1. นโยบายเพื่อไทย ตั้งอยู่บนมุมมองการตลาดมากเกินไป
สร้างแรงจูงใจให้เลือก โดยใช้วิธีทางธุรกิจ ทั้งที่เป็นการบริหารงานภาครัฐ
ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวและหน้าที่ต่างจากภาคเอกชน
ในอนาคต ถ้ามีบล็อคเชน รัฐก็จะทราบความเคลื่อนไหวของประชาชน
แล้วจะเสนอนโยบาย ให้สิ่งที่ไม่จำเป็น แต่ทำให้รู้สึกดี
แบบพอมีเงิน ก็รีบซื้อเบนส์ แต่ไม่มีเงินจะผ่อนในเวลาต่อมา
มันคือความสุขระยะสั้น
ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานที่นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ถูกมองข้าม
คิดถึงคำกล่าว นักการเมืองให้ปลา พระราชาให้เบ็ด
เงิน 1 หมื่นบาท ถ้าไม่แจกฟรี แต่รัฐเอามาจ้างคนให้ทำโปรเจคของรัฐที่คาราคาซัง
ให้เสร็จ หรือ เอาไปพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตร จะเท่ห์กว่าไหม
ประเทศไทยจะได้เป็นที่ 1 สักเรื่อง
2. เพื่อไทยใช้กลุ่มทุนใหญ่ขับเคลื่อนธุรกิจ
แน่นอน เราไม่มีทางทำให้คนเท่ากันได้ คนที่มีภาวะผู้นำ ประสพความสำเร็จมากกว่า
คือ ผู้นำทางเศรษฐกิจ งานที่เติบโตของพวกเขานำไปสู่การจ้างงาน
และบางคนก็โอเค ในบทบาทผู้ตาม หรือ ลูกจ้าง
แต่ยังมีคนอีกจำนวนมาก ที่ต้องการไต่เต้า
และโจทย์คือ เพิ่มจำนวนคนรวย หรือ เพิ่มความรวยให้คนที่รวยอยู่แล้ว กันแน่ ?
การที่รัฐให้ในสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะบางคนก็มีเงินเดือนไม่น้อย จะให้เงินหมื่นไปเพื่อ?
ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังล้าหลัง การบริการในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ
เช่น เครื่องแมมโมแกรม ต้องจองคิวข้ามปี สมมุติเจอก้อนวันนี้ นัดตรวจเช็คละเอียดได้อีกหลายเดือนข้างหน้า
เพราะอุปกรณ์ไม่พอ คิวยาว วงการ startup ที่จะนำมาช่วยการบริการของ รพ ก็ไม่มีเงินทุน
รถโรงพยาบาลในต่างจังหวัดเสียบ่อย เสียกลางทาง จนส่งผู้ป่วยถึง รพ ใหญ่ๆ ได้ช้า
รถเมล์ บริการขนส่งสาธารณะ ในเขตต่างจังหวัด ไม่ได้รับการพัฒนา ระบบยังเป็นแบบเมื่อ40ปีก่อน
ในกรุงเทพ ยังมีมุมเสื่อมโทรม อยู่หลายแห่ง ทั้งที่เป็นเมืองท่องเที่ยว
บางพื้นที่ก็ต้องใช้อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย
การลงทุนทำวิจัยศึกษาเรื่องการจัดการน้ำ และอุทกภัย
ตลาดสดในประเทศไทยหลายแห่งสุขอนามัยไม่ได้มาตรฐาน
การตรวจสารปนเปื้อนป้องกันภัยให้ประชาชนยังไม่ทั่วถึง
ฯลฯ
ปัญหาของประชาชนเรื่องจริงเหล่านี้กลับไม่ค่อยได้ยินพูดกันในสภา
นอกจากด้านนโยบายแล้ว เพื่อไทยยังมีจุดอ่อนด้านบุคลากร
ซึ่งเป็นคนรุ่นเก่าจำนวนมาก หากวิสัยทัศน์หรู ทีมงานก็ต้องมีฝีมือทำให้เป็นจริงได้
มันย้อนแย้ง หากฝันไกล แต่ไร้ยานพาหนะ ซึ่งเป็นทรัพยากรบุคคลที่จะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย
จุดอ่อนนโยบายเพื่อไทย ที่ฝ่ายค้านไม่ค่อยพูดถึง
สร้างแรงจูงใจให้เลือก โดยใช้วิธีทางธุรกิจ ทั้งที่เป็นการบริหารงานภาครัฐ
ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวและหน้าที่ต่างจากภาคเอกชน
ในอนาคต ถ้ามีบล็อคเชน รัฐก็จะทราบความเคลื่อนไหวของประชาชน
แล้วจะเสนอนโยบาย ให้สิ่งที่ไม่จำเป็น แต่ทำให้รู้สึกดี
แบบพอมีเงิน ก็รีบซื้อเบนส์ แต่ไม่มีเงินจะผ่อนในเวลาต่อมา
มันคือความสุขระยะสั้น
ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานที่นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ถูกมองข้าม
คิดถึงคำกล่าว นักการเมืองให้ปลา พระราชาให้เบ็ด
เงิน 1 หมื่นบาท ถ้าไม่แจกฟรี แต่รัฐเอามาจ้างคนให้ทำโปรเจคของรัฐที่คาราคาซัง
ให้เสร็จ หรือ เอาไปพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตร จะเท่ห์กว่าไหม
ประเทศไทยจะได้เป็นที่ 1 สักเรื่อง
2. เพื่อไทยใช้กลุ่มทุนใหญ่ขับเคลื่อนธุรกิจ
แน่นอน เราไม่มีทางทำให้คนเท่ากันได้ คนที่มีภาวะผู้นำ ประสพความสำเร็จมากกว่า
คือ ผู้นำทางเศรษฐกิจ งานที่เติบโตของพวกเขานำไปสู่การจ้างงาน
และบางคนก็โอเค ในบทบาทผู้ตาม หรือ ลูกจ้าง
แต่ยังมีคนอีกจำนวนมาก ที่ต้องการไต่เต้า
และโจทย์คือ เพิ่มจำนวนคนรวย หรือ เพิ่มความรวยให้คนที่รวยอยู่แล้ว กันแน่ ?
การที่รัฐให้ในสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะบางคนก็มีเงินเดือนไม่น้อย จะให้เงินหมื่นไปเพื่อ?
ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังล้าหลัง การบริการในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ
เช่น เครื่องแมมโมแกรม ต้องจองคิวข้ามปี สมมุติเจอก้อนวันนี้ นัดตรวจเช็คละเอียดได้อีกหลายเดือนข้างหน้า
เพราะอุปกรณ์ไม่พอ คิวยาว วงการ startup ที่จะนำมาช่วยการบริการของ รพ ก็ไม่มีเงินทุน
รถโรงพยาบาลในต่างจังหวัดเสียบ่อย เสียกลางทาง จนส่งผู้ป่วยถึง รพ ใหญ่ๆ ได้ช้า
รถเมล์ บริการขนส่งสาธารณะ ในเขตต่างจังหวัด ไม่ได้รับการพัฒนา ระบบยังเป็นแบบเมื่อ40ปีก่อน
ในกรุงเทพ ยังมีมุมเสื่อมโทรม อยู่หลายแห่ง ทั้งที่เป็นเมืองท่องเที่ยว
บางพื้นที่ก็ต้องใช้อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย
การลงทุนทำวิจัยศึกษาเรื่องการจัดการน้ำ และอุทกภัย
ตลาดสดในประเทศไทยหลายแห่งสุขอนามัยไม่ได้มาตรฐาน
การตรวจสารปนเปื้อนป้องกันภัยให้ประชาชนยังไม่ทั่วถึง
ฯลฯ
ปัญหาของประชาชนเรื่องจริงเหล่านี้กลับไม่ค่อยได้ยินพูดกันในสภา
นอกจากด้านนโยบายแล้ว เพื่อไทยยังมีจุดอ่อนด้านบุคลากร
ซึ่งเป็นคนรุ่นเก่าจำนวนมาก หากวิสัยทัศน์หรู ทีมงานก็ต้องมีฝีมือทำให้เป็นจริงได้
มันย้อนแย้ง หากฝันไกล แต่ไร้ยานพาหนะ ซึ่งเป็นทรัพยากรบุคคลที่จะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย