ไม่อาจทราบได้ว่าแนวคิดตั้งต้นของผู้กำกับ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล นั้น ต้องการที่จะทำหนังการเมืองแล้วฉาบหน้าด้วยความเป็นไซไฟ หรืออยากทำหนังไซไฟแล้วบังเอิญว่ามันสามารถสอดแทรกการเมืองเข้าไปได้พอดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไรผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ เขาสามารถจัดการกับข้อมูลมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้มันทำให้เกิดแนวทางที่ “ต้องเป็นคนไทย” เท่านั้นที่จะเล่ามันออกมาได้ การเดินทางข้ามเวลาที่ไม่ใช่แค่วิถีของหนังไซไฟ แต่มีเรื่องราวการเมืองทั้งในแง่ของบาดแผลในอดีตและการวิพากษ์ระบอบทุนนิยมปะทะกับคอมมิวนิสต์สอดแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง (มีทั้งแบบโจ่งแจ้งและต้องตีความ)

.
ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง 25 นาทีของ Taklee Genesis ผู้กำกับมะเดี่ยวอัดผู้ชมจนน่วมด้วยชุดข้อมูลมหาศาล เริ่มจากเหตุการณ์ประหลาดที่หมู่บ้านดอนหาย การทดลองเกี่ยวกับเครื่อง “ตาคลี เจเนซิส” ของทหารอเมริกันในช่วงสงครามเวียดนาม การตามหาวงแหวนนำไปสู่การเดินทางย้อนเวลาไปที่วัฒนธรรมบ้านเชียงและมุ่งไปสู่เมือง “นิว อุดร” (New U-Dawn) ในอนาคต ยังไม่รวมเรื่องราวของสัตว์ประหลาดปริศนาและการไปโผล่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ กลายเป็นมหากาพย์เรื่องราวที่มีทั้งด้านดีและด้านด้อยไปพร้อมๆ กัน

.
ในด้านดี คือ ความรู้สึกเต็มอิ่มไปกับเรื่องราวการตามหาวงแหวนของสเตลล่า(พอลล่า เทย์เลอร์) เพื่อช่วยพ่อของเธอที่ติดอยู่ในอวกาศ แน่นอนว่าทุกอย่างต้องมีอุปสรรค ทำให้ภารกิจของสเตลล่าไม่ได้เป็นเส้นตรง(ไม่งั้นคงน่าเบื่อแย่) จุดนี้เองที่มะเดี่ยวใช้เพื่อนำพาผู้ชมไปสู่ประเด็นต่างๆ ที่เขาอยากจะเล่า เกิดเป็น “เส้นเรื่องย่อย” หลายเส้น ความซับซ้อนของตัวเรื่องจึงเพิ่มขึ้นด้วย และมันก็ท้าทายมันสมองของผู้ชมตลอดเวลา ที่นอกจากจะจดจ่ออยู่กับภารกิจของสเตลล่า ในขณะเดียวกันก็ต้องทำความเข้าใจเส้นเรื่องอื่นๆ ที่อยู่เหนือหลักเหตุและผลอีกต่างหาก (เพราะการข้ามเวลาย่อมทำลายหลักเหตุและผล) ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่ผลลัพธ์ คือ มะเดี่ยวพาผู้ชมไปได้ตลอดรอดฝั่งจนถึงท้ายเรื่อง อาจจะมีบางช่วงที่สั่นคลอนบ้างแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ (ยังดูรู้เรื่องอยู่)

.
แต่ถึงแม้จะดูรู้เรื่องและเข้าใจในสิ่งที่ผู้กำกับมะเดี่ยวต้องการจะสื่อ(ในส่วนใหญ่) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแผลใหญ่อันเป็นข้อด้อยของ Taklee Genesis และภาพยนตร์ไซไฟที่ผ่านๆ มาของไทยมักประสบเหมือนกัน ก็คือ การทำให้ “เชื่อ” ซึ่งตรงนี้มีทั้งส่วนที่น่าเห็นใจและส่วนที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ ส่วนที่น่าเห็นใจ คือ ด้วยความที่คอนเซ็ปต์ของ Taklee นั้น “ทะเยอทะยาน” มากเสียจนเป็นเรื่องยากที่จะสร้างฉากเหล่านั้นออกมาได้สมจริง หรืออย่างน้อยๆ ก็ใกล้เคียงกับที่ภาพยนตร์จากฮอลลิวูดทำได้

.
ความต่างนี้หากเทียบกับภาพยนตร์มาสเตอร์พีชของคริสโตเฟอร์ โนแลนด์ อย่าง Interstellar(2014) ที่ใช้ทุนสร้างถึง 165 ล้านดอลลาร์ฯ ในขณะที่ Taklee มีทุนสร้างราวๆ 60 ล้านบาท หรือประมาณ 1.8-2 ล้านดอลลาร์ฯ เท่านั้น (ต่างกันเกือบ100 เท่า) ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง ทั้งฉากความล่มสลาย สงครามกลางเมือง หรือสัตว์ประหลาดบุกเมือง จึงเป็นแค่ฉากหลังไกลๆ ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับตัวละครมากนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแย่จนดูไม่ได้เลย เพราะตัว CGI ของลูกบอลข้ามเวลา หรือแรปเตอร์ที่หลุดข้ามมิติ ก็ยังมีความน่าเชื่อถือและอยู่ในมาตรฐานที่ยอมรับได้เลยด้วยซ้ำ

.
แต่การเนรมิตชุมชนบ้านเชียงและคอนเซ็ปต์ของ “นิว อุดร” โลกอนาคตที่ล่มสลายของ Taklee Genesis กลับมีปัญหาที่กลายเป็นการฉุดตัวหนังลงไปพอสมควร ทั้งสถานที่เอย เสื้อผ้าหน้าผมเอย การแสดงเอย มันยังไม่อยู่ในจุดที่จะทำให้ผู้ชมยอมรับได้ว่า ฉากเหล่านี้มันคือช่วงเวลาเหล่านั้นจริงๆ ความรู้สึกที่ได้ของฉากเหล่านี้ คือคำว่า “จัดฉาก” ซึ่งปัญหาตรงนี้ไม่ได้เกิดจาก CGI แล้ว แต่เป็นปัญหาเรื่องทุนสร้างมากกว่า

.
ในส่วนของบ้านเชียงยังพอรับได้ แต่ “นิว อุดร” ค่อนข้างมีปัญหา เพราะมันแสดงถึงวิสัยทัศน์ที่ค่อนข้าง “เชย” ถ้าเป็นวิสัยทัศน์ของหนังเมื่อ 30-40 ปีก่อนก็ยังคงพอได้ แต่ในปี 2024 การได้เห็นอะไรแบบนี้ซ้ำๆ จากผลงานไซไฟของไทยทั้งจาก “Postman ไปรษณีย์ 4 โลก” และ “สลิธ โปรเจกต์ล่า” ที่ฉายเมื่อปีที่แล้ว และก็มาในคอนเซ็ปต์ใกล้ๆ กันนี้ มันจึงค่อนข้างน่าเป็นห่วงไม่น้อย (เดาไม่ยากว่าผลลัพธ์ของทั้งสองเรื่องเป็นอย่างไร)

.
และส่วนที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับทุนสร้างแล้ว และมันทำลายความน่าเชื่อถือของหนังมากกว่าที่กล่าวมา ทั้งหมด มันคือ บทพูดของตัวละคร (dialogue) ที่ขาดความเป็นธรรมชาติ อารมณ์เหมือนเอาบทภาษาอังกฤษมาแปลเป็นไทยแล้วใช้เลยแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตัวผู้กำกับและทีมงานเกือบทั้งหมดเป็นคนไทย (ดูได้จากเอ็นเครดิต) ปัญหาถัดจากนั้นเลยไปตกที่ตัวนักแสดงที่ต้องพูดบทเหล่านี้ออกมาแบบไม่เข้าปาก มันเลยฉุดการแสดงของพวกเขาไปด้วยแบบจังๆ (ไม่ได้ติดเรื่องที่สเตลล่าต้องพูดไทยคำอังกฤษคำเพราะเข้าใจได้ว่าเป็นลูกครึ่ง)

.
ซึ่งบทพูดแข็งๆ นี้ก็ยังเปิดแผลสำคัญอีกแผลที่น่าอึดอัดใจ ซึ่งก็คือ ตัวละคร น่าแปลกใจที่มะเดี่ยวไม่สามารถสร้างตัวละครให้ประทับใจผู้ชมได้ พูดตรงๆ เลย คือ ตัวของสเตลล่า ที่รับบทโดย พอลล่า เทย์เลอร์ เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างมีปัญหา การแสดงของเธอยังขึ้นๆ ลงๆ และไม่มีพลังมากพอจะแบกรับความมโหฬารของเรื่องราวไว้ได้ มันก็เป็นผลมาจากทั้งตัวนักแสดงเอง บทพูด และการพัฒนาตัวละคร ที่มีจุดน่าตลกเอามากๆ อย่างการตกงานของสเตลล่าที่มาจากปัญหาเรื่องดาวเคราะห์ 8 ดวงหรือ 9 ดวง มันชวนให้ขำก๊ากจริงๆ

.
หนำซ้ำตัวหนังยังใช้มัน(การทำงานในองค์กรวิทยาศาสตร์) เพื่อบอกเล่าว่าสเตลล่าจะต้องเข้าใจวิทยาศาสตร์ขั้นสูง อย่างกลศาสตร์ควอนตัม หรือทฤษฏีกาลเวลาทั้งหลาย เพราะตัวละครนี้ดูไม่ตกใจและไปด้วยกันได้อย่างรวดเร็วกับลูกบอลข้ามเวลา แถมยังสนทนาภาษาวิทย์เนิร์ดๆ กับตัวละครในอนาคตแบบหน้าตาเฉย แสดงว่าตัวละครนี้จบไม่ต่ำกว่าปริญญาเอกในสาขาฟิสิกส์แน่ๆ แต่ความรู้ระดับนี้กลับมานั่งเครียดในร้าน KFC ว่า คืนนี้จะนอนที่ไหนดีเพราะถูกไล่ออกจากงาน (เช่าโรงแรมถูกๆ สักคืนก็น่าจะได้นะ) นี่ยังไม่รวมนิสัยที่ชอบบ่นลูกตัวเอง “วาเลน” (นีน่า ณัฐชา เจสสิก้า พาโดวัน) ว่าเป็นภาระ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร (หมายถึงไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการสร้างนิสัยนี้ให้กับตัวละคร)

.
ตัวละครที่เหลือก็ต่างดูผิดที่ผิดทางไปหมด ทั้งอิษฐ์ (ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล) เพื่อนสมัยเด็กของสเตลล่าที่กลายเป็นครูประจำหมู่บ้าน ผู้ใหญ่จำนูญ (ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล) และก้อง (วอร์ วนรัตน์ รัศมีรัตน์) ลูกชายของเขา ทุกคนมีบทพูดที่แข็งไม่ต่างกัน การกระทำและการตัดสินใจของตัวละครล้วนแต่ทำให้ผู้ชมรู้สึกขัดใจอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งมนุษย์จากบ้านเชียงที่รับบทโดย ทราย-เจริญปุระ ก็ยังไม่เรียกได้ว่าเป็นการแสดงที่ดีสักเท่าไหร่ คงต้องมองย้อนไปที่ตัวผู้กำกับเองว่า ทำไมเขาจึงใช้นักแสดงคุณภาพได้ออกมาเป็นมือสมัครเล่นแบบนี้

.
ไม่น่าเชื่อว่าคนเดียวที่ใช้คำว่า “ผ่าน” ได้จริงๆ กลับเป็นน้อง นีน่า-ณัฐชา นักแสดงเด็กที่ไม่ว่าจะภาษาไทยหรืออังกฤษ น้องก็พูดได้เข้าปากแบบไม่มีเขิน อีกทั้งการใช้สีหน้าแววตา ท่าทางการแสดง ก็ล้วนไปได้ดีและกลมกลืนกับตัวหนัง พูดง่ายๆ คือเป็นธรรมชาติมากกว่าคนอื่นๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่จะเป็นเพชรเม็ดงามในอนาคตอย่างแน่นอน

.
มีแผลที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยสำหรับงานระดับผู้กำกับมะเดี่ยว เป็นแผลในระดับมือสมัครเล่นมากๆ อย่างการใช้เสียงประกอบฉาก มีจังหวะที่ตัวละครหยอดมุกใส่กันแล้วเสียงประกอบฉากก็ดังรับมุกนั้นหน้าตาเฉย หากอยู่ในสื่อพวกละครหรือรายการตลกในทีวีหรือไม่ก็คลิปยูทูปเบอร์ทั้งหลายก็คงไม่เป็นอะไร แต่การทำแบบนี้ในภาพยนตร์เป็นเรื่องต้องห้ามจริงๆ เพราะมันจะทำลายความน่าเชื่อถือ(ที่มีน้อยอยู่แล้ว)ลงไป ยังไม่นับรวมดนตรีกุ๊งกิ๊ก เบาอารมณ์ ที่ใส่มาแบบ ชวนให้สบถออกมาตอนได้ยินเลยว่า “อะไรวะเนี่ย”

.
น่าเสียดายจริงๆ ที่ Taklee Genesis เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ที่กลบข้อดีหลายอย่างทั้งการถ่ายภาพที่ดูพิถีพิถันไม่หยอกถึงขนาดสามารถฉายในระบบ IMAX ได้ มีหลายฉากที่ภาษาภาพค่อนข้างทรงพลัง ช็อต CGI ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ “ลอย” จนน่าเกลียด บวกกับบางช่วงที่ใช้เสียงบรรยายของเจนจิรา พงศ์พัศ นักแสดงรุ่นใหญ่ขาประจำของผู้กำกับเจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ที่บรรยายหลักการทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์ในรูปแบบภาษาอีสานที่ก็ให้ความรู้สึกขลังอย่างบอกไม่ถูก

.
ช่วงแรกประมาณ 15 - 20 นาทีแรกของ Taklee นั้นชวนให้นึกถึง “บ่มีวันจาก” ภาพยนตร์ทริลเลอร์-ไซไฟน้ำดีจากประเทศลาว ของผู้กำกับหญิงแมตตี้ โด ที่คล้ายกันมากในการนำเสนอความผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และความเชื่อไสยศาสตร์ ภายใต้บรรยากาศแบบ “บ้านเรา” ที่ดูลึกลับน่าสนใจและมีเอกลักษณ์ในแบบที่ฝรั่งทำไม่ได้แน่ๆ (Vilouna Phetmany นักแสดงนำจาก บ่มีวันจาก ก็ร่วมแสดงใน Taklee ด้วยเช่นกัน)

.
กลายเป็นว่าเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป โทนหนังก็เริ่มเปลี่ยนไปจากความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ดูมีความเป็นไปได้ ขยับข้ามไปเป็นความแฟนตาซีที่ความน่าเชื่อถือลดลง ประกอบกับแผลต่างๆ ที่เปิดออกมาหยุดหย่อน ปิดท้ายด้วยการเมืองและปรัชญาเบาๆ ที่น่าจะเป็นจุดหมายที่มะเดี่ยวต้องการจะสื่อ ทำให้ Taklee Genesis กลายเป็นต้มยำรวมมิตรที่พอเอาช้อนตักขึ้นมาดูจะเจอได้ทั้ง หมู ไก่ หมึก กุ้ง แล้วควานไปเรื่อยๆ ก็จะเจอ กระเพาะปลา ไข่เยี่ยวม้า หรือแม้กระทั่งเห็ดหลินจือ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามาได้ยังไงเหมือนกัน
Story Decoder
[รีวิว] Taklee Genesis - ครบเครื่องเรื่องวิทยาศาสตร์ การเมือง ปรัชญา กับปัญหาใหญ่ในการสร้างความเชื่อถือ
.
ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง 25 นาทีของ Taklee Genesis ผู้กำกับมะเดี่ยวอัดผู้ชมจนน่วมด้วยชุดข้อมูลมหาศาล เริ่มจากเหตุการณ์ประหลาดที่หมู่บ้านดอนหาย การทดลองเกี่ยวกับเครื่อง “ตาคลี เจเนซิส” ของทหารอเมริกันในช่วงสงครามเวียดนาม การตามหาวงแหวนนำไปสู่การเดินทางย้อนเวลาไปที่วัฒนธรรมบ้านเชียงและมุ่งไปสู่เมือง “นิว อุดร” (New U-Dawn) ในอนาคต ยังไม่รวมเรื่องราวของสัตว์ประหลาดปริศนาและการไปโผล่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ กลายเป็นมหากาพย์เรื่องราวที่มีทั้งด้านดีและด้านด้อยไปพร้อมๆ กัน
.
ในด้านดี คือ ความรู้สึกเต็มอิ่มไปกับเรื่องราวการตามหาวงแหวนของสเตลล่า(พอลล่า เทย์เลอร์) เพื่อช่วยพ่อของเธอที่ติดอยู่ในอวกาศ แน่นอนว่าทุกอย่างต้องมีอุปสรรค ทำให้ภารกิจของสเตลล่าไม่ได้เป็นเส้นตรง(ไม่งั้นคงน่าเบื่อแย่) จุดนี้เองที่มะเดี่ยวใช้เพื่อนำพาผู้ชมไปสู่ประเด็นต่างๆ ที่เขาอยากจะเล่า เกิดเป็น “เส้นเรื่องย่อย” หลายเส้น ความซับซ้อนของตัวเรื่องจึงเพิ่มขึ้นด้วย และมันก็ท้าทายมันสมองของผู้ชมตลอดเวลา ที่นอกจากจะจดจ่ออยู่กับภารกิจของสเตลล่า ในขณะเดียวกันก็ต้องทำความเข้าใจเส้นเรื่องอื่นๆ ที่อยู่เหนือหลักเหตุและผลอีกต่างหาก (เพราะการข้ามเวลาย่อมทำลายหลักเหตุและผล) ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่ผลลัพธ์ คือ มะเดี่ยวพาผู้ชมไปได้ตลอดรอดฝั่งจนถึงท้ายเรื่อง อาจจะมีบางช่วงที่สั่นคลอนบ้างแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ (ยังดูรู้เรื่องอยู่)
.
แต่ถึงแม้จะดูรู้เรื่องและเข้าใจในสิ่งที่ผู้กำกับมะเดี่ยวต้องการจะสื่อ(ในส่วนใหญ่) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแผลใหญ่อันเป็นข้อด้อยของ Taklee Genesis และภาพยนตร์ไซไฟที่ผ่านๆ มาของไทยมักประสบเหมือนกัน ก็คือ การทำให้ “เชื่อ” ซึ่งตรงนี้มีทั้งส่วนที่น่าเห็นใจและส่วนที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ ส่วนที่น่าเห็นใจ คือ ด้วยความที่คอนเซ็ปต์ของ Taklee นั้น “ทะเยอทะยาน” มากเสียจนเป็นเรื่องยากที่จะสร้างฉากเหล่านั้นออกมาได้สมจริง หรืออย่างน้อยๆ ก็ใกล้เคียงกับที่ภาพยนตร์จากฮอลลิวูดทำได้
.
ความต่างนี้หากเทียบกับภาพยนตร์มาสเตอร์พีชของคริสโตเฟอร์ โนแลนด์ อย่าง Interstellar(2014) ที่ใช้ทุนสร้างถึง 165 ล้านดอลลาร์ฯ ในขณะที่ Taklee มีทุนสร้างราวๆ 60 ล้านบาท หรือประมาณ 1.8-2 ล้านดอลลาร์ฯ เท่านั้น (ต่างกันเกือบ100 เท่า) ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง ทั้งฉากความล่มสลาย สงครามกลางเมือง หรือสัตว์ประหลาดบุกเมือง จึงเป็นแค่ฉากหลังไกลๆ ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับตัวละครมากนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแย่จนดูไม่ได้เลย เพราะตัว CGI ของลูกบอลข้ามเวลา หรือแรปเตอร์ที่หลุดข้ามมิติ ก็ยังมีความน่าเชื่อถือและอยู่ในมาตรฐานที่ยอมรับได้เลยด้วยซ้ำ
.
แต่การเนรมิตชุมชนบ้านเชียงและคอนเซ็ปต์ของ “นิว อุดร” โลกอนาคตที่ล่มสลายของ Taklee Genesis กลับมีปัญหาที่กลายเป็นการฉุดตัวหนังลงไปพอสมควร ทั้งสถานที่เอย เสื้อผ้าหน้าผมเอย การแสดงเอย มันยังไม่อยู่ในจุดที่จะทำให้ผู้ชมยอมรับได้ว่า ฉากเหล่านี้มันคือช่วงเวลาเหล่านั้นจริงๆ ความรู้สึกที่ได้ของฉากเหล่านี้ คือคำว่า “จัดฉาก” ซึ่งปัญหาตรงนี้ไม่ได้เกิดจาก CGI แล้ว แต่เป็นปัญหาเรื่องทุนสร้างมากกว่า
.
ในส่วนของบ้านเชียงยังพอรับได้ แต่ “นิว อุดร” ค่อนข้างมีปัญหา เพราะมันแสดงถึงวิสัยทัศน์ที่ค่อนข้าง “เชย” ถ้าเป็นวิสัยทัศน์ของหนังเมื่อ 30-40 ปีก่อนก็ยังคงพอได้ แต่ในปี 2024 การได้เห็นอะไรแบบนี้ซ้ำๆ จากผลงานไซไฟของไทยทั้งจาก “Postman ไปรษณีย์ 4 โลก” และ “สลิธ โปรเจกต์ล่า” ที่ฉายเมื่อปีที่แล้ว และก็มาในคอนเซ็ปต์ใกล้ๆ กันนี้ มันจึงค่อนข้างน่าเป็นห่วงไม่น้อย (เดาไม่ยากว่าผลลัพธ์ของทั้งสองเรื่องเป็นอย่างไร)
.
และส่วนที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับทุนสร้างแล้ว และมันทำลายความน่าเชื่อถือของหนังมากกว่าที่กล่าวมา ทั้งหมด มันคือ บทพูดของตัวละคร (dialogue) ที่ขาดความเป็นธรรมชาติ อารมณ์เหมือนเอาบทภาษาอังกฤษมาแปลเป็นไทยแล้วใช้เลยแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตัวผู้กำกับและทีมงานเกือบทั้งหมดเป็นคนไทย (ดูได้จากเอ็นเครดิต) ปัญหาถัดจากนั้นเลยไปตกที่ตัวนักแสดงที่ต้องพูดบทเหล่านี้ออกมาแบบไม่เข้าปาก มันเลยฉุดการแสดงของพวกเขาไปด้วยแบบจังๆ (ไม่ได้ติดเรื่องที่สเตลล่าต้องพูดไทยคำอังกฤษคำเพราะเข้าใจได้ว่าเป็นลูกครึ่ง)
.
ซึ่งบทพูดแข็งๆ นี้ก็ยังเปิดแผลสำคัญอีกแผลที่น่าอึดอัดใจ ซึ่งก็คือ ตัวละคร น่าแปลกใจที่มะเดี่ยวไม่สามารถสร้างตัวละครให้ประทับใจผู้ชมได้ พูดตรงๆ เลย คือ ตัวของสเตลล่า ที่รับบทโดย พอลล่า เทย์เลอร์ เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างมีปัญหา การแสดงของเธอยังขึ้นๆ ลงๆ และไม่มีพลังมากพอจะแบกรับความมโหฬารของเรื่องราวไว้ได้ มันก็เป็นผลมาจากทั้งตัวนักแสดงเอง บทพูด และการพัฒนาตัวละคร ที่มีจุดน่าตลกเอามากๆ อย่างการตกงานของสเตลล่าที่มาจากปัญหาเรื่องดาวเคราะห์ 8 ดวงหรือ 9 ดวง มันชวนให้ขำก๊ากจริงๆ
.
หนำซ้ำตัวหนังยังใช้มัน(การทำงานในองค์กรวิทยาศาสตร์) เพื่อบอกเล่าว่าสเตลล่าจะต้องเข้าใจวิทยาศาสตร์ขั้นสูง อย่างกลศาสตร์ควอนตัม หรือทฤษฏีกาลเวลาทั้งหลาย เพราะตัวละครนี้ดูไม่ตกใจและไปด้วยกันได้อย่างรวดเร็วกับลูกบอลข้ามเวลา แถมยังสนทนาภาษาวิทย์เนิร์ดๆ กับตัวละครในอนาคตแบบหน้าตาเฉย แสดงว่าตัวละครนี้จบไม่ต่ำกว่าปริญญาเอกในสาขาฟิสิกส์แน่ๆ แต่ความรู้ระดับนี้กลับมานั่งเครียดในร้าน KFC ว่า คืนนี้จะนอนที่ไหนดีเพราะถูกไล่ออกจากงาน (เช่าโรงแรมถูกๆ สักคืนก็น่าจะได้นะ) นี่ยังไม่รวมนิสัยที่ชอบบ่นลูกตัวเอง “วาเลน” (นีน่า ณัฐชา เจสสิก้า พาโดวัน) ว่าเป็นภาระ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร (หมายถึงไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการสร้างนิสัยนี้ให้กับตัวละคร)
.
ตัวละครที่เหลือก็ต่างดูผิดที่ผิดทางไปหมด ทั้งอิษฐ์ (ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล) เพื่อนสมัยเด็กของสเตลล่าที่กลายเป็นครูประจำหมู่บ้าน ผู้ใหญ่จำนูญ (ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล) และก้อง (วอร์ วนรัตน์ รัศมีรัตน์) ลูกชายของเขา ทุกคนมีบทพูดที่แข็งไม่ต่างกัน การกระทำและการตัดสินใจของตัวละครล้วนแต่ทำให้ผู้ชมรู้สึกขัดใจอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งมนุษย์จากบ้านเชียงที่รับบทโดย ทราย-เจริญปุระ ก็ยังไม่เรียกได้ว่าเป็นการแสดงที่ดีสักเท่าไหร่ คงต้องมองย้อนไปที่ตัวผู้กำกับเองว่า ทำไมเขาจึงใช้นักแสดงคุณภาพได้ออกมาเป็นมือสมัครเล่นแบบนี้
.
ไม่น่าเชื่อว่าคนเดียวที่ใช้คำว่า “ผ่าน” ได้จริงๆ กลับเป็นน้อง นีน่า-ณัฐชา นักแสดงเด็กที่ไม่ว่าจะภาษาไทยหรืออังกฤษ น้องก็พูดได้เข้าปากแบบไม่มีเขิน อีกทั้งการใช้สีหน้าแววตา ท่าทางการแสดง ก็ล้วนไปได้ดีและกลมกลืนกับตัวหนัง พูดง่ายๆ คือเป็นธรรมชาติมากกว่าคนอื่นๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่จะเป็นเพชรเม็ดงามในอนาคตอย่างแน่นอน
.
มีแผลที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยสำหรับงานระดับผู้กำกับมะเดี่ยว เป็นแผลในระดับมือสมัครเล่นมากๆ อย่างการใช้เสียงประกอบฉาก มีจังหวะที่ตัวละครหยอดมุกใส่กันแล้วเสียงประกอบฉากก็ดังรับมุกนั้นหน้าตาเฉย หากอยู่ในสื่อพวกละครหรือรายการตลกในทีวีหรือไม่ก็คลิปยูทูปเบอร์ทั้งหลายก็คงไม่เป็นอะไร แต่การทำแบบนี้ในภาพยนตร์เป็นเรื่องต้องห้ามจริงๆ เพราะมันจะทำลายความน่าเชื่อถือ(ที่มีน้อยอยู่แล้ว)ลงไป ยังไม่นับรวมดนตรีกุ๊งกิ๊ก เบาอารมณ์ ที่ใส่มาแบบ ชวนให้สบถออกมาตอนได้ยินเลยว่า “อะไรวะเนี่ย”
.
น่าเสียดายจริงๆ ที่ Taklee Genesis เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ที่กลบข้อดีหลายอย่างทั้งการถ่ายภาพที่ดูพิถีพิถันไม่หยอกถึงขนาดสามารถฉายในระบบ IMAX ได้ มีหลายฉากที่ภาษาภาพค่อนข้างทรงพลัง ช็อต CGI ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ “ลอย” จนน่าเกลียด บวกกับบางช่วงที่ใช้เสียงบรรยายของเจนจิรา พงศ์พัศ นักแสดงรุ่นใหญ่ขาประจำของผู้กำกับเจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ที่บรรยายหลักการทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์ในรูปแบบภาษาอีสานที่ก็ให้ความรู้สึกขลังอย่างบอกไม่ถูก
.
ช่วงแรกประมาณ 15 - 20 นาทีแรกของ Taklee นั้นชวนให้นึกถึง “บ่มีวันจาก” ภาพยนตร์ทริลเลอร์-ไซไฟน้ำดีจากประเทศลาว ของผู้กำกับหญิงแมตตี้ โด ที่คล้ายกันมากในการนำเสนอความผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และความเชื่อไสยศาสตร์ ภายใต้บรรยากาศแบบ “บ้านเรา” ที่ดูลึกลับน่าสนใจและมีเอกลักษณ์ในแบบที่ฝรั่งทำไม่ได้แน่ๆ (Vilouna Phetmany นักแสดงนำจาก บ่มีวันจาก ก็ร่วมแสดงใน Taklee ด้วยเช่นกัน)
.
กลายเป็นว่าเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป โทนหนังก็เริ่มเปลี่ยนไปจากความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ดูมีความเป็นไปได้ ขยับข้ามไปเป็นความแฟนตาซีที่ความน่าเชื่อถือลดลง ประกอบกับแผลต่างๆ ที่เปิดออกมาหยุดหย่อน ปิดท้ายด้วยการเมืองและปรัชญาเบาๆ ที่น่าจะเป็นจุดหมายที่มะเดี่ยวต้องการจะสื่อ ทำให้ Taklee Genesis กลายเป็นต้มยำรวมมิตรที่พอเอาช้อนตักขึ้นมาดูจะเจอได้ทั้ง หมู ไก่ หมึก กุ้ง แล้วควานไปเรื่อยๆ ก็จะเจอ กระเพาะปลา ไข่เยี่ยวม้า หรือแม้กระทั่งเห็ดหลินจือ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามาได้ยังไงเหมือนกัน
Story Decoder