นิยายเรื่องนี้ ขอสงวนสิทธิ์ในการนำไปเผยแพร่ทุกช่องทาง ห้าม กระทำการใด ๆ ก่อนได้รับอนุญาต ขอขอบพระคุณ
คำผกา
ตอนที่1. กำพร้า
แกรก...แกรก...ล้อเกวียนบดไปตามทางด่านซึ่งเต็มไปด้วยกรวด ดินแดงและหินแข็ง สองฟากฝั่งร่มครึ้มด้วยไม้ใหญ่น้อยนานาชนิด บางต้นสูงจนต้องแหงนคอตั้งบ่า บางต้นถูกตัดเหี้ยนเหลือแต่ตอสูงไม่เกินสะโพก สลับกับพุ่มหนามพุ่มหญ้าตามวิสัยป่าดิบแดนดง ด่านเส้นนี้เป็นทางสัญจรประจำของชาว
บ้านตัดหมอก หมู่บ้านสุดท้ายที่เร้นกายบนเขาสูงสู่หมู่บ้านอื่น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการนำของป่าหายากไปขาย เดินทางไปเพื่อซื้อหยูกยาเสื้อผ้าหรือข้าวของเครื่องใช้ยังตัวอำเภอ หรือที่หลายหมู่บ้านที่อยู่บนเขาเรียกกันตามภูมิประเทศว่า
เมืองล่าง ทว่า เกวียนเล่มนี้ซึ่งมีพ่อเป็นผู้ขับ แม่นอนซุกกายสั่นสะท้านเป็นระยะอยู่ใต้โปงผ้าผวยทั้งที่เป็นช่วงเมษาแดดจ้าร้อนผ่าว และลูกสาววัยแปดขวบเศษซึ่งกำลังน่ารักน่าชังตามประสาเด็กน้อยที่ถูกเลี้ยงดูด้วยความรักเท่าที่พ่อแม่จะให้ได้ กลับมุ่งหน้าไปตามทางด่านด้วยเหตุผลอื่น
“พ่อจ๋า ทำไมเราต้องเร่งไปบ้านป้าลำดวนด้วยล่ะจ๊ะ? แม่ยังเจ็บอยู่แบบนี้ฉันกลัวว่าแม่จะไม่ไหวเอา”
“ก็เพราะแม่เจ็บแบบนี้นี่เล่าพ่อจึงต้องพาแม่ไปบ้านป้าลำดวน ผกาเอ้ย...”
เด็กน้อยซึ่งมีนามว่า
คำผกา ทว่าชาวบ้านส่วนใหญ่รวมถึงพ่อแม่เรียกสั้น ๆ ว่า
ผกา ทำตาแป๋ว ฉงนนักกับคำพูดที่ดูย้อนแย้งของบิดา ก็ทั้งที่บอกอยู่แหมบ ๆ ว่าแม่อาการไม่สู้ดี แล้วทำไมถึงต้องพานั่งเกวียนข้ามป่าข้ามเขาเป็นวันเป็นคืนด้วยเล่า?
ความสงสัยอาจยิ่งใหญ่เกินไปที่เด็กจะเก็บงำเอาไว้กระมัง สีหน้าซึ่งบอกชัดยังผลให้
พรานต่วน บิดาของเด็กน้อยเหลือบมองแวบหนึ่งมุมปากยกยิ้ม แล้วจึงบอกเหตุผลที่แท้จริงว่า โรคที่
นางละไม แม่ของเด็กน้อยป่วยอยู่นั้นร้ายแรงเกินกว่าหมอพื้นบ้านในบ้านตัดหมอกจะรักษาได้
ข่าวคราวล่าสุดที่ได้ยินมา คือมีหมอจากตัวเมืองกำลังตระเวนไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ เพื่อรักษาผู้ไข้ ครั้นจะรอให้มายังบ้านตัดหมอกเห็นทีจะไม่ทันการ ทางที่ดีที่สุดคือพาผู้ไข้ไปหา ซึ่งยามนี้ตั้งโรงรักษาชั่วคราวอยู่ที่
มะค่าแดง หรือก็คือหมู่บ้านของ
นางลำดวน พี่สาวแท้ ๆ ของนางละไมนั่นเอง
แม้จะดูมีความหวังเพราะสองหมู่บ้านนั้นอยู่แทบจะเรียกว่าติดกัน มีเพียงผืนป่าและเขาใหญ่หนึ่งลูกกั้นเท่านั้น แต่มันเป็นระยะทางที่หนักหนาไม่น้อยสำหรับคนป่วย ทางดินทางด่านซึ่งขุดเพื่อใช้สัญจรโดยฝีมือชาวบ้านนั้น หาความราบเรียบสะดวกสบายไม่เจอ ลางทีล้อเกวียนฝั่งหนึ่งเบียดเชิงดอยขณะที่ล้ออีกฝั่งบดริมผาจะร่วงมิร่วงแหล่ ลางทีพื้นสองฝั่งไม่เท่ากันจนเกวียนเอียงกระเท่เร่ ข้าวของเครื่องใช้รวมทั้งตัวผู้ป่วยไหลไปกองอยู่ข้างหนึ่ง ลางที่ขึ้นมอ ลางทีลงห้วย ลางทีกระเด้งกระดอนจนตับไตไส้ปอดแทบกองรวมกันเพราะมีเนินสลับร่องราวลูกระนาด นั่น ยังไม่เท่าอันตรายที่ร้ายกาจยิ่งกว่าสิ่งใด สัตว์ร้าย สัตว์นักล่าที่ไม่รู้ว่ามันจะโผล่ออกมายามไหน
นั่นเอง พรานต่วนจำต้องขับเกวียนมือเดียว มืออีกข้างกำด้ามตะแบกขัดมันของลูกซองเดี่ยวคู่กายที่ใช้มาตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่ม ด้วยฝีมือที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของหมู่บ้าน การยิงลูกซองเดี่ยวมือเดียวได้อย่างแม่นยำในระยะหวังผลและแบบปุบปับนั้นหาใช่เรื่องยาก
ในป่าแห่งนี้ จุดใดก็ไม่อันตรายเท่า
ดงผีครวญ ดงไม้ซึ่งกินอาณาเขตหลายสิบไร่และทางด่านที่เกวียนแล่นขลุกขลัก ก็ดันผ่ากลางดงเสียด้วย ไม่มีทางอื่น ไม่มีทางอ้อม มีเพียงทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
“อ้าว! พ่อหยุดเกวียนทำไมรึจ๊ะ?” คำผกาถามด้วยความสงสัย เมื่ออยู่ไม่อยู่บิดาของตนเกิดหยุดสนทนาราวเป็นใบ้ ใบหน้าหรือก็เครียดเขม็งซ้ำยังกระชากเชือกให้วัวเทียมหยุดนิ่งอยู่กับที่เสียอย่างนั้น
“แม่มืง จะถึงดงผีครวญแล้วนะ ไหวไหม?”
“อืม...ไหวจ้ะพี่” ไม่ตอบเปล่า นางละไมเอี้ยวตัวค้นหาอะไรสักอย่างก่อนคลี่ผ้าออกเผยให้เห็นลูกซองเดี่ยวอีกกระบอก นางยันกายลุกขึ้นนั่งหลังพิงประทุน เอื้อมมือเปิดผ้าม่านด้านท้ายออกให้มุมมองกว้างพอ ท่าทางการกำกระชับมั่นนั้นแสดงให้รู้ว่านางเองก็ชำนาญการใช้ปืนอยู่ไม่น้อยทีเดียว คำผการู้สึกทึ่ง เพราะตัวเธอเองก็เพิ่งจะรู้ว่าแม่ผู้แสนเรียบร้อย แม่บ้านแม่เรือน ตื่นก่อนนอนทีหลังนางนี้ ยิงปืนเป็นกับเขาด้วย
“พี่จะลงไปดูเสียหน่อย มันย่ำเสียเกลื่อนเลย ไม่รู้เก่าใหม่แค่ไหน ดูลูกด้วย”
“จ้ะพี่” นางละไมตอบสั้น ๆ คำผกายังไม่เข้าใจว่าพ่อแม่พูดสิ่งใดกัน กระทั่งถูกแม่โอบกึ่งลากให้เข้าไปนั่งชิดกัน เสียงปลดห้ามไกตามด้วยง้างนกของนางละไม กดดันให้บรรยากาศภายในประทุนอึดอัดอย่างเหลือจะกล่าว
“เป็นยังไงบ้างพี่? ต้องกังวลไหม?”
“รอยใหม่ แม่ลูกอ่อน น่าจะสักชั่วโมงนี่เอง” พรานต่วนว่า แหงนหน้าขึ้นมองเมฆหม่นอันบอกว่ากำลังจะมีฝนเทลงมา ลมตะวันตกพัดแรงจนต้นไม้ต้นตอกโยกเอนสะบัดใบดังซู่ซ่า นี่ ไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิดขึ้นในฤดูร้อนเช่นนี้ เมฆหม่นบดบังให้แสงสว่างเหลือเพียงสลัวรางราวยามค่ำ
“ไปกัน เราต้องรีบแล้ว ไม่รู้ป่าเกิดเล่นตลกอะไรตอนนี้!?” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของพรานต่วนบอกชัดว่าสถานการณ์ที่เคยเป็นไปด้วยความปกติสุขยามนี้สิ้นไปแล้ว ยังไม่ทันที่เขาจะกระโจนขึ้นเกวียน ดวงตาของลูกสาวและเมียที่จ้องข้ามไหล่ด้วยอาการเบิ่งกว้างพลันบอกเป็นนัยน์ว่า ด้านหลังของเขา มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ใช่สิ่งดีปรากฏอยู่
“มันรึ?” พรานต่วนกระซิบถามเสียงเครียด
“ใช่...แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด”
พรานต่วนหลิ่วตาเล็กน้อย ยืนนิ่งใคร่ครวญคำพูดนั้นก่อนหลับตาทำสมาธิ ใช้อาคมผ่านห้วงจิตตรวจสอบดูว่าไอ้ที่อยู่ข้างหลังนั้นมันคือสิ่งใด ภาพกลุ่มควันเต้นเร่าในความมืดลักษณะสลับกันไปมาระหว่างมนุษย์และเสือบอกให้รู้ว่า ไอ้ที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหลังนั้นแท้จริงแล้วมันคือ “สมิง!”
แทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับคำสบถนั้น พรานต่วนหันขวับตวัดปืนขึ้นประทับจับในระดับเอวแล้วเหนี่ยวไกทันที
เปรี้ยง! วัวเทียมเกวียนถึงกับสะดุ้งโหยงทำท่าจะเตลิดหนี พรานต่วนรู้ดีว่าหากปล่อยไว้อันตรายย่อมเกิดแก่คนบนเกวียน ว่าพระคาถาเป่าใส่มือแล้วตบปับใส่วัวทั้งสองตัว เพียงเท่านั้นเอง มันสงบลงอย่างน่าประหลาด
เมื่อจัดการกับวัวเป็นที่เรียบร้อย สายตาพรานไพรจอมขมังเวทย์กวาดมองไปรอบทิศ วี่แววของสมิงร้ายหายไปราวกับไม่เคยมีมันอยู่ -่าเอ้ย! มาโผล่หน้าอาละวาดอะไรตอนนี้วะ? พรานต่วนคิด
เปรี้ยง! จังหวะนั้นเอง เสียงปืนแผดลั่นมาจากบนเกวียนพร้อมกลิ่นดินปืนคละคลุ้งตามด้วยเสียงหวีดร้องโหยหวนเล็กแหลมด้วยความเจ็บปวดของหญิงนางหนึ่ง ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นคำรามลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว แน่แล้ว ในขณะที่พรานต่วนพยายามมองหา มันกลับไปปรากฏตัวอยู่ด้านท้ายเกวียน และคงสะดุ้งวาบร่างสะบัดเร่าจากการยิงด้วยความแม่นยำและชำนาญนางละไมเข้าให้ไม่จุดใดก็จุดหนึ่ง แต่ที่แน่ ๆ บาดแผลคงสาหัสไม่น้อย
ตัวนางละไมเองก็ใช่จะเป็นสาวบ้านป่าธรรมดา เมื่อครั้งเป็นสาวแรกรุ่น นางเคยแบกปืนเข้าป่าล่าสัตว์แม้บิดาจะห้ามเพราะไม่ใช่หน้าที่ผู้หญิง ด้วยฝีมือที่เรียกว่าเข้าขั้นได้ในระดับหนึ่ง และจิตใจที่อาจหาญไม่แพ้ชายทั้งแท่ง ทั้งหมดทั้งมวลจึงมัดใจพรานต่วนเอาไว้อย่างเหนียวแน่นจนบัดนี้ซึ่งก็กินเวลาร่วมสิบกว่าปีเข้าไปแล้ว
“อยู่ไหม!?”
“ไม่อยู่พี่ มันหนีไปแล้ว!!” พรานต่วนถาม นางละไมตอบฉะฉานก่อนจะไอโขลกสำรอกลิ่มเลือดออกมาเพราะร่างกายไม่แข็งแรง
เห็นดังนั้น การตามล่าสมิงร้ายจำต้องละเอาไว้ก่อน ใช่จะปล่อยให้มันไปสร้างความเดือนร้อนให้คนอื่น แผนของพรานต่วนคือพาเมียรักและลูกไปส่งไว้ยังมะค่าแดง ส่วนตนจะกลับมาล่ามันจนกว่าจะสังหารได้ คิดได้แบบนั้นก็เร่งขับเกวียนออกจากจุดอันตรายทันที ร้องบอกเมียรักว่าทนเอาหน่อยอย่างน้อยให้พ้นจากดงนี่ไปก็พอ
อึดใจต่อมา ฟ้าพลันคำรามและผ่าเปรี้ยงลงยังยอดไม้ด้านหน้าไม่ไกลนัก คำผกาหวีดร้องด้วยความตกใจซุกหน้าอยู่กับอกแม่ตัวสั่นเป็นลูกนกน่าเวทนายิ่ง ต่อมาอีกเพียงอึดใจใหญ่ ฝนห่าหนึ่งก็เทลงมาปานฟ้ารั่ว ทัศนวิสัยที่มองเห็นเต็มที่ไม่เกินสองสามเมตรเท่านั้น พรานต่วนขบกรามแน่นด้วยความหัวเสีย หากเป็นแบบนี้ไม่ต่างกับตนและครอบครัวกลายเป็นหมูในอวย กลิ่นสาบอันเป็นอัตลักษณ์ของเสือร้ายคงไม่สามารถจับได้ และจุดที่มันซ่อนตัวหรือกระโจนเข้าใส่ก็คงมองไม่เห็นอีก ฉะนั้นต้องใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อพาลูกเมียออกไปจากดงนี่ให้จงได้ มือขวาปล่อยด้ามปืนพาดไว้บนตัก ล้วงเอาบางอย่างออกมาจากย่าม
“เอหิกุมาโร เอหิกุมารี อารักขานะ ปัจจะโยโหตุ!” จากนั้นทำการว่าพระคาถาปลุก
พรายแก้วและ
พรายคำ กุมารทองที่เขาพวกติดตัวไปไหนมาไหนเพื่อคุ้มภัยเป็นประจำให้ออกมาทำงาน
วัวเทียมเกวียนตัวซ้ายมีอันสะดุ้งโหยงเล็กนอยเมื่อสัมผัสได้ถึงไอเย็นไร้ที่มาที่ขึ้นขี่คอ ส่วนอีกตนนั่งห้อยขาอยู่ท้ายเกวียน มีเพียงพรานต่วนเท่านั้นที่เห็นเด่นชัดถนัดตา เพียงเท่านี้ก็พอให้สบายใจไปได้เปราะหนึ่ง หากเสือหรือสมิงไม่ร้ายกาจจนเกินไป เพียงสองเด็กผีนี่ก็รับมือได้สบายมาก ทว่า...
พ่อจ๋า ไอ้ตัวนี้มันร้ายเหลือ พ่อเรียกไอ้ถึกกับไอ้ดำออกมาจะดีกว่า เชื่อฉัน ลำพังฉันกับไอ้พรายคำเอามันไม่อยู่แน่
“ขนาดนั้นเชียวรึวะ? กับสมิงกี่ครั้งแล้วที่เอ็งช่วยกันล้มได้สบาย?” พรานต่วนถาม ไม่เชื่อหูตัวเองกับรายงานนั้น
มันไม่ใช่สมิงจ้ะพ่อ มันเป็นเสือเย็น เก่งกล้าเรื่องอาคมไม่แพ้พ่อทีเดียว และมันไม่ยอมปล่อยพ่อไปแน่ ยังไงก็กันเหนียวเอาไว้สักหน่อย เรียกไอ้ถึกกับไอ้ดำออกมาคุ้มกันอีกชั้นเถอะจ้ะ
จิ้งจกทักยังต้องชะงักคิดใหม่ คนทักยังต้องอ่อนไหวเปลี่ยนแผน แล้วนี่พรายกุมารทั้งทักทั้งท้วง มีหรือที่พรานต่วนจะปล่อยผ่าน อีกครั้งที่จำต้องล้วงมือเข้าไปในย่าม นำเอารูปหล่อทองเหลืองรมดำขนาดเท่ากำปั้นสองตัวออกมา หนึ่งชื่อ
ไอ้ถึกเป็นวัว อีกหนึ่ง
ไอ้ดำเป็นควาย ด้วยกรรมวิธีซึ่งเรียกว่าเป็นอาคมชั้นสูง ทั้งสองตัวนี้แข็งแกร่งและไม่เคยพ่ายให้สิ่งใดมาก่อน
(มีต่อครับ)
คำผกา
ไม่ว่าจะเป็นการนำของป่าหายากไปขาย เดินทางไปเพื่อซื้อหยูกยาเสื้อผ้าหรือข้าวของเครื่องใช้ยังตัวอำเภอ หรือที่หลายหมู่บ้านที่อยู่บนเขาเรียกกันตามภูมิประเทศว่าเมืองล่าง ทว่า เกวียนเล่มนี้ซึ่งมีพ่อเป็นผู้ขับ แม่นอนซุกกายสั่นสะท้านเป็นระยะอยู่ใต้โปงผ้าผวยทั้งที่เป็นช่วงเมษาแดดจ้าร้อนผ่าว และลูกสาววัยแปดขวบเศษซึ่งกำลังน่ารักน่าชังตามประสาเด็กน้อยที่ถูกเลี้ยงดูด้วยความรักเท่าที่พ่อแม่จะให้ได้ กลับมุ่งหน้าไปตามทางด่านด้วยเหตุผลอื่น
“พ่อจ๋า ทำไมเราต้องเร่งไปบ้านป้าลำดวนด้วยล่ะจ๊ะ? แม่ยังเจ็บอยู่แบบนี้ฉันกลัวว่าแม่จะไม่ไหวเอา”
“ก็เพราะแม่เจ็บแบบนี้นี่เล่าพ่อจึงต้องพาแม่ไปบ้านป้าลำดวน ผกาเอ้ย...”
เด็กน้อยซึ่งมีนามว่า คำผกา ทว่าชาวบ้านส่วนใหญ่รวมถึงพ่อแม่เรียกสั้น ๆ ว่า ผกา ทำตาแป๋ว ฉงนนักกับคำพูดที่ดูย้อนแย้งของบิดา ก็ทั้งที่บอกอยู่แหมบ ๆ ว่าแม่อาการไม่สู้ดี แล้วทำไมถึงต้องพานั่งเกวียนข้ามป่าข้ามเขาเป็นวันเป็นคืนด้วยเล่า?
ความสงสัยอาจยิ่งใหญ่เกินไปที่เด็กจะเก็บงำเอาไว้กระมัง สีหน้าซึ่งบอกชัดยังผลให้พรานต่วน บิดาของเด็กน้อยเหลือบมองแวบหนึ่งมุมปากยกยิ้ม แล้วจึงบอกเหตุผลที่แท้จริงว่า โรคที่นางละไม แม่ของเด็กน้อยป่วยอยู่นั้นร้ายแรงเกินกว่าหมอพื้นบ้านในบ้านตัดหมอกจะรักษาได้
ข่าวคราวล่าสุดที่ได้ยินมา คือมีหมอจากตัวเมืองกำลังตระเวนไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ เพื่อรักษาผู้ไข้ ครั้นจะรอให้มายังบ้านตัดหมอกเห็นทีจะไม่ทันการ ทางที่ดีที่สุดคือพาผู้ไข้ไปหา ซึ่งยามนี้ตั้งโรงรักษาชั่วคราวอยู่ที่มะค่าแดง หรือก็คือหมู่บ้านของนางลำดวน พี่สาวแท้ ๆ ของนางละไมนั่นเอง
แม้จะดูมีความหวังเพราะสองหมู่บ้านนั้นอยู่แทบจะเรียกว่าติดกัน มีเพียงผืนป่าและเขาใหญ่หนึ่งลูกกั้นเท่านั้น แต่มันเป็นระยะทางที่หนักหนาไม่น้อยสำหรับคนป่วย ทางดินทางด่านซึ่งขุดเพื่อใช้สัญจรโดยฝีมือชาวบ้านนั้น หาความราบเรียบสะดวกสบายไม่เจอ ลางทีล้อเกวียนฝั่งหนึ่งเบียดเชิงดอยขณะที่ล้ออีกฝั่งบดริมผาจะร่วงมิร่วงแหล่ ลางทีพื้นสองฝั่งไม่เท่ากันจนเกวียนเอียงกระเท่เร่ ข้าวของเครื่องใช้รวมทั้งตัวผู้ป่วยไหลไปกองอยู่ข้างหนึ่ง ลางที่ขึ้นมอ ลางทีลงห้วย ลางทีกระเด้งกระดอนจนตับไตไส้ปอดแทบกองรวมกันเพราะมีเนินสลับร่องราวลูกระนาด นั่น ยังไม่เท่าอันตรายที่ร้ายกาจยิ่งกว่าสิ่งใด สัตว์ร้าย สัตว์นักล่าที่ไม่รู้ว่ามันจะโผล่ออกมายามไหน
นั่นเอง พรานต่วนจำต้องขับเกวียนมือเดียว มืออีกข้างกำด้ามตะแบกขัดมันของลูกซองเดี่ยวคู่กายที่ใช้มาตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่ม ด้วยฝีมือที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของหมู่บ้าน การยิงลูกซองเดี่ยวมือเดียวได้อย่างแม่นยำในระยะหวังผลและแบบปุบปับนั้นหาใช่เรื่องยาก
ในป่าแห่งนี้ จุดใดก็ไม่อันตรายเท่าดงผีครวญ ดงไม้ซึ่งกินอาณาเขตหลายสิบไร่และทางด่านที่เกวียนแล่นขลุกขลัก ก็ดันผ่ากลางดงเสียด้วย ไม่มีทางอื่น ไม่มีทางอ้อม มีเพียงทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
“อ้าว! พ่อหยุดเกวียนทำไมรึจ๊ะ?” คำผกาถามด้วยความสงสัย เมื่ออยู่ไม่อยู่บิดาของตนเกิดหยุดสนทนาราวเป็นใบ้ ใบหน้าหรือก็เครียดเขม็งซ้ำยังกระชากเชือกให้วัวเทียมหยุดนิ่งอยู่กับที่เสียอย่างนั้น
“แม่มืง จะถึงดงผีครวญแล้วนะ ไหวไหม?”
“อืม...ไหวจ้ะพี่” ไม่ตอบเปล่า นางละไมเอี้ยวตัวค้นหาอะไรสักอย่างก่อนคลี่ผ้าออกเผยให้เห็นลูกซองเดี่ยวอีกกระบอก นางยันกายลุกขึ้นนั่งหลังพิงประทุน เอื้อมมือเปิดผ้าม่านด้านท้ายออกให้มุมมองกว้างพอ ท่าทางการกำกระชับมั่นนั้นแสดงให้รู้ว่านางเองก็ชำนาญการใช้ปืนอยู่ไม่น้อยทีเดียว คำผการู้สึกทึ่ง เพราะตัวเธอเองก็เพิ่งจะรู้ว่าแม่ผู้แสนเรียบร้อย แม่บ้านแม่เรือน ตื่นก่อนนอนทีหลังนางนี้ ยิงปืนเป็นกับเขาด้วย
“พี่จะลงไปดูเสียหน่อย มันย่ำเสียเกลื่อนเลย ไม่รู้เก่าใหม่แค่ไหน ดูลูกด้วย”
“จ้ะพี่” นางละไมตอบสั้น ๆ คำผกายังไม่เข้าใจว่าพ่อแม่พูดสิ่งใดกัน กระทั่งถูกแม่โอบกึ่งลากให้เข้าไปนั่งชิดกัน เสียงปลดห้ามไกตามด้วยง้างนกของนางละไม กดดันให้บรรยากาศภายในประทุนอึดอัดอย่างเหลือจะกล่าว
“เป็นยังไงบ้างพี่? ต้องกังวลไหม?”
“รอยใหม่ แม่ลูกอ่อน น่าจะสักชั่วโมงนี่เอง” พรานต่วนว่า แหงนหน้าขึ้นมองเมฆหม่นอันบอกว่ากำลังจะมีฝนเทลงมา ลมตะวันตกพัดแรงจนต้นไม้ต้นตอกโยกเอนสะบัดใบดังซู่ซ่า นี่ ไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิดขึ้นในฤดูร้อนเช่นนี้ เมฆหม่นบดบังให้แสงสว่างเหลือเพียงสลัวรางราวยามค่ำ
“ไปกัน เราต้องรีบแล้ว ไม่รู้ป่าเกิดเล่นตลกอะไรตอนนี้!?” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของพรานต่วนบอกชัดว่าสถานการณ์ที่เคยเป็นไปด้วยความปกติสุขยามนี้สิ้นไปแล้ว ยังไม่ทันที่เขาจะกระโจนขึ้นเกวียน ดวงตาของลูกสาวและเมียที่จ้องข้ามไหล่ด้วยอาการเบิ่งกว้างพลันบอกเป็นนัยน์ว่า ด้านหลังของเขา มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ใช่สิ่งดีปรากฏอยู่
“มันรึ?” พรานต่วนกระซิบถามเสียงเครียด
“ใช่...แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด”
พรานต่วนหลิ่วตาเล็กน้อย ยืนนิ่งใคร่ครวญคำพูดนั้นก่อนหลับตาทำสมาธิ ใช้อาคมผ่านห้วงจิตตรวจสอบดูว่าไอ้ที่อยู่ข้างหลังนั้นมันคือสิ่งใด ภาพกลุ่มควันเต้นเร่าในความมืดลักษณะสลับกันไปมาระหว่างมนุษย์และเสือบอกให้รู้ว่า ไอ้ที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหลังนั้นแท้จริงแล้วมันคือ “สมิง!”
แทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับคำสบถนั้น พรานต่วนหันขวับตวัดปืนขึ้นประทับจับในระดับเอวแล้วเหนี่ยวไกทันที เปรี้ยง! วัวเทียมเกวียนถึงกับสะดุ้งโหยงทำท่าจะเตลิดหนี พรานต่วนรู้ดีว่าหากปล่อยไว้อันตรายย่อมเกิดแก่คนบนเกวียน ว่าพระคาถาเป่าใส่มือแล้วตบปับใส่วัวทั้งสองตัว เพียงเท่านั้นเอง มันสงบลงอย่างน่าประหลาด
เมื่อจัดการกับวัวเป็นที่เรียบร้อย สายตาพรานไพรจอมขมังเวทย์กวาดมองไปรอบทิศ วี่แววของสมิงร้ายหายไปราวกับไม่เคยมีมันอยู่ -่าเอ้ย! มาโผล่หน้าอาละวาดอะไรตอนนี้วะ? พรานต่วนคิด
เปรี้ยง! จังหวะนั้นเอง เสียงปืนแผดลั่นมาจากบนเกวียนพร้อมกลิ่นดินปืนคละคลุ้งตามด้วยเสียงหวีดร้องโหยหวนเล็กแหลมด้วยความเจ็บปวดของหญิงนางหนึ่ง ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นคำรามลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว แน่แล้ว ในขณะที่พรานต่วนพยายามมองหา มันกลับไปปรากฏตัวอยู่ด้านท้ายเกวียน และคงสะดุ้งวาบร่างสะบัดเร่าจากการยิงด้วยความแม่นยำและชำนาญนางละไมเข้าให้ไม่จุดใดก็จุดหนึ่ง แต่ที่แน่ ๆ บาดแผลคงสาหัสไม่น้อย
ตัวนางละไมเองก็ใช่จะเป็นสาวบ้านป่าธรรมดา เมื่อครั้งเป็นสาวแรกรุ่น นางเคยแบกปืนเข้าป่าล่าสัตว์แม้บิดาจะห้ามเพราะไม่ใช่หน้าที่ผู้หญิง ด้วยฝีมือที่เรียกว่าเข้าขั้นได้ในระดับหนึ่ง และจิตใจที่อาจหาญไม่แพ้ชายทั้งแท่ง ทั้งหมดทั้งมวลจึงมัดใจพรานต่วนเอาไว้อย่างเหนียวแน่นจนบัดนี้ซึ่งก็กินเวลาร่วมสิบกว่าปีเข้าไปแล้ว
“อยู่ไหม!?”
“ไม่อยู่พี่ มันหนีไปแล้ว!!” พรานต่วนถาม นางละไมตอบฉะฉานก่อนจะไอโขลกสำรอกลิ่มเลือดออกมาเพราะร่างกายไม่แข็งแรง
เห็นดังนั้น การตามล่าสมิงร้ายจำต้องละเอาไว้ก่อน ใช่จะปล่อยให้มันไปสร้างความเดือนร้อนให้คนอื่น แผนของพรานต่วนคือพาเมียรักและลูกไปส่งไว้ยังมะค่าแดง ส่วนตนจะกลับมาล่ามันจนกว่าจะสังหารได้ คิดได้แบบนั้นก็เร่งขับเกวียนออกจากจุดอันตรายทันที ร้องบอกเมียรักว่าทนเอาหน่อยอย่างน้อยให้พ้นจากดงนี่ไปก็พอ
อึดใจต่อมา ฟ้าพลันคำรามและผ่าเปรี้ยงลงยังยอดไม้ด้านหน้าไม่ไกลนัก คำผกาหวีดร้องด้วยความตกใจซุกหน้าอยู่กับอกแม่ตัวสั่นเป็นลูกนกน่าเวทนายิ่ง ต่อมาอีกเพียงอึดใจใหญ่ ฝนห่าหนึ่งก็เทลงมาปานฟ้ารั่ว ทัศนวิสัยที่มองเห็นเต็มที่ไม่เกินสองสามเมตรเท่านั้น พรานต่วนขบกรามแน่นด้วยความหัวเสีย หากเป็นแบบนี้ไม่ต่างกับตนและครอบครัวกลายเป็นหมูในอวย กลิ่นสาบอันเป็นอัตลักษณ์ของเสือร้ายคงไม่สามารถจับได้ และจุดที่มันซ่อนตัวหรือกระโจนเข้าใส่ก็คงมองไม่เห็นอีก ฉะนั้นต้องใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อพาลูกเมียออกไปจากดงนี่ให้จงได้ มือขวาปล่อยด้ามปืนพาดไว้บนตัก ล้วงเอาบางอย่างออกมาจากย่าม
“เอหิกุมาโร เอหิกุมารี อารักขานะ ปัจจะโยโหตุ!” จากนั้นทำการว่าพระคาถาปลุกพรายแก้วและพรายคำ กุมารทองที่เขาพวกติดตัวไปไหนมาไหนเพื่อคุ้มภัยเป็นประจำให้ออกมาทำงาน
วัวเทียมเกวียนตัวซ้ายมีอันสะดุ้งโหยงเล็กนอยเมื่อสัมผัสได้ถึงไอเย็นไร้ที่มาที่ขึ้นขี่คอ ส่วนอีกตนนั่งห้อยขาอยู่ท้ายเกวียน มีเพียงพรานต่วนเท่านั้นที่เห็นเด่นชัดถนัดตา เพียงเท่านี้ก็พอให้สบายใจไปได้เปราะหนึ่ง หากเสือหรือสมิงไม่ร้ายกาจจนเกินไป เพียงสองเด็กผีนี่ก็รับมือได้สบายมาก ทว่า...
พ่อจ๋า ไอ้ตัวนี้มันร้ายเหลือ พ่อเรียกไอ้ถึกกับไอ้ดำออกมาจะดีกว่า เชื่อฉัน ลำพังฉันกับไอ้พรายคำเอามันไม่อยู่แน่
“ขนาดนั้นเชียวรึวะ? กับสมิงกี่ครั้งแล้วที่เอ็งช่วยกันล้มได้สบาย?” พรานต่วนถาม ไม่เชื่อหูตัวเองกับรายงานนั้น
มันไม่ใช่สมิงจ้ะพ่อ มันเป็นเสือเย็น เก่งกล้าเรื่องอาคมไม่แพ้พ่อทีเดียว และมันไม่ยอมปล่อยพ่อไปแน่ ยังไงก็กันเหนียวเอาไว้สักหน่อย เรียกไอ้ถึกกับไอ้ดำออกมาคุ้มกันอีกชั้นเถอะจ้ะ
จิ้งจกทักยังต้องชะงักคิดใหม่ คนทักยังต้องอ่อนไหวเปลี่ยนแผน แล้วนี่พรายกุมารทั้งทักทั้งท้วง มีหรือที่พรานต่วนจะปล่อยผ่าน อีกครั้งที่จำต้องล้วงมือเข้าไปในย่าม นำเอารูปหล่อทองเหลืองรมดำขนาดเท่ากำปั้นสองตัวออกมา หนึ่งชื่อไอ้ถึกเป็นวัว อีกหนึ่งไอ้ดำเป็นควาย ด้วยกรรมวิธีซึ่งเรียกว่าเป็นอาคมชั้นสูง ทั้งสองตัวนี้แข็งแกร่งและไม่เคยพ่ายให้สิ่งใดมาก่อน
(มีต่อครับ)