ฟังคลิป:
https://www.dhammahome.com/audio/topic/1430
***************************************************
อ. สุจินต์ : เมื่อกี้ได้ถามคนที่มาก่อนว่า เป็นมาอย่างไร บางคนก็บอกว่า เปิดวิทยุฟัง และได้ยินบางคำที่คิดว่ามีประโยชน์ อย่างคำว่า “ธรรม” ได้ยินบ่อยๆ และคิดว่าคงเป็นสิ่งที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หรือว่ามีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน รู้สึกอย่างนี้หรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง : : รู้สึกว่า ถ้าสามารถจำธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เราสามารถพัฒนาในทางที่ดีได้ ไม่หลงผิด ไม่เข้าใจผิด
อ. สุจินต์ : ทีนี้ที่บอกว่า ธรรมจะมีประโยชน์กับชีวิตอย่างมาก เป็นเพียงความคิดของเราหรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง : : ใช่ค่ะ ทีนี้ยังไม่รู้ว่า หัวข้อธรรมไหน เมื่อแจกแจงแล้วใช้สำหรับงานไหน ตรงนั้นยังมองไม่เห็น
อ. สุจินต์ : อันนี้ถูกต้อง คือเราทุกคนจะมีความคิด แต่ความคิดอย่างเดียวยังไม่พอ เราต้องมีเหตุผลด้วย อย่างเราบอกว่า ธรรมน่าจะมีประโยชน์ แต่เรายังไม่รู้เลยว่า ธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ว่า ธรรมคืออะไร เราจะเห็นประโยชน์มากขึ้น
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจแต่ละคำที่เราได้ยินให้ชัดเจน แล้วเป็นคนมีเหตุผลด้วย
ถ้าไม่มีเหตุผล การศึกษาธรรมจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะเหตุว่าทราบไหมว่า ใครเป็นผู้แสดงธรรม
ผู้ฟัง : : เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้นำธรรมชาตินั้นมาแยก และสั่งสอน
อ. สุจินต์ : หมายความว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้แสดง แต่ถ้าเขาบอกว่า ศาสดาอื่นแสดงธรรม จะถูกหรือจะผิด
ผู้ฟัง : : ถูกค่ะ
อ. สุจินต์ : เพราะอะไรจึงว่าถูก
ผู้ฟัง : : เพราะธรรมเป็นของกลาง เป็นของธรรมชาติ ทุกคนมีสิทธิดึงธรรมชาติตรงนั้นมาใช้ได้
อ. สุจินต์ : เพราะฉะนั้น บางคนอาจจะบอกว่า คนนั้นแสดงธรรม คนนี้แสดงธรรม หรือศาสนาโน้นแสดงธรรม ศาสนานี้แสดงธรรม แต่ธรรมจริงๆ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ
เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่แสดงให้เราเข้าใจสภาพที่มีจริงๆ ได้ละเอียด ได้ลึกซึ้ง คนนั้นจึงได้ชื่อว่า แสดงธรรม แต่ถ้าเอามาเพียงบางส่วนไม่ครบถ้วน คนนั้นก็มีความรู้ความเข้าใจเพียงบางส่วน
แต่สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยต้องเคยได้ยินว่า เป็นผู้ที่เลิศกว่าบุคคลอื่นทั้งหมด เพียงแต่ว่า เรายังไม่ทราบว่า เลิศอย่างไร และเลิศแค่ไหน แต่ตอนเป็นเด็ก เราก็ถูกพ่อแม่สอนแล้วให้กราบไหว้ แม้แต่เพียงเด็กเล็กๆ ก่อนจะนอนให้ไหว้พระเสีย สลิตาเคยไหว้ไหมคะ
นี่แสดงให้เห็นว่าให้เห็นว่า ต้องมีคนหนึ่งซึ่งสูงที่สุด ฉลาดที่สุด เพราะเหตุว่าถึงแม้ว่า สมัยนี้จะไม่มี แล้วผ่านไปแล้วถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่พระธรรมที่ทรงแสดง และมีคนเลื่อมใสนับถือยังมีมากมาย และสืบต่อไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากจริงๆ ที่ไม่สูญไป ทีนี้ถ้าเราอยู่ในเมืองไทย ได้ยินคำว่า พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยที่เราไม่รู้เลยว่า คืออะไร ก็เหมือนคนที่เหมือนรู้แต่ไม่รู้ ซึ่งเราจะยอมเป็นคนอย่างนั้นไหมคะ คือเป็นคนที่เหมือนรู้แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เราควรจะรู้จริงๆ มากกว่าจะเหมือนรู้ แต่พอคนอื่นถามเราก็ไม่รู้อะไรเลย
เพราะฉะนั้น
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ธรรมเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีใครเทียบได้เลย เวลานี้เราอาจยังไม่รู้ว่า ทำไมถึงกล่าวว่า ไม่มีใครเสมอเหมือน เพราะว่าเรายังไม่ได้ศึกษา แต่เราลองคิดดู พระพุทธเจ้ากับคุณพ่อ คุณแม่ ใครฉลาดกว่ากัน ต้องมีเหตุผลด้วย
ผู้ฟัง : : พระพุทธเจ้าฉลาดกว่า
อ. สุจินต์ : เพราะอะไร ต้องเหตุผลทุกอย่าง คนที่ศึกษาธรรมต้องมีเหตุผล ถ้าไม่มีเหตุผลจะไม่เข้าใจธรรมได้เลย
ผู้ฟัง : : เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พ่อแม่ไม่ได้ตรัสรู้
อ. สุจินต์ : และอะไรอีกคะ ลองคิดค่ะ ธรรมยิ่งคิดยิ่งเข้าใจ
ผู้ฟัง : : คิดว่า คุณพ่อคุณแม่หนูฉลาดกว่า เพราะเลือกให้เราเกิดมา พระพุทธเจ้าไม่ได้เลือกให้เราเกิดมา
อ. สุจินต์ : คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เลือกค่ะ
ผู้ฟัง : : แต่ก็เลี้ยงดู และสอนเราให้เชื่อท่านได้ อย่างบางเรื่องเราก็ยังไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เพราะเรายังไม่ได้ศึกษา แต่อย่างคุณแม่ไม่จำเป็นต้องศึกษา แต่เราเชื่อท่าน
อ. สุจินต์ : แต่ความเป็นจริงถึงแม้คุณแม่ก็ยังนับถือพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เราต้องค่อยๆ ไต่ไปตามเหตุผล ความคิดของเราจะถูกจะผิดอย่างไร เราแสดงได้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องคิดให้กว้างไกลออกไป
พระมหากษัตริย์กับคุณพ่อคุณแม่ใครฉลาดกว่ากัน แต่จริงๆ แล้วแม้พระมหากษัตริย์ก็ยังต้องนับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่ากี่พระองค์ตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
เพราะฉะนั้น
แสดงว่าต้องมีบุคคลหนึ่งซึ่งเลิศจริงๆ แล้วเรามีโอกาสได้ฟังพระธรรม ที่จะเห็นความไม่มีใครเปรียบได้เลยกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขอถามว่า ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จะยากหรือจะง่าย ลองคิดดู ต้องใช้ความคิด ต้องพิจารณาแล้วเป็นความเข้าใจของเราเอง ไม่ใช่ไปตามใคร แต่เราคิดพิจารณาของเราเอง แล้วมีเหตุผลด้วย
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงตรัสรู้ ยากหรือง่าย
ผู้ฟัง : : ยากที่จะปฏิบัติ แต่ถ้าเกิดปฏิบัติได้แล้ว ก็เป็นสิ่งที่ดีในการดำเนินชีวิต เข้าใจความเป็นไปของโลก
อ. สุจินต์ : ปฏิบัติคืออะไร มีคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว จะปฏิบัติอย่างไร คือพูดได้ทุกอย่างตามความคิด แต่ต้องมีเหตุผล ถ้าจะปฏิบัติก็ต้องรู้ว่า จะปฏิบัติอย่างไร ต้องตั้งต้นฟังแล้วเรียน ใช่ไหมคะไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางนึกออกเลยว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร พ่อแม่สอนเราก็ยังนึกออกว่า สอนให้เป็นคนดี ให้มีความประพฤติดีต่างๆ ครูที่โรงเรียนก็สอนหลายๆ อย่าง แต่ไม่มีใครสอนเหมือนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พูดอย่างนี้ ถูกหรือผิด ต้องคิด มีใครว่าผิดไหมคะ
เพราะฉะนั้น ต้องนับว่าเป็นบุญ บุญหมายถึงสิ่งที่ดีงามที่เราสร้างไว้ สะสมมาแล้วที่เรามีโอกาสจะได้ยินได้ฟังธรรมซึ่งยากแสนยากกว่าจะมีผู้รู้สักพระองค์หนึ่ง ซึ่งใน ๒,๕๐๐ กว่าปียังไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกเลยสักพระองค์เดียว ต้องอีกนานแสนนานมากกว่าจะมีการตรัสรู้อีก
เพราะฉะนั้น เราก็มีโอกาสพิเศษที่ได้ยินได้ฟังสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
ถ้าให้ถามตอนนี้ มีใครจะถามอะไรหรือเปล่าคะ หรือไม่อะไรถาม อยากฟัง
ผู้ฟัง : : วันนี้ป้าแอ๊วอยากให้เด็กๆ เปิดโอกาสให้ตัวเอง ไม่ต้องอาย แล้วอย่าเกร็ง คิดว่าเป็นการสนทนากันจริงๆ วันนี้เป็นการเริ่มต้นทำความเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร และพระพุทธเจ้าทรงแสดงอะไร เพราะฉะนั้น อ. สุจินต์ :ถามอะไร ตอบได้เลย อย่าอาย
อ. สุจินต์ : มีใครจะถามอะไรก่อนไหมคะ หรือไม่อยากถาม
วันนี้ถ้ายังไม่มีใครถาม เริ่มต้นก็ได้
ธรรมหมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง แค่นี้งงไหมคะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เราจะไม่พูดเรื่องเท็จ แต่เราจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งแต่ละคนก็จะเห็นได้ว่า ทุกคนที่นั่งที่นี่ จริงหรือเปล่า
ผู้ฟัง : : คิดว่าไม่จริง
อ. สุจินต์ : เพราะอะไร
ผู้ฟัง : : คิดดูแล้ว อะไรที่ว่าจริง เนื้อหนังมังสาก็เปลี่ยนไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ถ้าจริงวันนี้ แล้ววันต่อไป สิ่งนั้นก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
อ. สุจินต์ : คงต้องตั้งต้นกันหลายๆ แบบ หลายๆ ครั้ง หลายๆ ทาง เอาใหม่ทีเดียว อะไรสำคัญที่สุดในชีวิต น่าคิดไหมคะ
ผู้ฟัง : : ความสุข
อ. สุจินต์ : ความสุขมีตลอดวันหรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง : : บางทีมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อย่างไรที่เรียกว่าความสุขแท้ๆ สุขแบบถาวร
อ. สุจินต์ : เวลานี้มีใครมีสุขแบบถาวรบ้างไหมคะ ไม่มีเลย ความสุขมีจริง แต่ความสุขก็หมดไป แล้วเวลาที่ไม่สุข ขณะนั้นเป็นอะไร
ผู้ฟัง : : เวลาที่ไม่สุข เป็นทุกข์ค่ะ
อ. สุจินต์ : แล้วเวลาที่ไม่สุข ไม่ทุกข์ เป็นอะไร มีไหมคะ มีค่ะ คือเรื่องจริงต้องเป็นเรื่องจริง เราค่อยๆ ไปหาความจริงทีละเล็กทีละน้อยกว่าเราจะรู้ว่า มันคืออะไร
นี่คือพยายามให้ทุกคนหัดคิด แล้วก็ตอบด้วยตัวเอง ชีวิตที่เราพูดกันทุกวันเป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็อยากจะทราบว่า เวลาที่ไม่สุข ไม่ทุกข์นี่ต้องมีแน่นอน ใช่ไหมคะ มีหรือไม่มี มีนะคะ ขณะนั้นเป็นอะไร
ผู้ฟัง : : เป็นเฉยๆ
อ. สุจินต์ : เป็นเฉยๆ ก็มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เรากำลังจะเข้าไปหาความจริงอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีการสอนที่ไหนเลย ในโรงเรียนไหนมีสอนเรื่องนี้บ้างไหมคะ
ผู้ฟัง : : สอนแต่หัวข้อเฉยๆ
อ. สุจินต์ : แล้วก็สอนเรื่องสุข เรื่องทุกข์ไหมคะ
ผู้ฟัง : : ไม่ได้สอน
อ. สุจินต์ : เพราะฉะนั้น จะเห็นว่าพระธรรมละเอียดมาก ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งใกล้จะปรินิพพาน แล้วสืบทอดมาเป็นพระไตรปิฎก เป็นอรรถกถามากมาย แต่เราเรียนตลอดชีวิตไม่จบ อย่าคิดว่าเพียงฟังวันนี้แล้วเราจะเข้าใจได้ แต่เราเริ่มที่จะคิดแล้วว่า สิ่งที่สำคัญในชีวิตอย่างที่ตอบเมื่อกี้นี้ว่า คือความสุข แต่ความสุขไม่ได้ตั้งอยู่นานเลย บังคับให้สุขได้ไหมคะ
ผู้ฟัง : : ไม่ได้
อ. สุจินต์ : บังคับให้ทุกข์ได้ไหม
ผู้ฟัง : : ไม่ได้
อ. สุจินต์ : บังคับให้เฉยๆ ได้ไหม
ผู้ฟัง : : ไม่ได้
อ. สุจินต์ : เพราะฉะนั้น ถ้ามีเหตุที่จะให้ความสุขเกิด ความรู้สึกเป็นสุขก็ต้องเกิด ถ้าป่วยไข้ที่กาย แล้วจะบอกว่าไม่ให้เจ็บ ก็ไม่ได้ ไม่มีอะไรได้สักอย่าง
ผู้ฟัง : : ไปบนบานศาลกล่าวก็ไม่ได้หรือคะ ไม่ได้ใช่ไหมคะ ผิด
อ. สุจินต์ : ไม่ใช่ผิดหรืออะไร แต่หมายความว่า สิ่งใดที่เกิดแล้วเราจะเปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม อย่างที่กายเกิดเจ็บปวด แล้วเราจะบอกว่า อย่าเจ็บ ให้เป็นสุขได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราจะมาถึงคำหนึ่งซึ่งครอบจักรวาล คือ คำว่า “อนัตตา” หมายความว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดในโลก ในแสนจักรวาล นอกโลกที่ไหนก็ตามแต่ เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร นี่คือการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือตรัสรู้ว่า สิ่งที่มีจริงอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นตามความเป็นจริง ไม่ใช่พอพระองค์ตรัสรู้แล้วก็จะไปเปลี่ยนแปลงคนโง่ให้เป็นคนฉลาด หรือความเจ็บให้กลายเป็นความสุข อย่างนี้ไม่ใช่นะคะ แต่แสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต้องมีเหตุ มีปัจจัย มีหลายๆ อย่างที่ปรุงแต่งรวมกันทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น แล้วสิ่งใดๆ ก็ตามที่เกิดแล้ว ไม่มีสิ่งใดซึ่งยั่งยืน ทุกอย่างที่เกิดจะหมดไปอย่างเร็วมาก ซึ่งเราจะใช้อีกคำหนึ่งก็ได้คือ คำว่า “เกิด” เมื่อไม่มีแล้วเกิดมีขึ้น แล้วมีขึ้นแล้วก็หมดไป เวลาที่หมดไปที่จะไม่กลับมาอีกเลย เราใช้คำว่า “ดับ” เหมือนไฟดับ ไฟที่ดับจะกลับมาอีกไหม ไม่มีทางที่จะกลับมาได้อีกเลย แต่ถ้ามีไฟใหม่เกิดขึ้นได้ ต้องมีเชื้อไฟอันใหม่ ทำให้ไฟอันใหม่เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ดับไปแล้วก็เกิดขึ้นอีก แต่ไฟใหม่ไม่ใช่ไฟเก่า
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีจริงๆ ในโลกนี้ที่เกิดปรากฏให้รู้ว่ามีจริง แท้ที่จริงแล้วดับเร็วมาก เร็วจนเราไม่รู้เลยว่า ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ และทั้งหมดนี้คืออนัตตา หมายความว่าไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา และไม่เป็นของใครเลยทั้งสิ้น
“ธรรม” มาจากคำว่า “ธาตุ” เคยได้ยินคำว่า “ธาตุ” ใช่ไหมคะ พอพูดถึงธาตุ มีใครจะเป็นเจ้าของธาตุอะไรได้บ้าง อย่างธาตุทอง ใช้ได้ไหมคะ ธาตุเงิน ใช้ได้ไหมคะ และถ้าไปเรียนหนังสือก็จะมีธาตุอีกหลายธาตุเลย มากมาย แล้วมีใครเป็นเจ้าของบ้าง ต้นไม้ใบหญ้าที่เกิดมา มีใครเป็นเจ้าของบ้าง ไม่มี นอกจากต้นไม้ใบหญ้า ที่ร่างกายของเรา มีใครเป็นเจ้าของบ้าง ไม่มี แล้วที่ตัวมีอะไรบ้างคะ ที่ว่าไม่มีเจ้าของ
ผู้ฟัง : : ไม่มีอะไรที่เราเป็นเจ้าของได้เลย
ธรรมเป็นประโยชน์กับชีวิตของเราอย่างไร
***************************************************
อ. สุจินต์ : เมื่อกี้ได้ถามคนที่มาก่อนว่า เป็นมาอย่างไร บางคนก็บอกว่า เปิดวิทยุฟัง และได้ยินบางคำที่คิดว่ามีประโยชน์ อย่างคำว่า “ธรรม” ได้ยินบ่อยๆ และคิดว่าคงเป็นสิ่งที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หรือว่ามีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน รู้สึกอย่างนี้หรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง : : รู้สึกว่า ถ้าสามารถจำธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เราสามารถพัฒนาในทางที่ดีได้ ไม่หลงผิด ไม่เข้าใจผิด
อ. สุจินต์ : ทีนี้ที่บอกว่า ธรรมจะมีประโยชน์กับชีวิตอย่างมาก เป็นเพียงความคิดของเราหรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง : : ใช่ค่ะ ทีนี้ยังไม่รู้ว่า หัวข้อธรรมไหน เมื่อแจกแจงแล้วใช้สำหรับงานไหน ตรงนั้นยังมองไม่เห็น
อ. สุจินต์ : อันนี้ถูกต้อง คือเราทุกคนจะมีความคิด แต่ความคิดอย่างเดียวยังไม่พอ เราต้องมีเหตุผลด้วย อย่างเราบอกว่า ธรรมน่าจะมีประโยชน์ แต่เรายังไม่รู้เลยว่า ธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ว่า ธรรมคืออะไร เราจะเห็นประโยชน์มากขึ้น
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจแต่ละคำที่เราได้ยินให้ชัดเจน แล้วเป็นคนมีเหตุผลด้วย ถ้าไม่มีเหตุผล การศึกษาธรรมจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะเหตุว่าทราบไหมว่า ใครเป็นผู้แสดงธรรม
ผู้ฟัง : : เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้นำธรรมชาตินั้นมาแยก และสั่งสอน
อ. สุจินต์ : หมายความว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้แสดง แต่ถ้าเขาบอกว่า ศาสดาอื่นแสดงธรรม จะถูกหรือจะผิด
ผู้ฟัง : : ถูกค่ะ
อ. สุจินต์ : เพราะอะไรจึงว่าถูก
ผู้ฟัง : : เพราะธรรมเป็นของกลาง เป็นของธรรมชาติ ทุกคนมีสิทธิดึงธรรมชาติตรงนั้นมาใช้ได้
อ. สุจินต์ : เพราะฉะนั้น บางคนอาจจะบอกว่า คนนั้นแสดงธรรม คนนี้แสดงธรรม หรือศาสนาโน้นแสดงธรรม ศาสนานี้แสดงธรรม แต่ธรรมจริงๆ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่แสดงให้เราเข้าใจสภาพที่มีจริงๆ ได้ละเอียด ได้ลึกซึ้ง คนนั้นจึงได้ชื่อว่า แสดงธรรม แต่ถ้าเอามาเพียงบางส่วนไม่ครบถ้วน คนนั้นก็มีความรู้ความเข้าใจเพียงบางส่วน แต่สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยต้องเคยได้ยินว่า เป็นผู้ที่เลิศกว่าบุคคลอื่นทั้งหมด เพียงแต่ว่า เรายังไม่ทราบว่า เลิศอย่างไร และเลิศแค่ไหน แต่ตอนเป็นเด็ก เราก็ถูกพ่อแม่สอนแล้วให้กราบไหว้ แม้แต่เพียงเด็กเล็กๆ ก่อนจะนอนให้ไหว้พระเสีย สลิตาเคยไหว้ไหมคะ
นี่แสดงให้เห็นว่าให้เห็นว่า ต้องมีคนหนึ่งซึ่งสูงที่สุด ฉลาดที่สุด เพราะเหตุว่าถึงแม้ว่า สมัยนี้จะไม่มี แล้วผ่านไปแล้วถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่พระธรรมที่ทรงแสดง และมีคนเลื่อมใสนับถือยังมีมากมาย และสืบต่อไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากจริงๆ ที่ไม่สูญไป ทีนี้ถ้าเราอยู่ในเมืองไทย ได้ยินคำว่า พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยที่เราไม่รู้เลยว่า คืออะไร ก็เหมือนคนที่เหมือนรู้แต่ไม่รู้ ซึ่งเราจะยอมเป็นคนอย่างนั้นไหมคะ คือเป็นคนที่เหมือนรู้แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เราควรจะรู้จริงๆ มากกว่าจะเหมือนรู้ แต่พอคนอื่นถามเราก็ไม่รู้อะไรเลย
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ธรรมเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีใครเทียบได้เลย เวลานี้เราอาจยังไม่รู้ว่า ทำไมถึงกล่าวว่า ไม่มีใครเสมอเหมือน เพราะว่าเรายังไม่ได้ศึกษา แต่เราลองคิดดู พระพุทธเจ้ากับคุณพ่อ คุณแม่ ใครฉลาดกว่ากัน ต้องมีเหตุผลด้วย
ผู้ฟัง : : พระพุทธเจ้าฉลาดกว่า
อ. สุจินต์ : เพราะอะไร ต้องเหตุผลทุกอย่าง คนที่ศึกษาธรรมต้องมีเหตุผล ถ้าไม่มีเหตุผลจะไม่เข้าใจธรรมได้เลย
ผู้ฟัง : : เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พ่อแม่ไม่ได้ตรัสรู้
อ. สุจินต์ : และอะไรอีกคะ ลองคิดค่ะ ธรรมยิ่งคิดยิ่งเข้าใจ
ผู้ฟัง : : คิดว่า คุณพ่อคุณแม่หนูฉลาดกว่า เพราะเลือกให้เราเกิดมา พระพุทธเจ้าไม่ได้เลือกให้เราเกิดมา
อ. สุจินต์ : คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เลือกค่ะ
ผู้ฟัง : : แต่ก็เลี้ยงดู และสอนเราให้เชื่อท่านได้ อย่างบางเรื่องเราก็ยังไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เพราะเรายังไม่ได้ศึกษา แต่อย่างคุณแม่ไม่จำเป็นต้องศึกษา แต่เราเชื่อท่าน
อ. สุจินต์ : แต่ความเป็นจริงถึงแม้คุณแม่ก็ยังนับถือพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เราต้องค่อยๆ ไต่ไปตามเหตุผล ความคิดของเราจะถูกจะผิดอย่างไร เราแสดงได้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องคิดให้กว้างไกลออกไป
พระมหากษัตริย์กับคุณพ่อคุณแม่ใครฉลาดกว่ากัน แต่จริงๆ แล้วแม้พระมหากษัตริย์ก็ยังต้องนับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่ากี่พระองค์ตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
เพราะฉะนั้น แสดงว่าต้องมีบุคคลหนึ่งซึ่งเลิศจริงๆ แล้วเรามีโอกาสได้ฟังพระธรรม ที่จะเห็นความไม่มีใครเปรียบได้เลยกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขอถามว่า ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จะยากหรือจะง่าย ลองคิดดู ต้องใช้ความคิด ต้องพิจารณาแล้วเป็นความเข้าใจของเราเอง ไม่ใช่ไปตามใคร แต่เราคิดพิจารณาของเราเอง แล้วมีเหตุผลด้วย
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงตรัสรู้ ยากหรือง่าย
ผู้ฟัง : : ยากที่จะปฏิบัติ แต่ถ้าเกิดปฏิบัติได้แล้ว ก็เป็นสิ่งที่ดีในการดำเนินชีวิต เข้าใจความเป็นไปของโลก
อ. สุจินต์ : ปฏิบัติคืออะไร มีคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว จะปฏิบัติอย่างไร คือพูดได้ทุกอย่างตามความคิด แต่ต้องมีเหตุผล ถ้าจะปฏิบัติก็ต้องรู้ว่า จะปฏิบัติอย่างไร ต้องตั้งต้นฟังแล้วเรียน ใช่ไหมคะไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางนึกออกเลยว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร พ่อแม่สอนเราก็ยังนึกออกว่า สอนให้เป็นคนดี ให้มีความประพฤติดีต่างๆ ครูที่โรงเรียนก็สอนหลายๆ อย่าง แต่ไม่มีใครสอนเหมือนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พูดอย่างนี้ ถูกหรือผิด ต้องคิด มีใครว่าผิดไหมคะ
เพราะฉะนั้น ต้องนับว่าเป็นบุญ บุญหมายถึงสิ่งที่ดีงามที่เราสร้างไว้ สะสมมาแล้วที่เรามีโอกาสจะได้ยินได้ฟังธรรมซึ่งยากแสนยากกว่าจะมีผู้รู้สักพระองค์หนึ่ง ซึ่งใน ๒,๕๐๐ กว่าปียังไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกเลยสักพระองค์เดียว ต้องอีกนานแสนนานมากกว่าจะมีการตรัสรู้อีก เพราะฉะนั้น เราก็มีโอกาสพิเศษที่ได้ยินได้ฟังสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
ถ้าให้ถามตอนนี้ มีใครจะถามอะไรหรือเปล่าคะ หรือไม่อะไรถาม อยากฟัง
ผู้ฟัง : : วันนี้ป้าแอ๊วอยากให้เด็กๆ เปิดโอกาสให้ตัวเอง ไม่ต้องอาย แล้วอย่าเกร็ง คิดว่าเป็นการสนทนากันจริงๆ วันนี้เป็นการเริ่มต้นทำความเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร และพระพุทธเจ้าทรงแสดงอะไร เพราะฉะนั้น อ. สุจินต์ :ถามอะไร ตอบได้เลย อย่าอาย
อ. สุจินต์ : มีใครจะถามอะไรก่อนไหมคะ หรือไม่อยากถาม
วันนี้ถ้ายังไม่มีใครถาม เริ่มต้นก็ได้
ธรรมหมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง แค่นี้งงไหมคะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เราจะไม่พูดเรื่องเท็จ แต่เราจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งแต่ละคนก็จะเห็นได้ว่า ทุกคนที่นั่งที่นี่ จริงหรือเปล่า
ผู้ฟัง : : คิดว่าไม่จริง
อ. สุจินต์ : เพราะอะไร
ผู้ฟัง : : คิดดูแล้ว อะไรที่ว่าจริง เนื้อหนังมังสาก็เปลี่ยนไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ถ้าจริงวันนี้ แล้ววันต่อไป สิ่งนั้นก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
อ. สุจินต์ : คงต้องตั้งต้นกันหลายๆ แบบ หลายๆ ครั้ง หลายๆ ทาง เอาใหม่ทีเดียว อะไรสำคัญที่สุดในชีวิต น่าคิดไหมคะ
ผู้ฟัง : : ความสุข
อ. สุจินต์ : ความสุขมีตลอดวันหรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง : : บางทีมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อย่างไรที่เรียกว่าความสุขแท้ๆ สุขแบบถาวร
อ. สุจินต์ : เวลานี้มีใครมีสุขแบบถาวรบ้างไหมคะ ไม่มีเลย ความสุขมีจริง แต่ความสุขก็หมดไป แล้วเวลาที่ไม่สุข ขณะนั้นเป็นอะไร
ผู้ฟัง : : เวลาที่ไม่สุข เป็นทุกข์ค่ะ
อ. สุจินต์ : แล้วเวลาที่ไม่สุข ไม่ทุกข์ เป็นอะไร มีไหมคะ มีค่ะ คือเรื่องจริงต้องเป็นเรื่องจริง เราค่อยๆ ไปหาความจริงทีละเล็กทีละน้อยกว่าเราจะรู้ว่า มันคืออะไร
นี่คือพยายามให้ทุกคนหัดคิด แล้วก็ตอบด้วยตัวเอง ชีวิตที่เราพูดกันทุกวันเป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็อยากจะทราบว่า เวลาที่ไม่สุข ไม่ทุกข์นี่ต้องมีแน่นอน ใช่ไหมคะ มีหรือไม่มี มีนะคะ ขณะนั้นเป็นอะไร
ผู้ฟัง : : เป็นเฉยๆ
อ. สุจินต์ : เป็นเฉยๆ ก็มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เรากำลังจะเข้าไปหาความจริงอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีการสอนที่ไหนเลย ในโรงเรียนไหนมีสอนเรื่องนี้บ้างไหมคะ
ผู้ฟัง : : สอนแต่หัวข้อเฉยๆ
อ. สุจินต์ : แล้วก็สอนเรื่องสุข เรื่องทุกข์ไหมคะ
ผู้ฟัง : : ไม่ได้สอน
อ. สุจินต์ : เพราะฉะนั้น จะเห็นว่าพระธรรมละเอียดมาก ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งใกล้จะปรินิพพาน แล้วสืบทอดมาเป็นพระไตรปิฎก เป็นอรรถกถามากมาย แต่เราเรียนตลอดชีวิตไม่จบ อย่าคิดว่าเพียงฟังวันนี้แล้วเราจะเข้าใจได้ แต่เราเริ่มที่จะคิดแล้วว่า สิ่งที่สำคัญในชีวิตอย่างที่ตอบเมื่อกี้นี้ว่า คือความสุข แต่ความสุขไม่ได้ตั้งอยู่นานเลย บังคับให้สุขได้ไหมคะ
ผู้ฟัง : : ไม่ได้
อ. สุจินต์ : บังคับให้ทุกข์ได้ไหม
ผู้ฟัง : : ไม่ได้
อ. สุจินต์ : บังคับให้เฉยๆ ได้ไหม
ผู้ฟัง : : ไม่ได้
อ. สุจินต์ : เพราะฉะนั้น ถ้ามีเหตุที่จะให้ความสุขเกิด ความรู้สึกเป็นสุขก็ต้องเกิด ถ้าป่วยไข้ที่กาย แล้วจะบอกว่าไม่ให้เจ็บ ก็ไม่ได้ ไม่มีอะไรได้สักอย่าง
ผู้ฟัง : : ไปบนบานศาลกล่าวก็ไม่ได้หรือคะ ไม่ได้ใช่ไหมคะ ผิด
อ. สุจินต์ : ไม่ใช่ผิดหรืออะไร แต่หมายความว่า สิ่งใดที่เกิดแล้วเราจะเปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม อย่างที่กายเกิดเจ็บปวด แล้วเราจะบอกว่า อย่าเจ็บ ให้เป็นสุขได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราจะมาถึงคำหนึ่งซึ่งครอบจักรวาล คือ คำว่า “อนัตตา” หมายความว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดในโลก ในแสนจักรวาล นอกโลกที่ไหนก็ตามแต่ เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร นี่คือการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือตรัสรู้ว่า สิ่งที่มีจริงอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นตามความเป็นจริง ไม่ใช่พอพระองค์ตรัสรู้แล้วก็จะไปเปลี่ยนแปลงคนโง่ให้เป็นคนฉลาด หรือความเจ็บให้กลายเป็นความสุข อย่างนี้ไม่ใช่นะคะ แต่แสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต้องมีเหตุ มีปัจจัย มีหลายๆ อย่างที่ปรุงแต่งรวมกันทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น แล้วสิ่งใดๆ ก็ตามที่เกิดแล้ว ไม่มีสิ่งใดซึ่งยั่งยืน ทุกอย่างที่เกิดจะหมดไปอย่างเร็วมาก ซึ่งเราจะใช้อีกคำหนึ่งก็ได้คือ คำว่า “เกิด” เมื่อไม่มีแล้วเกิดมีขึ้น แล้วมีขึ้นแล้วก็หมดไป เวลาที่หมดไปที่จะไม่กลับมาอีกเลย เราใช้คำว่า “ดับ” เหมือนไฟดับ ไฟที่ดับจะกลับมาอีกไหม ไม่มีทางที่จะกลับมาได้อีกเลย แต่ถ้ามีไฟใหม่เกิดขึ้นได้ ต้องมีเชื้อไฟอันใหม่ ทำให้ไฟอันใหม่เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ดับไปแล้วก็เกิดขึ้นอีก แต่ไฟใหม่ไม่ใช่ไฟเก่า
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีจริงๆ ในโลกนี้ที่เกิดปรากฏให้รู้ว่ามีจริง แท้ที่จริงแล้วดับเร็วมาก เร็วจนเราไม่รู้เลยว่า ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ และทั้งหมดนี้คืออนัตตา หมายความว่าไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา และไม่เป็นของใครเลยทั้งสิ้น
“ธรรม” มาจากคำว่า “ธาตุ” เคยได้ยินคำว่า “ธาตุ” ใช่ไหมคะ พอพูดถึงธาตุ มีใครจะเป็นเจ้าของธาตุอะไรได้บ้าง อย่างธาตุทอง ใช้ได้ไหมคะ ธาตุเงิน ใช้ได้ไหมคะ และถ้าไปเรียนหนังสือก็จะมีธาตุอีกหลายธาตุเลย มากมาย แล้วมีใครเป็นเจ้าของบ้าง ต้นไม้ใบหญ้าที่เกิดมา มีใครเป็นเจ้าของบ้าง ไม่มี นอกจากต้นไม้ใบหญ้า ที่ร่างกายของเรา มีใครเป็นเจ้าของบ้าง ไม่มี แล้วที่ตัวมีอะไรบ้างคะ ที่ว่าไม่มีเจ้าของ
ผู้ฟัง : : ไม่มีอะไรที่เราเป็นเจ้าของได้เลย