
- ปาดังเบซาร์ ภาพจำของผมเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ติดกับรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย เป็นทางผ่านให้คน 2 ประเทศไปมาหาสู่กันมากกว่ามองว่าเป็นสถานที่ท่องเทียวต้อนรับผู้มาเยือนต่างถิ่นเข้ามาพักหย่อนผ่อนใจและนอนหลับให้สบาย กระทั่งก่อนดูก็ได้อ่านเรื่องย่อและดูตัวอย่างมาก็คิดว่าคงจะดึงศักยภาพความเป็นอัตลักษณ์เกี่ยวกับเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ให้คนได้รู้จักมากขึ้นไม่มากไม่น้อย พอดูจบลง โอเคว่าใจนึง ชอบ แต่อีกใจรู้สึกว่าตัวหนังไม่ได้ตีโจทย์ความเป็นปาดังให้เห็นภาพวงกว้างเท่าไหร่ มีการหยิบเอาชื่อตัวเมือง หรือ Signature บางแห่งที่อยู่ในนั้นพอกรุบกริบ ไม่ว่าจะเป็น ทิวทัศน์ตามตลาดหนทาง หรือ ความเชื่อในการเชิญผู้เสียชีวิตกลับบ้าน (ที่ไม่รู้ว่ามาจากที่นี่หรือเปล่า ? ) มาเป็นจุดขายแล้วนำมาขับเคลื่อนให้ Story เดินตามจุดประสงค์ที่วางไว้ ที่เหลือจะเทหน้าตักไปที่ Story ของ 2 ศรีพี่น้องที่อยู่คนละที่แต่จำเป็นต้องกลับมายังมาตุภูมิที่เคยเป็นบ้านของพวกเธอ เพราะแม่ของทั้ง 2 เสียชีวิตเกินกว่า 70 %

- ถึง Plot เรียบง่ายด้วยความจริงใจแต่หนังก็สามารถไหลไปได้ถึง 1 ชั่วโมง 55 นาที โดยไม่รู้สึกถึงความเนิบจนน่าเบื่อ แม้โดยรวมจะเล่าตามวิถี Slow Burn ก็ตาม ในช่วงแรก ๆ ตอนที ป่าน เดินเที่ยวกับเพื่อนที่ห้างจนกระทั่งมีสายโทรมาจากน้าสาวแจ้งว่าแม่ของเธออยู่ที่โรงพยาบาลจนเธอรีบวิ่งออกไป ก็พอทราบว่าหนังมันเล่าแบบไม่เรียง Timeline จาก 1 ไป 2 และ 3 คือ เริ่มจากแนะนำตัว ป่าน ไม่กี่นาทีแล้วก็ไปเหตุการณ์ที่ป่านอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว และหนังก็ตัดฉากแวะไปดู Life ของตัวละครอีกคนอย่าง ปิ่น พี่สาวของ ป่าน แวบ ๆ ว่าเป็นใคร ? ทำอะไร ? แล้วก็เปลี่ยนฉากทันควันต่อ ซึ่งช่วงแรก ๆ ก็จะวน ๆ อยู่แค่นี้โดยไม่รอคนดูว่าจะเข้าใจทันหรือเปล่า ? ถ้าเป็นสมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาเจอวิธีการเล่าแบบนี้รับรองมีงงแน่นอน

- พอหนังเข้าสู่ช่วงที่ ปิ่น ปรากฎต่อหน้า ป่าน น้องสาวกับน้าสาวที่โรงพยาบาลปุ๊ป มีการทำเรื่องขอย้ายปั๊ป หนังก็ค่อย ๆ เข้าที่เป็นเส้นเดียวกันพร้อมกับเปลี่ยนธีมเป็นแนว Road Trip เรา 2-3 คนในรถคันเดียว ที่ดูง่ายขึ้น เพราะมีตัวละครเพิ่มอย่างพี่โชเฟอร์มาทำหน้าที่ขับรถพยาบาลพาแม่ของ 2 ศรีกลับบ้านที่ปาดังเบซาร์ ถึงรู้แก่ใจว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร ? ก็ไม่ได้ลดความอยากดูลงแม้แต่น้อย เพราะความน่าสนใจมันอยู่ตรงระหว่างทางนี่แหล่ะที่เหมือนไม่มีอะไรก็ทำให้มันมีอะไรจนเกิดความกังวลใจนิด ๆ ว่าจะถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพกี่โมง ? ไม่ใช่แค่ปมของ 2 ศรีพี่น้องที่มีมวลความคับแคลงใจบางอย่างก่อนล้อจะหมุน พฤติกรรมมึน ๆ ของพี่โชเฟอร์ที่ชอบทำอะไรเพี้ยน ๆ ไปเรื่อยให้เราขำไปเกาหัวไปด้วยความหน่ายใจ (ในเรื่องที่ดีอยู่) ไม่น้อย

- ระหว่างกินลมดูวิวเกิดเอะใจกับ Location บางจุดที่เราคุ้นตาอยู่ 2-3 ที่ว่า เอ๊ะ ! นี่มันแถว ๆ บ้านเรานี่หว่า เคยขับผ่านมาแล้วให้แอบทราบซึ้งในใจนิด ๆ เหมือนมาช่วยโปรโมตสถานที่บ้านเราไปในตัว ขณะเดียวกันก็แอบสังเกตอะไรบางอย่างจนเกิดคำถามขึ้นมา เช่นกันอย่าง Scene ตอนที่ ปิ่น คุยกับน้าสาวทางโทรศัพท์มือถือในรถพยาบาลแล้วน้าสาวถามว่าตอนนี้ถึงไหนแล้ว ? ตัว ปิ่น ตอบไปว่า อยู่สุราษฎร์ เท่านั้นแหล่ะ ผมนี้อุทานในใจว่า เดี๋ยว ๆ เมื่อกี๊เพิ่งผ่านถนนสายเก่าระหว่างหาดใหญ่กับสงขลาอยู่เลย แล้วไหง ? วกกลับไปที่นั่นซึ่งอยู่คนละจังหวัด แถมเส้นทางยังห่างกันคนละโยชน์อีก

- สรุป ชอบ เป็น Drama ผสม Road Trip ถ่ายทอดความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ห่างเหินกันนานแต่กลับมาพบกันเพราะคนที่พวกเธอเรียกว่า แม่ ผ่านคำพูดและสัญญะที่ผุ้กำกับคุณ ต้องปอง จันทรางกูร ต้องการจะสื่อในสไตล์หนังนอกกระแสที่รู้สรรพคุณถึงเรียบง่ายและให้ความหมายกับการใช้ชีวิตดีถ้าค้นหาดู แต่ยังไม่สามารถขยายภาพดึงความเป็นอัตลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ในเมืองนี้ ไม่ว่าจะในด้านวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมที่เป็นตัวตนของที่นั่นเท่าที่ควร แต่ด้วยการแสดงของ 2 นักแสดงคุณภาพอย่าง คุณสายป่าน อภิญญา กับ คุณจั๊กจั่น อคัมย์สิริ ที่แสดงดี เคมีรับส่งอารมณ์กันลงตัว กับ คุณต่อพงษ์ พี่โชเฟอร์สายตึงช่วยกลบจุดด้อยที่ได้กล่าวไปได้พอสมควร โดยเฉพาะ Part การเดินทางพาแม่กลับไปยังบ้านเกิด นอกจาก Trip นี้จะเป็นละลายปมของ 2 สาวไปทีละนิดแล้วบ้านหลังนั้นยังเป็นสถานที่สะสมความทรงจำมากมายที่อยากจดจำหรืออยากจะลืมก็สุดแท้ ถึงรู้บทสรุปแล้วว่าเป็นอย่างไร ? แต่อย่างน้อยสารที่ได้รับทำให้เราอดที่จะคิดถึงวันเก่า ๆ ช่วงต้นยุค 2010 ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือรุ่นไหนไม่รู้แบบปุ่มกดที่คุณจั๊กจั่นใช้ หรือ กางเกงยีนส์ขาเดฟสีเทาที่คุณสายป่านใส่ รวมถึงคนที่เราคิดถึงโดยเฉพาะคนที่เรารักและผูกพัน แม้เขาจะไม่อยู่แล้วก็ตาม

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] ์No.115 ปาดังเบซาร์ : I Carried You Home (2554) : ไป เพื่อ ลืม จาก เพื่อ จำ
- ปาดังเบซาร์ ภาพจำของผมเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ติดกับรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย เป็นทางผ่านให้คน 2 ประเทศไปมาหาสู่กันมากกว่ามองว่าเป็นสถานที่ท่องเทียวต้อนรับผู้มาเยือนต่างถิ่นเข้ามาพักหย่อนผ่อนใจและนอนหลับให้สบาย กระทั่งก่อนดูก็ได้อ่านเรื่องย่อและดูตัวอย่างมาก็คิดว่าคงจะดึงศักยภาพความเป็นอัตลักษณ์เกี่ยวกับเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ให้คนได้รู้จักมากขึ้นไม่มากไม่น้อย พอดูจบลง โอเคว่าใจนึง ชอบ แต่อีกใจรู้สึกว่าตัวหนังไม่ได้ตีโจทย์ความเป็นปาดังให้เห็นภาพวงกว้างเท่าไหร่ มีการหยิบเอาชื่อตัวเมือง หรือ Signature บางแห่งที่อยู่ในนั้นพอกรุบกริบ ไม่ว่าจะเป็น ทิวทัศน์ตามตลาดหนทาง หรือ ความเชื่อในการเชิญผู้เสียชีวิตกลับบ้าน (ที่ไม่รู้ว่ามาจากที่นี่หรือเปล่า ? ) มาเป็นจุดขายแล้วนำมาขับเคลื่อนให้ Story เดินตามจุดประสงค์ที่วางไว้ ที่เหลือจะเทหน้าตักไปที่ Story ของ 2 ศรีพี่น้องที่อยู่คนละที่แต่จำเป็นต้องกลับมายังมาตุภูมิที่เคยเป็นบ้านของพวกเธอ เพราะแม่ของทั้ง 2 เสียชีวิตเกินกว่า 70 %
- ถึง Plot เรียบง่ายด้วยความจริงใจแต่หนังก็สามารถไหลไปได้ถึง 1 ชั่วโมง 55 นาที โดยไม่รู้สึกถึงความเนิบจนน่าเบื่อ แม้โดยรวมจะเล่าตามวิถี Slow Burn ก็ตาม ในช่วงแรก ๆ ตอนที ป่าน เดินเที่ยวกับเพื่อนที่ห้างจนกระทั่งมีสายโทรมาจากน้าสาวแจ้งว่าแม่ของเธออยู่ที่โรงพยาบาลจนเธอรีบวิ่งออกไป ก็พอทราบว่าหนังมันเล่าแบบไม่เรียง Timeline จาก 1 ไป 2 และ 3 คือ เริ่มจากแนะนำตัว ป่าน ไม่กี่นาทีแล้วก็ไปเหตุการณ์ที่ป่านอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว และหนังก็ตัดฉากแวะไปดู Life ของตัวละครอีกคนอย่าง ปิ่น พี่สาวของ ป่าน แวบ ๆ ว่าเป็นใคร ? ทำอะไร ? แล้วก็เปลี่ยนฉากทันควันต่อ ซึ่งช่วงแรก ๆ ก็จะวน ๆ อยู่แค่นี้โดยไม่รอคนดูว่าจะเข้าใจทันหรือเปล่า ? ถ้าเป็นสมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาเจอวิธีการเล่าแบบนี้รับรองมีงงแน่นอน
- พอหนังเข้าสู่ช่วงที่ ปิ่น ปรากฎต่อหน้า ป่าน น้องสาวกับน้าสาวที่โรงพยาบาลปุ๊ป มีการทำเรื่องขอย้ายปั๊ป หนังก็ค่อย ๆ เข้าที่เป็นเส้นเดียวกันพร้อมกับเปลี่ยนธีมเป็นแนว Road Trip เรา 2-3 คนในรถคันเดียว ที่ดูง่ายขึ้น เพราะมีตัวละครเพิ่มอย่างพี่โชเฟอร์มาทำหน้าที่ขับรถพยาบาลพาแม่ของ 2 ศรีกลับบ้านที่ปาดังเบซาร์ ถึงรู้แก่ใจว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร ? ก็ไม่ได้ลดความอยากดูลงแม้แต่น้อย เพราะความน่าสนใจมันอยู่ตรงระหว่างทางนี่แหล่ะที่เหมือนไม่มีอะไรก็ทำให้มันมีอะไรจนเกิดความกังวลใจนิด ๆ ว่าจะถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพกี่โมง ? ไม่ใช่แค่ปมของ 2 ศรีพี่น้องที่มีมวลความคับแคลงใจบางอย่างก่อนล้อจะหมุน พฤติกรรมมึน ๆ ของพี่โชเฟอร์ที่ชอบทำอะไรเพี้ยน ๆ ไปเรื่อยให้เราขำไปเกาหัวไปด้วยความหน่ายใจ (ในเรื่องที่ดีอยู่) ไม่น้อย
- ระหว่างกินลมดูวิวเกิดเอะใจกับ Location บางจุดที่เราคุ้นตาอยู่ 2-3 ที่ว่า เอ๊ะ ! นี่มันแถว ๆ บ้านเรานี่หว่า เคยขับผ่านมาแล้วให้แอบทราบซึ้งในใจนิด ๆ เหมือนมาช่วยโปรโมตสถานที่บ้านเราไปในตัว ขณะเดียวกันก็แอบสังเกตอะไรบางอย่างจนเกิดคำถามขึ้นมา เช่นกันอย่าง Scene ตอนที่ ปิ่น คุยกับน้าสาวทางโทรศัพท์มือถือในรถพยาบาลแล้วน้าสาวถามว่าตอนนี้ถึงไหนแล้ว ? ตัว ปิ่น ตอบไปว่า อยู่สุราษฎร์ เท่านั้นแหล่ะ ผมนี้อุทานในใจว่า เดี๋ยว ๆ เมื่อกี๊เพิ่งผ่านถนนสายเก่าระหว่างหาดใหญ่กับสงขลาอยู่เลย แล้วไหง ? วกกลับไปที่นั่นซึ่งอยู่คนละจังหวัด แถมเส้นทางยังห่างกันคนละโยชน์อีก
- สรุป ชอบ เป็น Drama ผสม Road Trip ถ่ายทอดความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ห่างเหินกันนานแต่กลับมาพบกันเพราะคนที่พวกเธอเรียกว่า แม่ ผ่านคำพูดและสัญญะที่ผุ้กำกับคุณ ต้องปอง จันทรางกูร ต้องการจะสื่อในสไตล์หนังนอกกระแสที่รู้สรรพคุณถึงเรียบง่ายและให้ความหมายกับการใช้ชีวิตดีถ้าค้นหาดู แต่ยังไม่สามารถขยายภาพดึงความเป็นอัตลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ในเมืองนี้ ไม่ว่าจะในด้านวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมที่เป็นตัวตนของที่นั่นเท่าที่ควร แต่ด้วยการแสดงของ 2 นักแสดงคุณภาพอย่าง คุณสายป่าน อภิญญา กับ คุณจั๊กจั่น อคัมย์สิริ ที่แสดงดี เคมีรับส่งอารมณ์กันลงตัว กับ คุณต่อพงษ์ พี่โชเฟอร์สายตึงช่วยกลบจุดด้อยที่ได้กล่าวไปได้พอสมควร โดยเฉพาะ Part การเดินทางพาแม่กลับไปยังบ้านเกิด นอกจาก Trip นี้จะเป็นละลายปมของ 2 สาวไปทีละนิดแล้วบ้านหลังนั้นยังเป็นสถานที่สะสมความทรงจำมากมายที่อยากจดจำหรืออยากจะลืมก็สุดแท้ ถึงรู้บทสรุปแล้วว่าเป็นอย่างไร ? แต่อย่างน้อยสารที่ได้รับทำให้เราอดที่จะคิดถึงวันเก่า ๆ ช่วงต้นยุค 2010 ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือรุ่นไหนไม่รู้แบบปุ่มกดที่คุณจั๊กจั่นใช้ หรือ กางเกงยีนส์ขาเดฟสีเทาที่คุณสายป่านใส่ รวมถึงคนที่เราคิดถึงโดยเฉพาะคนที่เรารักและผูกพัน แม้เขาจะไม่อยู่แล้วก็ตาม
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้