฉันอีก ถ้าฉันรอดไปได้ ฉันจะเอาคืนให้สาสม..ชีวีคิด
“เธอคงอยากถูกทรมานสินะ ถึงจะพูด”
“พวกแกเป็นใคร” ขวัญชีวีถาม เปลี่ยนจาก “คุณ” เป็น “แก”
“คนที่จะทำให้แม่ของเธอออกมาจากที่ซ่อน”
“โจรลักพาตัวปลอมเป็นตำรวจซินะ”
“ก็ทำนองนั้น”
“ฉันจะไม่บอกอะไรพวกแก ถึงฉันจะถูกพวกแกฆ่าตายก็ตาม”
“ตายแล้วจะมีประโยชน์อะไร”
ขวัญชีวีชำเลืองมองที่มือเปิดประตูรถ สองจิตสองใจว่าจะดึงหมุดล็อคเปิดประตูแล้วกระโดดออกไปดีหรือไม่ แต่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง กระโดดลงอาจบาดเจ็บหนักหรือโดนรถคันที่ตามหลังมาชนเอา หากได้รับบาดเจ็บหรือตายไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร เธอมองที่กระจกประตูที่ติดฟิล์มทึบแล้วลดสายตาลงมาที่มือหมุนแบบเก่า มือคว้าหมุนจะลดกระจกลง แต่มันกลับติดแน่นไม่ขยับเยื้อน พลันชายหน้าปรุก็กระชากผมเธออย่างแรง ดึงเข้าหาตัวเขา แล้วใช้ท่อนแขนล็อคคอเธอเอาไว้ ปากกระบอกปืนจ่อที่ขมับ คำรามลั่น “อย่าแม้แต่จะคิด”
เธอพยายามดิ้นให้หลุด แต่ท่อนแขนนั้นแข็งแรงเกินกว่าเธอจะขัดขืน จึงจำเป็นต้องอยู่ในท่าถูกล็อคคออยู่อย่างนี้ไปก่อน ในหัวเธอคิดหาทางเอาตัวรอดออกจากรถ วิ่งหนี ตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่สิ่งแรกที่ต้องทำคือ รวบรวมสติ “หัดรู้จักใช้สมองและสติปัญญา อย่าใช้แต่อารมณ์และความรู้สึก” เสียงแม่ดังก้องในหัว คงต้องทำใจดีสู้เสือ ถึงอย่างไรชายคนนี้ก็ไม่ฆ่าเธออยู่ดี เพราะเธอยังมีประโยชน์สำหรับเขา
“เอาแขนออกไปได้มั้ย หนูอึดอัด แล้วหนูจะบอกเบอร์โทร.”
“เธอต้องไม่เล่นตุกติก คิดหนีอีก” ชายหน้าปรุบอก
“หนูไม่กล้าทำแล้ว”
“ดี” เขาปล่อยวงแขนออกจากคอของขวัญชีวี “บอกเบอร์มา”
เธอยันตัวกลับมานั่งในท่าปกติบนเบาะ “พวกคุณจะทำอะไรกับแม่หนู”
“อย่าถามเยอะ เอาเบอร์มา” เขาดึงโทรศัพท์ออกมาเปิดหน้าจอและรอพิมพ์หมายเลข
“ก็ได้ๆ 0987487525” ขวัญชีวีพูดเร็วปรื๋อ
“ไม่ทัน อีกทีซิ อย่ามาลูกไม้”
“เปล่าซะหน่อย หนูบอกไปแล้วนี่”
“เดี๋ยวโดนตบอีกรอบ คราวนี้ตบด้วยด้ามปืน” เขาเงื้อปืนขึ้นใส่หน้าเธอ
“โอเคๆ ก็ได้ๆ” เธอบอกหมายเลขแต่ละตัวช้าๆ
ชายหน้าปรุโทร.ออกไปตามหมายเลขนั้น สายว่าง แต่สัญญาณก็ดังอยู่อย่างนั้นจนตัดไปเอง เขาพยายามอีกครั้ง ผลก็ยังเหมือนเดิม “ไม่มีคนรับ ให้เบอร์ผิดหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่ผิดหรอก บางทีแม่หนูอาจจะกำลังยุ่ง ไม่ว่างรับสายก็ได้”
“มีเบอร์อื่นอีกมั้ย”
“ไม่มีแล้ว พยายามโทร.หน่อยซิ อยากให้แม่หนูรู้ว่าหนูถูกจับตัวมาอยู่แล้วนี่ ว่าแต่จะพาหนูไปไหนเนี่ย”
“เดี๋ยวก็รู้ นั่งเงียบๆ ไป” เขากดโทร.ออกอีกครั้งและอีกครั้ง แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม
ฟ้ามืดสนิทเมื่อรถกระบะสีน้ำตาล/ขาววิ่งเข้าถนนที่ตัดผ่านชุมชนสลับกับทุ่งนาและเนินเขา ชีวีไม่คุ้นเคยกับเส้นทางและสถานที่ที่รถกำลังแล่นผ่าน ทำอย่างไรเธอถึงจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือคนชั่วพวกนี้ได้นะ คิดสิคิด ยัยชีวี อย่าโง่นัก
รถชลอความเร็วลงพร้อมด้วยเสียงบ่นของคนขับว่าข้างหน้ามีรถเก็งขับช้า ขวางทางวิ่ง บังทางไว้ไม่ให้แซง ขับเหมือนคนเมา เขาจะเร่งแซงก็ถูกรถคันหน้าส่ายออกมาปิดทาง ชีวีมองข้ามไหล่คนขับไปเห็นรถคันข้างหน้าอยู่ห่างจากรถที่เธอนั่งอยู่ไปถึงสามเมตร เลื้อยไปมาเหมือนงูตัวอ้วนๆ ครู่เดียวคนขับรถปิคอัพก็กดแตรและโวยออกมาว่า “ขับรถบ้าอะไรของวะ หลีกทางไปซิโว๊ย!”
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็แซงขึ้นไปได้” คนนั่งข้างคนขับบอก
แต่แล้วรถก็ต้องหยุดลงกระทันหัน หน้าผากของขวัญชีวีทิ่มไปกระแทกพนักพิงเบาะข้างหน้าตามแรงเฉื่อย คนขับตะโกนลั่น“เฮ้ย..อะไรวะ! อยากจอดก็จอดกลางถ