เพียงรัก (1)

* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะ
Ep. 29 > Part 1 สีชมพู


สีชมพู (Pink) แสดงถึง ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข โรแมนติก มิตรภาพ นุ่มนวล อ่อนโยน ไร้เดียงสา อ่อนเยาว์ ดูแลเอาใจใส่ ทะนุถนอม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จิตใจดี บอบบาง น่าเอ็นดู เสน่ห์ สุขภาพดี อ่อนไหวทาง มีพลังในการรักษา ช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย[1]


อ้างอิงจากเรื่อง “The Importance of COLOR Choice in Marketing” [2]ที่นำมาใช้ในการออกแบบโลโก้ หน้าเว็บ Content หรือ Products ต่าง ๆ เพื่อให้ตรงกับ Brand Identity[3] ให้มากที่สุด




ปี 2549-2551 


ฉันอายุราว 23-25 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี และเข้าทำงานในวงการธุรกิจออกกำลังกาย สัญชาติอเมริกัน ย่านถนนสีลม ฉันได้เงินเดือน ค่าล่วงเวลา และค่าคอมมิชชัน รวมรายได้ต่อเดือนเป็นที่น่าพอใจ และระหว่างนั้นฉันมีความรัก





ดี เป็นผู้ชาย หน้าตาไทยแท้ รูปร่างกำยำล่ำสัน โครงร่างใหญ่ ดูแข็งแรง สูง 183 ซม. ตัดผมทรง Buzzcut [4] แต่งตัวแนว Basic Look [5] ชื่นชอบการขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นอย่างมาก น้ำเสียงทุ้ม สนุกสนาน ไม่เรื่องมาก กินง่าย อยู่ง่าย เกิดปีระกา อายุ 25-26 ปี ซึ่งอายุมากกว่าฉันเพียง 2 ปี และดีเป็นเพื่อนของเพื่อนฉันอีกที ฉันและดีจึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว





พ่อของดีเป็นอดีตข้าราชการตำรวจบำนาญ แม่เป็นพนักงานอาวุโสในบริษัทเอกชนส่งออกอาหารทะเลย่านสีลม น้องสาวของดีมีอายุ ปีเกิด และจบการศึกษารุ่นเดียวกับฉัน ทำงานเป็นพริตตี้ขายเครื่องสำอาง ส่วนดี ทำอาชีพประกอบรถจักรยานยนต์เวสป้า รับสั่งอะไหล่รถเวสป้า และจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเอกชน บ้านค่อนข้างมีฐานะ ทั้งหมดเป็นคำสนับสนุน บอกเล่า และลุ้นจนตัวโก่งของแนน ซึ่งเป็นเพื่อนกับเพื่อนสนิทของฉัน





ฉันในวัย 23-24 ปี ไม่ได้เชื่อสิ่งที่ดีหรือแนนพูดเสียทุกเรื่อง และก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับข้อมูลที่ได้รับจากคำบอกเล่าของแนน ฉันเพียงแค่ฟังรับรู้แล้วตอบ “เออ ออ อืม เหรอ” ผ่าน ๆ ไปเท่านั้น ไม่ได้เอะใจ ข้องใจหรือมีคำถามว่า ข้อมูลที่ได้รับฟังมานันเป็นความจริงหรือไม่ ฉันปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป ไร้การกังขา


ฉันคิดว่า ถ้าดีมีนิสัยดี เข้ากับฉันได้ ฉันก็คบดี ถ้าดีนิสัยไม่ดี เข้ากันไม่ได้ ฉันแค่ปลีกตัวออกห่าง หลบหน้าหลบตา หลบเลี่ยง บ่ายเบี่ยงไม่รับโทรศัพท์ จากนั้นก็บอกลาต่างคนต่างแยกย้ายกันไปก็เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นเสียเลยที่ต้องสนใจสืบหาความจริงกับเรื่องแบบนี้ ไม่เห็นต้องรีบสนใจเลย แต่ฉันคิดน้อยเกินไป



“ดูหนังเรื่องอะไรกันดีอ่ะ กินอะไรดี” ดีถามฉันอย่างยิ้มแย้มทุกครั้ง


“ฉันอยากดูเรื่องนี้ xx อยากกิน Sizzler และไอศกรีมสเวนเซ่นส์ด้วย” ฉันหันไปตอบดี 


“โอเค ป่ะ” ดีตอบอย่างตามใจ


ฉัน กับดีนัดกัน กินข้าว ดูหนัง เดินเล่นที่ห้างฯ  ในช่วงสายของวันหยุดงาน ทุกครั้งที่นัดเจอกันดีจะค่อนข้างตามใจแล้วแต่ฉัน 


จะทำอะไรกันดีวันนี้? 

ไปไหนกันดี? 

กินอะไรกันดี? 

ไปไหนต่อดีอ่ะ? 


ไม่มีสักครั้งที่ฉันเป็นคนควักเงินจ่าย และดีไม่เคยขัดใจ เราทั้งสองคนไม่เคยทะเลาะกัน แม้แต่ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันสักครั้งก็ไม่มี


ทุกวันดีจะขับรถฯ จากนนทบุรี มารับฉันที่ลาดพร้าว และส่งฉันที่ทำงานบนถนนสีลม เวลาฉันเลิกงาน 19.00 น. ดีก็จะมารอฉันหน้าที่ทำงานพาฉันไปกินข้าว ส่งฉันที่ลาดพร้าว แล้วก็ขับรถฯ กลับบ้านที่นนทบุรี 


ช่วงกลางคืนวันศุกร์จะมีนัดดื่มกับเพื่อน ๆ ดีก็จะเป็นผู้มารับส่งฉันที่ลาดพร้าว และขับรถฯ กลับนนทบุรีเสมอ มันเป็นแบบนี้เรื่อยมา  


ฉันไม่เคยคลางแคลงใจสักนิดเดียว!! ทำไมดีถึงตามใจ และมีเวลาให้ฉันอย่างมากมายถึงเพียงนี้ เงินที่ดีนำมาใช้จ่ายมาจากไหน? เป็นเงินใคร? ดีทำงานเวลาใด? เลิกงานกี่โมง? ลูกค้ามาจากไหน? หาลูกค้ายังไง? ฉันไม่เคยถามดีเลยสักครั้ง 


นั่งย้อนคิดไปตอนนั้นฉันไม่อยากรู้เลยหรือไงนะ? ทำไมฉันไม่เอะใจนะ? ฉันคิดแต่เรื่องของตัวเองหรือ? ฉันไม่มีข้อมูลส่วนตัวของดีเลย มีแต่ข้อมูลที่ได้จากแนนเท่านั้น ฉันไม่เห็น Red Flags [6] ในความสัมพันธ์ครั้งนี้แม้แต่นิดเดียว



“อ้วกอีกแล้วหรอ ปวดหัวไหม” ดีถามฉัน พร้อมยื่นมือมาลูบผม กับเต๊ะที่หน้าผากฉัน


“อืม” ฉันตอบ ฉันอาจดื่มเหล้า นอนไม่เพียงพอ และสูบบุหรี่มากเกินไป ฉันคงต้องพักเรื่องนี้แล้วสินะ ฉันคิดแบบนั้น


“ไปกินข้าวป่ะ นอนเผื่อจะหาย” ดีแนะนำฉัน แล้วก็พาฉันไปกินข้าวร้านอาหารตามสั่ง


ฉันกินข้าวได้ปกติ แต่สักพักก็อาเจียรออกเหมือนเดิม เป็นแบบนั้นต่อเนื่องสัก 3-4 วัน จนถึงวันหยุดช่วงกลางดึก ฉันอาเจียรบ่อยมากจนคล้ายจะเป็นลม ดีจึงพาฉันไปพบแพทย์เพื่อโรคต่าง ๆ เผื่อฉันป่วยหนัก 


แพทย์ทำการตรวจเลือด และปัสสาวะ ผลการตรวจออกมาว่า ฉันตั้งครรภ์ 4 เดือน อาการที่ฉันเป็นเรียกว่า “อาการแพ้ท้อง” อาการนี้ยาวนานจนฉันท้องโต เกือบใกล้คลอดอาการจึงหายไป[7]


“จะเก็บไว้หรือเปล่า” 

ดีถามฉัน


“หมายถึงอะไร” 

ฉันถามกลับ


“ก็ถ้าไม่เก็บจะบอกกับแม่ขอเงินไปxxxxxxxxxx” 

ดีเสนอแนะฉัน


“เก็บ ไม่ต้องรับผิดชอบ อยากไป ๆ ได้เลย” 

ฉันบอกดี ฉันคิดแบบนั้นจริง ๆ ฉันไม่โกรธ ฉันีดว่าฉันน่าจะเลี้ยงดูเด็กได้โดยที่ไม่ลำบากอะไร


ในตอนนั้นดีไม่ได้อยู่ในใจแล้ว ในสมอง ในความคิดฉันมีแต่เด็กที่อยู่ในท้องฉันคนนี้ ทันทีที่รู้ผลตรวจว่าฉันท้อง ฉันรักเด็กคนนี้ทันที ฉันไม่แน่เหมือนกันว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร?คล้ายอาการตกหลุมรักหรือเปล่านะ! ว่าแต่ชีวิตนี้ฉันเคยตกหลุมรักใครหรือยังนะ?


ดีถามฉันทันทีที่ขึ้นรถฯ แล้วขับรถฯ มาส่งฉันที่ลาดพร้าว ฉันลงรถฯ แล้วเปิดบ้านฉันไม่ได้หันมามองดีอีกเลย ส่วนดีก็ขับรถฯ ออกไป ไม่มีการคุยอะไรกันหลังจากนั้น ฉันก็ไปทำงานของฉันตามปกติ



“ถามจริง จะเอาไว้จริง ๆ ใช่ไหม” พ่อของดี เป็นชายสูงวัยอายุประมาณ 60 ปี ถามฉัน 

“ค่ะ ทำไมหรือคะ” ฉันถามกลับ

“เปล่า คิดว่าจะไม่เอาไว้เสียอีก”  พ่อของดีตอบพรางยิ้มมุมปาก 


ยิ้มแบบนั้น สายตาแบบนั้นคืออะไรกันนะ ช่างมันเถอะ ฉันช่างมัน และปล่อยทุกเรื่องผ่านไปเสมอ


วันหยุดดีไปรับฉันที่ลาดพร้าว เพื่อมากินข้าวกับครอบครัวที่นนทบุรี ฉันเข้าผู้ใหญ่ไม่ได้อยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ ฉันบอกดีก่อนที่จะเข้ามา อายุฉันตอนนั้นฉันไม่เคยปรับตัวหาใครอยู่แล้ว แม้ว่าเคยพยายามเปลี่ยนแปลงนิสัยตัวเองมาบ้างแต่ก็ต้องยอมรับว่าฉันก็ไม่เคยจริงจังในการปรับเปลี่ยนนิสัยตนเองเพื่อใคร และครั้งนี้ก็เช่นกัน



“จะให้แม่ไปขอ” ดีบอกฉัน ตอนมาส่งฉันที่บ้าน

“อืม” ฉันตอบ พรางยื่นมือเปิดรถฯ เข้าบ้าน


ฉันไม่ตื่นเต้นหรือดีใจเลยสักนิด แม้ดีเคยคุยกับฉันเรื่องแต่งงานมาสักพักใหญ่แล้ว ฉันเออๆ ออๆ ตามดี และออกแนวหลีกเลี่ยงเสียทุกครั้ง การแต่งงานไม่เคยอยู่ในความคิดฉัน แต่ครั้งนี้เพราะฉันมีคนที่ต้องกังวลเพิ่มขึ้นซึ่งกำลังอยู่ในท้อง ฉันจำเป็นต้องแต่งงาน



นักสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยยูทาห์ สหรัฐอเมริกา พบว่า อายุ 15-19 ปื เลิกรากันมากที่สุด อายุ 20 - 30 ปี เป็นช่วงที่ดีในการเริ่มต้นชีวิตคู่กับใครสักคน อายุ 28-32 ปี เป็นวัยที่เหมาะสมต่อการแต่งงานมากที่สุด เพราะเป็นช่วงวัยที่เท่าทันความรู้สึกของตนเอง พบหนทางชีวิต และมีความรับผิดชอบในระดับหนึ่ง อายุ 32 ปี ขึ้นไป มีอัตราหย่าร้างเพิ่มขึ้น 


คนไทย จะแต่งงานโดยเฉลี่ยอายุจะอยู่ที่ประมาณ 26.7 ปี แบ่งตามเพศผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะแต่งงานตอนที่อายุเฉลี่ย 25 ปี ผู้ชายมีแนวโน้มจะแต่งงานเฉลี่ยที่อายุ 29 ปี แต่ช่วงวัยที่เหมาะสมที่จะแต่งงานมากที่สุด นั้นก็คือช่วงอายุ 28 – 32 ปี อายุ 20-30 ปี จะมีแนวโน้มการหย้าร้างสูงมากที่สุด [8]


George Blair[9] จิตแพทย์ ชาวออสเตรเลีย กล่าวว่า ทุกประเทศทั่วโลกมีอัตราการหย่าร้างสูงเกือบ 50% ของจำนวนคู่แต่งงาน ในประเทศไทยมีอัตราการหย่าสูงถึง 39% งานวิจัยทางสุขภาพจิตยืนยันว่าเด็กๆ ที่พ่อแม่หย่าร้างกัน มักมีแนวโน้มเป็นโรคทางจิตเวชสูงกว่าเด็กทั่วไปถึง 35% 


Blair (1) สัมภาษณ์คู่รักที่ใช้ชีวิตมาด้วยกันมากกว่า 30 ปี มีปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตร่วมกันคือการแบ่งปันพลังบวก ได้แก่ การมองโลกในแง่ดี การคิดดี การมีน้ำใจ การใส่ใจกันและกัน (2) สัมภาษณ์คู่ชีวิตที่ใช้ชีวิตมาด้วยกันมากกว่า 40 ปี พบว่า การที่จะใช้ชีวิตคู่ตราบจนลมหายใจสุดท้ายกันได้นั้น สิ่งที่ต้องให้แก่กัน คือ “ให้อภัย” 


ปัจจัยช่วยให้ชีวิตคู่ยืนยาว ได้แก่ ความมั่นคงด้านการเงิน การศึกษาที่ดี [10] 


คืนนึงดีอยากนัดเพื่อนมาจัดงานเลี้ยงที่บ้าน พ่อแม่ของเขาก็เห็นดีเห็นงามด้วย พากันซื้อวัตถุดิบใช้ทำอาหารเสียมากมาย ฉันที่ท้องแก่ใกล้คลอดและทำอะไรไม่เป็นจึงทำได้แค่เก็บล้าง เป็นผู้ช่วยแม่สามีหยิบนั่นหยิบนี่ เดินไปเดินมาเท่านั้น 


เมื่อค่ำมืด ฉันกับแนนกำลังจะไปนอนดูโทรทัศน์ แต่แวะเข้าห้องน้ำก่อน ขณะที่ฉันกำลังย่อตัวเพื่อจะนั่งบนฟูกหน้าโทรทัศน์ ก็มีน้ำใสๆ [11] ไหลออกมาจากชุดคลุมท้อง ฉันจึงร้องเรียกดี  ทุกคนที่นั่งดื่มกันอยู่แตกตื่น ลนลานโดยเฉพาะดี


เมื่อถึงโรงพยาบาล ดีเป็นคนทำเอกสารที่ฉันให้ดีหยิบมาด้วย ฉันเตรียมไว้แล้วเผื่อคลอดก่อนกำหนด แต่ฉันลืมเตรียมของใช้ส่วนตัวของตัวเอง 


นางพยาบาลให้ฉันนอนรอที่ห้องรอคลอด ในห้องนั้นเป็นห้องกว้างๆ ที่มีเตียงผู้ป่วย วางเรียงทางยาว แยกเป็นฝั่งประตู กับฝั่งหน้าต่าง แต่ละเตียงมีม่านบางๆ กั้น และทุกเตียงมีหญิงตั้งครรภ์นอนรอคลอด บางเตียงร้องด้วยความเจ็บปวด บางเตียงทั้งเสียงร้อง และมีเลือดออกด้วย ฉันลุกขึ้นนั่งหลังจากที่พยาบาลมาสวนอุจจาระ [12] ฉันไม่มีอาการเจ็บท้อง ไม่กล้านอน และฉันกลัว


“กลัวเหรอ” แม่สามีถามฉัน

“ค่ะ กลัว” ฉันตอบ

“ไม่มีใครคลอดลูกตายหรอก” แม่สามีฉันบอกกับฉัน พรางอมยิ้ม

“แม่นาคไงแม่” น้องสาวสามีฉันพูดกับแม่เขา แล้วพรางหัวเราะ

“โอ๊ยนั่นมันสมัยไหน สมัยนี้ไม่มีหรอก” แม่สามีฉันบอกกับลูกสาวเขา


นางพยาบาลอนุญาตให้ฉันเดินออกมานอกห้องรอคลอดได้ เพราะเขาอาจจะเห็นฉันเครียด มีอาการกลัวอย่างเห็นได้ชัด และไม่มีอาการเจ็บท้องคลอด พยาบาลคงหวังให้ฉันรู้สึกผ่อนคลาย ช่างน่าผิดหวังเสียจริง 


“พี่ดีจะไปกินเหล้าต่อนะ เพื่อนอยู่ที่บ้านหลายคนเลยทิ้งไม่ได้” ดี สามีฉันพูดหลังจากเดินมานั่งข้าง ๆ ฉัน 


ฟังจบฉันไม่ได้พูดหรือตอบอะไร ฉันลุกเดินเข้าไปนอนรอในห้องคลอดเหมือนเดิมดีเสียกว่า  


ระหว่างฉันนอนรอคิวว่าเมื่อไหร่นางพยาบาลจะพาฉันไปคลอดเสียที ฉันอึดอัดและเครียด ผู้หญิงท้องที่นอนรอคลอดรอบเตียงฉัน บางคนร้องไห้ บางคนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด บางคนร้องไห้พร้อมตะโกนด่าทอ ฉันไม่ชอบห้องนี้เลย


ฉันอยู่ในห้องรอคลอดนานเท่าไรแล้วฉันก็ไม่รู้ แต่งฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง ผู้หญิงท้องที่นอนรอคลอดก่อนฉันหลับไปก็กลายเป็นคนอื่นแล้ว มีผู้หญิงท้องวนเวียนเข้าออกมากมาย แต่ฉันยังอยู่ที่เดิม ฉันไม่ปวดท้องเลย 



“ปากมดลูกไม่เปิดนะคะ ต้องฉีดยาเร่งคลอด” นางพยาบาลบอกฉัน


ฉันได้ยินพยาบาลพูดแบบนี้กับฉันหลายครั้ง จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ปวดท้องหรือมีอาการอะไรอยู่ดี ไม่มีน้ำไหล และไม่มีเลือดออก ผู้หญิงที่นอนเตียงข้างๆ ฉัน ชุดคนไข้ของเธอเปื้อนไปด้วยสีแดงฉาน เธอนอนบิดไปมา เหงื่อท่วมจนใบหน้าและเส้นผมของเธอเปียก เธอยื่นมือมาหาฉันด้วย ฉันยื่นมือไปจับมือเธอที่ชื้น เย็น ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แล้วเธอก็ร้องไห้ เธอถามฉันว่าไม่เจ็บเลยหรอ? ใช่ ฉันไม่เจ็บเลย


“ต้องผ่าคลอดแล้วนะ 14 ชั่วโมงแล้ว ถ้าไว้นานกว่านี้เด็กจะอันตราย” ฉันจำไม่ได้ว่าแพทย์หรือนางพยาบาลที่เดินมาบอกฉัน




ระยะปากมดลูกเปิด เริ่มตั้งแต่เจ็บครรภ์จริงจนถึงปากมดลูกเปิดหมด ครรภ์แรกใช้เวลาประมาณ 10-14 ชั่วโมง ครรภ์หลังใช้เวลาประมาณ 7-9 ชั่วโมง[13]



ฉันอยู่โรงพยาบาล 7-8 วัน ดีสามีฉันหลับตลอดเวลา แนนภรรยาเพื่อนของดี มาช่วยฉันเลี้ยงลูก ดีจึงบอกฉันว่าเขา “จะกลับบ้านเพราะเขาง่วง” ช่างเป็นคำที่ฟังแล้วสดชื่นหัวใจเสียจริง ๆ



“นี่มันคลอดลูกแล้ว เดี๋ยวเราก็กันแม่มัน รอให้มันหลับแล้วเราก็จะเอาลูกมันหนี เอาแต่ลูกไม่เอามัน ดีไหม” พ่อสามีฉัน เป็นชายวัย 64-65 ปี พูดกับแม่สามีวัย 57-59 ปี และสามีฉันวัย 26-27 ปี พวกเขาหัวเราะชอบใจ ต่อหน้าฉันที่กำลังร้องไห้


การดูแลคุณแม่หลังคลอดบุตรทางด้านจิตใจ คนรอบ ๆ ข้างควรพูดให้กำลังใจ โดยเฉพาะคุณพ่อควรแบ่งเบาภาระคุณแม่ในการดูแลลูก และทำความสะอาดบ้าน จะทำให้คุณแม่มีสุขภาพจิตดีขึ้น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่