“นี่คือผังของบ้านหลังนึง (คุณ)ดูออกมั้ยว่าบ้านหลังนี้ผิดปกติตรงไหน” ประโยคที่ดังขึ้นพร้อมๆ กับแปลน(ผัง)บ้าน 2 ชั้นชวนพิศวง “แต่คุณน่าจะสังเกตเห็นว่ามีความพิลึกพิลั่นน่าฉงนทุกหนทุกแห่ง” เป็นสองประโยคจากตัวอย่างหนังที่เล่นกับความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์อย่างตรงจุดที่สุด ไม่ว่าจะคุณจะเคยอ่านฉบับนิยายมาก่อนหรือไม่ก็ตาม การได้ยินประโยคทั้งสองข้างต้นก็เหมือนถูกกระชากให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งเพื่อค้นหาปริศนาเบื้องหลังอันดำมืดของ “บ้านวิกล” หรือ The Floor Plan แบบโงหัวไม่ขึ้นเลย

.
ทว่า “บ้านวิกล” ฉบับภาพยนตร์นี้กลับไม่ประสบความสำเร็จนักในแง่ของการสร้างความตื่นเต้นและความลุ้นระทึก ทั้งๆ ที่จั่วหัวมาได้น่าสนใจมาก แต่ตัวบ้านพิศวงกลับเป็นเพียงเปลือกบางๆ ที่เอาไว้เล่าเรื่องราวเบื้องหลังที่ก็ไม่ได้มีอะไรชวนให้ช็อคหรือผวาอะไรนัก ทั้งหมดเป็นผลมาจากการดำเนินเรื่องที่ขาดการเร้าอารมณ์และชั้นเชิงในการนำเสนอ จนแล้วจนรอดก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ความระทึกของหนังเรื่องนี้อยู่ตรงไหนกันแน่

.
ว่ากันว่าในฉบับนิยายของนักเขียน “อุเก็ตสึ” (Uketsu) จะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของตัวบ้านและคนที่อาศัยในบ้านนั้น ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ฟังกชั่นชวนพิศวงของบ้านจึงไม่ได้เป็นส่วนที่คอยขับเคลื่อนเรื่องและถูกใช้เป็นแค่ “เบาะแส” ในการสืบเรื่องราวมากกว่า แม้ว่าในฉบับนิยายจะประสบความสำเร็จในจุดนี้ แต่ในฉบับภาพยนตร์กลับให้ผลตรงกันข้ามมากกว่า เพราะมันกลับลดทอนความน่าดึงดูดของตัวเรื่องทั้งเรื่องไปแบบไม่น่าให้อภัย

.
การดำเนินเรื่องผ่านตัวละครหลักอย่าง “อาเมมิยะ” (Mamiya Shotaro) ยูทูปเบอร์หนุ่มปลายแถวที่ได้รับแปลนบ้านพิศวงนี้มา และอีกคนอย่าง “คูริฮาระ” (Sato Jiro) สถาปนิกผู้ชื่นชอบนิยายสืบสวนลึกลับ ที่ดูน่าสนใจอยู่บ้างในตอนแรก แต่กลับกลายเป็นว่าสถาปนิกคูริฮาระเองนี่แหละที่เป็นปัญหา เพราะทุกเงื่อนงำที่ออกมาจากปากของเขานั้นแม่นยำชนิดที่ว่าแทบจะไม่ต้องลุ้นอะไร (ยังลุ้นอีกว่าเขาจะเดาผิดรึเปล่า) แม้จะมีแก้เขินว่า “ผมก็แค่มโนครับ” แต่เมื่อผู้ชมไม่ต้องใช้สมองคิดวิเคราะห์อะไรเลย มันก็ทำลายเสน่ห์ของ “การสืบสวน” ไปมากพอดู

.
แม้ตัวละครที่เพิ่มเข้ามาอย่าง “ยูซุกิ” (Kawaei Rina) สาวน้อยปริศนาที่อ้างว่ามีความเกี่ยวข้องกับบ้านปริศนา มีส่วนช่วยในการพยายามผลักดันเรื่องไปข้างหน้าได้ก็จริง แต่ด้วยการบิ้วอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เรื่องราวของเธอและพี่สาวที่อยู่เบื้องหลังปริศนาของบ้านหลังนี้ จึงไม่ได้เสริมให้เรื่องดูสนุกขึ้นแต่อย่างใด รู้ตัวอีกทีเรื่องก็ดำเนินไปถึงท้ายเรื่อง และพาไปสู่ตอนจบที่ให้ความรู้สึกว่า “แค่เนี่ย” รวมทั้งปริศนาของเรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ดูไม่ค่อยมีเหตุผลให้น่าเชื่อถือเท่าไหร่ด้วย

.
หากวัดกันปอนด์ต่อปอนด์ ภาพยนตร์สยองขวัญในชุด “ผีดุ” ที่เข้าฉายก่อนหน้านี้ ทั้งอุโมงค์ผีดุ ป่าผีดุ หมู่บ้านผีดุ เกาะผีดุ และเทปผีดุ ที่ต่างก็ดำเนินเรื่องแทบจะถอดแบบกันมาเลย แต่กลับทำได้ดีกว่ามากในเรื่องของบรรยากาศและความระทึก (อาจจะได้เปรียบตรงที่เป็นหนังสยองขวัญ) และสิ่งที่เห็นได้ชัดเลย คือ การดำเนินเรื่องที่สร้างคำถามให้ผู้ชมเพื่อนำไปสู่การคลี่คลายและบทสรุปเรื่องราวนั้นทำได้ดีกว่ามากเลย (ให้ป่าผีดุยืนหนึ่ง)

.
อาจจะน่าเห็นใจที่ “บ้านวิกล” เต็มไปด้วยข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก เพราะตัวต้นฉบับที่เอาพล็อตผังบ้านมาตีหัวคนอ่านแล้ววางตัวละครเอกเป็นคนนอกมันตีกรอบการเล่าเรื่องในระดับนึงอยู่แล้ว ในทางกลับกันถ้าตัวละครในเรื่องเป็นผู้ประสบภัยแล้วต้องอยู่ในบ้านหลังนี้ และค่อยๆ พบความประหลาดของบ้าน ก็อาจจะได้ความสนุกที่ต่างออกไป หรือให้ตัวเอกเป็นนักสืบแบบโคนันเข้าไปไขคดีตรงๆ กันไปเลยแบบไม่ต้องอ้อมค้อม มาทำทีเป็นเดานู่นเดานี่ก็อาจเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ (หลายๆ ตอนของโคนันที่เกี่ยวกับบ้านหรือคฤหาสน์นั้นสนุกมาก)
Story Decoder
[รีวิว] บ้านวิกล - โดดเด่นด้วยผังบ้านชวนพิศวง จืดชืดด้วยการสืบสวนที่ไร้ความระทึก
.
ทว่า “บ้านวิกล” ฉบับภาพยนตร์นี้กลับไม่ประสบความสำเร็จนักในแง่ของการสร้างความตื่นเต้นและความลุ้นระทึก ทั้งๆ ที่จั่วหัวมาได้น่าสนใจมาก แต่ตัวบ้านพิศวงกลับเป็นเพียงเปลือกบางๆ ที่เอาไว้เล่าเรื่องราวเบื้องหลังที่ก็ไม่ได้มีอะไรชวนให้ช็อคหรือผวาอะไรนัก ทั้งหมดเป็นผลมาจากการดำเนินเรื่องที่ขาดการเร้าอารมณ์และชั้นเชิงในการนำเสนอ จนแล้วจนรอดก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ความระทึกของหนังเรื่องนี้อยู่ตรงไหนกันแน่
.
ว่ากันว่าในฉบับนิยายของนักเขียน “อุเก็ตสึ” (Uketsu) จะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของตัวบ้านและคนที่อาศัยในบ้านนั้น ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ฟังกชั่นชวนพิศวงของบ้านจึงไม่ได้เป็นส่วนที่คอยขับเคลื่อนเรื่องและถูกใช้เป็นแค่ “เบาะแส” ในการสืบเรื่องราวมากกว่า แม้ว่าในฉบับนิยายจะประสบความสำเร็จในจุดนี้ แต่ในฉบับภาพยนตร์กลับให้ผลตรงกันข้ามมากกว่า เพราะมันกลับลดทอนความน่าดึงดูดของตัวเรื่องทั้งเรื่องไปแบบไม่น่าให้อภัย
.
การดำเนินเรื่องผ่านตัวละครหลักอย่าง “อาเมมิยะ” (Mamiya Shotaro) ยูทูปเบอร์หนุ่มปลายแถวที่ได้รับแปลนบ้านพิศวงนี้มา และอีกคนอย่าง “คูริฮาระ” (Sato Jiro) สถาปนิกผู้ชื่นชอบนิยายสืบสวนลึกลับ ที่ดูน่าสนใจอยู่บ้างในตอนแรก แต่กลับกลายเป็นว่าสถาปนิกคูริฮาระเองนี่แหละที่เป็นปัญหา เพราะทุกเงื่อนงำที่ออกมาจากปากของเขานั้นแม่นยำชนิดที่ว่าแทบจะไม่ต้องลุ้นอะไร (ยังลุ้นอีกว่าเขาจะเดาผิดรึเปล่า) แม้จะมีแก้เขินว่า “ผมก็แค่มโนครับ” แต่เมื่อผู้ชมไม่ต้องใช้สมองคิดวิเคราะห์อะไรเลย มันก็ทำลายเสน่ห์ของ “การสืบสวน” ไปมากพอดู
.
แม้ตัวละครที่เพิ่มเข้ามาอย่าง “ยูซุกิ” (Kawaei Rina) สาวน้อยปริศนาที่อ้างว่ามีความเกี่ยวข้องกับบ้านปริศนา มีส่วนช่วยในการพยายามผลักดันเรื่องไปข้างหน้าได้ก็จริง แต่ด้วยการบิ้วอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เรื่องราวของเธอและพี่สาวที่อยู่เบื้องหลังปริศนาของบ้านหลังนี้ จึงไม่ได้เสริมให้เรื่องดูสนุกขึ้นแต่อย่างใด รู้ตัวอีกทีเรื่องก็ดำเนินไปถึงท้ายเรื่อง และพาไปสู่ตอนจบที่ให้ความรู้สึกว่า “แค่เนี่ย” รวมทั้งปริศนาของเรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ดูไม่ค่อยมีเหตุผลให้น่าเชื่อถือเท่าไหร่ด้วย
.
หากวัดกันปอนด์ต่อปอนด์ ภาพยนตร์สยองขวัญในชุด “ผีดุ” ที่เข้าฉายก่อนหน้านี้ ทั้งอุโมงค์ผีดุ ป่าผีดุ หมู่บ้านผีดุ เกาะผีดุ และเทปผีดุ ที่ต่างก็ดำเนินเรื่องแทบจะถอดแบบกันมาเลย แต่กลับทำได้ดีกว่ามากในเรื่องของบรรยากาศและความระทึก (อาจจะได้เปรียบตรงที่เป็นหนังสยองขวัญ) และสิ่งที่เห็นได้ชัดเลย คือ การดำเนินเรื่องที่สร้างคำถามให้ผู้ชมเพื่อนำไปสู่การคลี่คลายและบทสรุปเรื่องราวนั้นทำได้ดีกว่ามากเลย (ให้ป่าผีดุยืนหนึ่ง)
.
อาจจะน่าเห็นใจที่ “บ้านวิกล” เต็มไปด้วยข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก เพราะตัวต้นฉบับที่เอาพล็อตผังบ้านมาตีหัวคนอ่านแล้ววางตัวละครเอกเป็นคนนอกมันตีกรอบการเล่าเรื่องในระดับนึงอยู่แล้ว ในทางกลับกันถ้าตัวละครในเรื่องเป็นผู้ประสบภัยแล้วต้องอยู่ในบ้านหลังนี้ และค่อยๆ พบความประหลาดของบ้าน ก็อาจจะได้ความสนุกที่ต่างออกไป หรือให้ตัวเอกเป็นนักสืบแบบโคนันเข้าไปไขคดีตรงๆ กันไปเลยแบบไม่ต้องอ้อมค้อม มาทำทีเป็นเดานู่นเดานี่ก็อาจเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ (หลายๆ ตอนของโคนันที่เกี่ยวกับบ้านหรือคฤหาสน์นั้นสนุกมาก)
Story Decoder