[รีวิว] Longlegs - ความผวาสุดขีดของฆาตกรขายาวและงานภาพยนตร์ที่ทำได้แค่เกือบจะเป็นตำนาน

เรียกว่าเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่กระแสมาแรงมากๆ ตั้งแต่ก่อนจะเข้าฉายในประเทศไทย และบทบาทฆาตกรต่อเนื่อง “ไอ้ขายาว” ของนิโคลัส เคจ (Nicolas Cage) ที่กลายเป็นที่พูดถึงเรื่องความน่ากลัวแบบสุดขีด ซึ่งตัวผู้กำกับออสกูด เพอร์กินส์ (Osgood Perkins) ตั้งใจเก็บงำใบหน้าของนิโคลัส เคจ ในบทนี้เอาไว้อย่างเต็มที่ เพื่อรอให้ผู้ชมไปพิสูจน์ความผวาในโรงภาพยนตร์ นั่นก็ทำให้ “Longlegs” มีความน่าสนใจมากขึ้นเป็นกองเลย
.
ท่ามกลางคำวิจารณ์สรรเสริญเยินยอมากมาย บ้างก็บอกว่านี่คือ “หนังสยองขวัญที่ดีที่สุดในทศวรรษ” หรือยิ่งไปกว่านั้นก็บอกว่านี่คือ “หนังสยองขวัญที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ Silence of the Lambs” เลยทีเดียว ซึ่งจากหน้าหนังและตัวอย่างที่ปล่อยออกมา ก็ต้องยอมรับว่า Longlegs มีทรงที่ดีกับคำกล่าวอ้างเหล่านี้ไม่น้อย ทั้งจากบรรยากาศของเรื่อง งานด้านภาพและการแสดงของ “ไมกา มอนโร” ในบทของ FBI สาวฝึกหัดที่ชื่อว่า “ลี ฮาร์เกอร์” ที่ทั้งหมดดูสอดประสานกันเป็นงานชั้นยอดได้อย่างมีลงตัว

.
เห็นได้ชัดว่าแรงบันดาลใจของ Longlegs มาจากภาพยนตร์รุ่นพี่ทั้งหลาย ทั้งเรื่องของการตามล่าฆาตกรต่อเนื่องโดย FBI สาวที่ทำให้ไม่นึกถึง Silence of the Lambs (1991) ก็คงเป็นไปไม่ได้ วิธีการสืบสวนสอบสวนจากเบาะแสและคำใบ้เพื่อชักนำไปสู่ตัวฆาตกรใน Se7en (1995) หรือสัญลักษณ์ประหลาดที่มีความหมายแยบยลใน Zodiac (2007) ต่างก็เป็นวัสดุดิบชั้นเลิศให้ “ออส” เพอร์กินส์ นำไปสร้างเป็น Longlegs เรื่องล่าสุดของเขานี่เอง

.
อาจจะรู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่ Longlegs มีจังหวะการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างช้า หรือที่เรียกกันว่า Slowburn แม้จะเปิดเรื่องมาด้วยความระทึกก็ตาม แต่สิ่งที่ทำให้ตัวเรื่องยังมีความน่าสนใจ นอกจากวิธีการค่อยๆ นำสืบไปสู่ตัวไอ้ขายาวของลีแล้ว เห็นทีจะเป็นเรื่องงานภาพที่เน้นภาพกว้างเป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกันมันก็ถูกจัดองค์ประกอบให้มีลูกล่อลูกชนกับผู้ชม ทั้งความอึดอัด ความไม่ไว้วางใจว่าจะมีอะไรโผล่มารึเปล่า และสิ่งชั่วร้ายที่ถูกซ่อนไว้ มันทำให้แม้เรื่องที่ค่อยๆ เดินไปแต่กลับเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ละทิ้งไม่ได้ บวกกับเสียงดนตรีประกอบที่ค่อยๆ ฝังความน่ากลัวลงไปในโสตประสาททีละน้อย ปิดท้ายด้วยงานที่เต็มไปด้วยรายละเอียดอันประณีตก็ช่วยเสริมแรงความสยองได้เป็นอย่างดี

.
แม้ดูเผินๆ Longlegs อาจจะสถาปนาตัวเองให้เทียบชั้นกับภาพยนตร์ชั้นครูได้ง่ายๆ แต่กลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะ Longlegs ไม่สามารถเติมเต็มผู้ชมได้ในส่วนของ “บทสรุป” ที่เกิดขึ้น และมันทำให้เกิดเสียงแตกขึ้นในหมู่ผู้ชมอย่างมาก ด้วยความที่หลักใหญ่ใจความของภาพยนตร์ มันก็คือ การเติมเต็มเรื่องราวให้กับผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์แนวไหนก็ตามนี่เป็นโจทย์ที่สำคัญที่สุด แม้องค์ประกอบด้านอื่นๆ ของ Longlegs จะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่หากบทสสรุปที่ได้มันไม่ทำงานกับผู้ชมก็ไร้ความหมาย (บทสรุปนั้นคืออะไรก็ต้องไปชมกันในเรื่อง)

.
มีทริคอย่างหนึ่งที่ผู้กำกับเพอร์กินส์ใช้เวลาที่เขาต้องการจะเล่าเรื่องย้อนไปในอดีต ก็คือ เขาจะเปลี่ยนภาพให้เป็นเหมือนภาพจากโฮมวิดีโอ หรือภาพจากกล้องถ่ายวิดีโอยุคแรกๆ และครอบด้วยกรอบสีเหลี่ยมคล้ายกับหน้าจอแก้วของทีวีในยุค 80 เป็นอันรู้ได้ทันทีว่าหากเกิดภาพลักษณะนี้ขึ้น แสดงว่าเรากำลังรับชมอดีต หรือ Flashback ของเรื่องอยู่นั่นเอง แต่ความล้มเหลวอย่างไม่น่าให้อภัยเกิดขึ้นในช่วงท้ายของหนัง ที่ต้องการจะขมวดเรื่องและสรุปให้ผู้ชมเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับลีในวัยเด็ก ปมเรื่องนั้นถูกเล่าออกมาจากปากของตัวละครตัวหนึ่งแบบโต้งๆ คล้ายกับการเล่าบรรยายสรุปหัวข้อการเสวนายังไงยังงั้น

.
แล้วมันไม่ดีตรงไหน? การทำแบบนี้มันขัดกับเทคนิคพื้นฐานของการเล่าเรื่องอย่างหนึ่งที่เรียกว่า เทคนิค Show, don’t tell แน่นอนว่ามันไม่ใช่ข้อบังคับ แต่มันแสดงถึงชั้นเชิงของการนำเสนอเรื่องราว คงไม่ดีแน่หากตัวละครต้องเล่าเรื่องให้ผู้ชมฟังเป็นเสียงบรรยายภาพ แทนที่พวกเขาจะได้ซึมซับข้อมูลเหล่านี้จากภาพเบื้องหน้า เพราะมันสะท้อนว่าการเล่าเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ มีปัญหา หรืออาจจะคลุมเครือจนเกินไป (ยังไม่รวมปริศนาอักษรลึกลับของ Longlegs ที่สุดท้ายก็กลายเป็นตัวประกอบจางๆ ไปอีก)

.
ยิ่งไปกว่านั้นผู้กำกับเพอร์กินส์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดของเขาหลายๆ อย่างทั้งความหมายของชื่อเรื่อง ตัวตนของ Longlegs ภูมิหลังที่ใช้สร้างเรื่องราวจากเรื่องวัยเด็ก และสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายรวมถึงตอนจบที่ขยายความให้กระจ่างมากขึ้นว่าทำไมเขาถึงเลือกเล่าแบบนั้น แต่หากเป็นแบบนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไรให้ผู้ชมเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง หากมันจะต้องขยายความอีกทีโดยคำบอกเล่าของผู้กำกับ

.
ถึงอย่างไรก็ตาม เราก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับการแสดงอันดำดิ่งของไมกา มอนโร ที่สามารถตรึงผู้ชมให้อยู่กับเรื่องไปได้ตลอด ความไม่มั่นคงของตัวละครทำให้เราไม่อาจจะไว้วางใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวินาทีข้างหน้า และใบหน้าที่อยู่ในโหมดตรึงเครียดและกดดันอยู่แทบทั้งเรื่องจนเกรงว่าจะเส้นเลือดในสมองแตกซะก่อนจะจับ Longlegs ได้ ส่วนไฮไลต์ของเรื่องอย่าง นิโคลัส เคจ ในบทไอ้ขายาว ที่ต้องใช้คำว่า “โคตรอันตราย” และหากไม่มีข่าวบอกว่าเขาเป็นผู้รับบทนี้เชื่อว่าไม่มีใครจำผู้ชายคนนี้ได้แน่นอน แถมมีการเมคอัพเปลี่ยนใบหน้าจนแถมจำไม่ได้ไปอีกหนึ่งชั้น

.
แต่แม้รูปลักษณ์และการแสดงของนิคเคจจะทรงพลังเพียงใด แต่ผู้กำกับเพอร์กินส์ใช้งานไอ้ขายาวของนิคเคจ แทบจะไม่ได้มีอิทธิพลต่อผู้ชมสักเท่าไหร่นัก การปรากฏตัวของเขาแม้จะชวนผวาแต่มันก็ไม่ได้มอบประสบการณ์ฝังใจให้กับผู้ชม แถมด้วยตอนจบที่ไม่ทำงานกับผู้ชมนี้ก็ทำให้ฆาตกร Longlegs ไม่ได้กลายเป็นตัวไอค่อนขึ้นหิ้งเหมือนกับ “ฮันนิบาล เล็กเตอร์” (Hannibal Lecter) ของแอนโทนี่ ฮอปกินส์ และอาจจะใช้คำว่าดูห่างชั้นเกินไปด้วยซ้ำที่จะไปเทียบกัน รวมถึงตัวภาพยนตร์เองก็อาจจะไม่ได้ไปถึงจุดในระดับที่จะกลายเป็น “ตำนาน” เหมือนกัน

Story Decoder
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่