รีวิวการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ที่โรงพยาบาลรัฐ และก็รู้สาเหตุถึงปัญหาท้องผูกแล้ว

กระทู้คำถาม
จากกระทู้ที่แล้ว
https://pantip.com/topic/42911255

ได้ฤกษ์ส่องกล้อง หลังจากหมอนัดให้ส่องกล้องอีก 3 วันข้างหน้า (15/08/67)

วันที่ 16/08/67
กินแค่น้ำแอปเปิ้ล น้ำซุป แค่นี้จริงๆ 

วันที่ 17/08/67 
กินเหมือนวันที่ 16 นั่นแหละ

วันที่ 18/08/67 (วันส่องกล้อง)
วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้กินอะไรเช่นกัน เพราะเตรียมท้องไว้ดื่มยาระบาย อันแสนข่มขื่นและทรมานสุดๆ
กินตั้งแต่บ่ายโมงเกือบบ้ายสอง กินไปจะอ้วกไป รู้สึกไม่ดีมากๆ แต่สุดท้ายก็กินไม่หมด
กินไปแค่ 1 ลิตรเท่านั้น เพราะกินไม่ไหวจริงๆ ท้อมาก ถ้ากินอีก 1 ลิตร มีหวังอ้วกของจริงแน่ๆ555555

พอถึงโรงบาล ก็ยื่นบัตรนัดที่ห้องเวชระเบียน
เจ้าหน้าที่ก็ให้คีย์การ์ดมาอันนึง แต่เราต้องเอาบัตรประชาชนไว้ที่เขา และมารับคืนได้ตอนมาคืนคีย์การ์ด

จากนั้นขึ้นลิฟต์ไปชั้น 8 โรงบาลนี้มี 10 ชั้น เหมือนถ้าไม่มีคีย์การ์ดก็เข้าชั้นนี้ไม่ได้ ทุกคนต้องมีคีย์การ์ด 
พอไปถึง คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ไม่ถึง 10 คนเพราะมันค่ำแล้วอะเนอะ

ทุกคนอยู่ในชุดคนไข้สีฟ้า และมีญาติผู้ป่วยมาด้วย
อ้อ วันที่มาส่องกล้องลำไส้ ต้องมีญาติมาด้วยนะ ไม่งั้นหมอไม่ส่องให้ครับ

ไปถึงก็เจอพี่ๆพยาบาลชุดเขียว และพยาบาลเดินสวนกันไปมา เข้าๆออก ห้องส่องกล้อง
เพื่อเรียกตามคิวให้เข้าไปซักประวัติ วัดความดัน ชีพจร และกรอกเอกสารนิดหน่อย
เขาจะให้เซ็นต์ยินยอมให้ส่องกล้องด้วยนะ เราก็เซ็นต์ๆไปเถอะ

ปกติก่อนส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ต้องกินยาระบาย 2 ลิตรใช่ไหมครับ
แต่ผมกินแค่ 1 ลิตรเพราะอิ่มมาก แน่นท้อง กินไม่ไหว แต่พี่ๆพยาบาลก็ไม่ได้ว่าอะไร
แค่ถามว่า 2 วันก่อนไม่ได้กินกากใยเลยใช่ไหม ทานแต่น้ำแอปเปิ้ลกับน้ำซุปตามคู่มือที่ให้ไปใช่ไหม 

พี่พยาบาลก็ถามว่าได้กินยาระบายหมดหรือเปล่า ถ่ายครั้งสุดท้ายเป็นยังไง สีอะไร ผมก็บอกว่าสีเหลืองจางๆ
และถ่ายประมาณ 15 ครั้ง (กระทู้เดิมผมพิมพ์ตกเลข 5 ไป ไม่ใช่ถ่าย 1 ครั้งนะ)
ผมก็บอกว่าไม่ได้กินอะไรตั้งแต่วันที่ 16 แล้ว ทานแต่น้ำแอปเปิ้ลกับน้ำซุปใส มา 2 วันเต็ม 
และวันนี้ กินยาระบายคือวันที่ 3 ที่ไม่ได้กินอะไรเลย (วันเดียวกับที่ต้องส่องกล้องนั่นแหละ)

พี่พยาบาลก็บอกลำไส้คงสะอาดดีแล้วแหละ คงไม่มีปัญหาอะไร 
แต่เขาคงเห็นผมหน้าซีดมาก ซึ่งวันนั้นผมก็ซีดจริงๆ รู้สึกเพลียมาก
พี่พยาบาลอีกคนที่กำลังเดินมา ก็เดินมาถามว่ากินน้ำหวานมั้ย กินได้นะ เดี๋ยวพี่เอามาให้

ผมก็ได้กินน้ำหวาน รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ตอนแรกแอบเวียนหัวหน่อยๆ 
แล้วก็ถามต่อว่า เปลี่ยนชุดเลยมั้ย แล้วเข้าไปนั่งรอในห้องแอร์นะ 
จริงๆห้องนั้นเป็นห้องที่ไว้สำหรับคนที่ส่องกล้องเสร็จแล้ว แต่รอพักฟื้นเพื่อดูอาการหลังส่อง
แต่พี่ๆพยาบาลใจดีมาก ให้ผมเข้าไปนั่งในนั้นได้ มีโซฟาให้ มียาดมยาหอม คือพร้อมมาก เหมือนรู้ใจคนไข้5555

ทีมแพทย์ทุกคน ทำงานกันมืออาชีพมาก ยิ้มแย้ม ทักทาย สอบถามต่างๆนาๆ 
วัดความดัน วัดชีพจรที่นิ้ว แอบอยากบอกว่าห้องส่องกล้อง แอร์โครตเย็นเลย เหมือนอยู่ในช่องฟิต5555

พี่พยาบาลชุดเขียว ก็เอาชุดมาให้เปลี่ยน ไปส่งผมถึงห้องน้ำเลย
ตอนเปลี่ยน ผมถอดหมดเหลือแต่กางเกงใน เพราะคิดว่าเดี๋ยวตอนส่อง เราคงหลับไปไม่รู้เรื่อง
พวกพี่ๆทีมแพทย์หรือแพทย์ คงดึงลงเอง

แต่พอเดินออกจากห้องน้ำปุ๊ป พี่พยาบาลทักว่าคนไข้ได้ถอดหมดหรือเปล่า
ผมเลยบอกว่าเหลือแต่กางเกงใน พี่พยาบาลหัวเราะแล้วบอก ต้องถอดให้หมดเลย ไม่ต้องใส่อะไรทั้งนั้น

ผมนี่ห๊ะ!!! จริงดิ คิดในใจแบบโห้วววว หนาวเด้อ เย็นไข่
ลำพังแค่แอร์ในห้องก็เย็นมากแล้ว555555

เปลี่ยนเสร็จปุ๊ปก็เดินไปพร้อมพี่พยาบาล เขาก็ถามว่าจะนั่งรอข้างนอกกับญาติมั้ย หรือจะเข้าไปนั่งในห้องศูนย์ส่องกล้อง
ผมก็ขอเข้าไปนั่งในนั้นเพราะช่วงนั้น รู้สึกอากาศเย็นจะทำให้อาการกลัว กังวล ใจเต้นเร็ว ทุเลาลงได้

ลืมบอกครับ
ระหว่างนั้นผมใจเต้นเร็ว มือชา เหงื่อออกเต็มมือ แน่นลิ้นปี่
ก็บอกกับพี่ๆพยาบาลชุดเขียวว่าผมเป็นแบบนี้ๆๆนะ อาการแบบนี้
พี่เขาก็บอกว่าอาการปกติของคนตื่นเต้น กังวล ทำใจสบายๆ ไม่มีอะไรน่ากลัว พยายามพูดให้กำลังใจตลอด
ทำให้ผมลดความกังวลไปได้ค่อนข้างเยอะ และมือก็เริ่มหายชา หน้าอกค่อยๆหายแน่น 

บอกเลยว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่โครตประทับใจมากนะเอาดีๆ
คือแบบพี่ทีมแพทย์เอาใจใส่ผมมาก จับมือบีบมือเบาๆ บอกว่าไม่เป็นไร ตอนส่อง พวกพี่จะไปให้กำลังใจนะ
พี่คนนี้เดินมา สักพักพี่อีกคนเดินมา สักพักพยาบาลชุดขาวเดินมา คือทุกคนเข้ามาคุยกับผมประมาณ 3-4 คน
มันเป็นโมเม้นที่ซึ้งใจมากครับ ทุกคนคอยพูดให้ผมไม่กลัว ให้พลังบวกในตอนนั้นมาก 

ผมเลยบอกไปว่า ผมเป็นแบบนี้พวกพี่ๆว่าอะไรไหมครับ เขาก็บอกเป็นเรื่องปกติของคนที่ไม่เคยส่องกล้องเลย
พวกพี่ก็เป็นตอนส่องกล้องครั้งแรก แม้กระทั่งคุณหมอที่ตอนส่องกล้องให้คนไข้ครั้งแรก ก็กังวลเช่นกัน บลาๆๆ 

พี่ๆพยาบาลก็ไปทำงานกันต่อ นั่นนี่
แต่พี่พยาบาลชุดขาวที่ใส่หมวกยังนั่งคุยกับผมอยู่ 2 คน ชวนคุยนั่นนี่ 
พร้อมเล่าว่า ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไร อายุน้อยกว่าเรายังมีเลย (ผมอายุ 27) 
ในห้องนี้ มีทีมแพทย์พร้อม มีวิสัญญี มีแพทย์ฉุกเฉินพร้อม ไม่มีอะไรอันตราย 
หากตอนตรวจแล้วคนไข้เป็นอะไรหรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ทีมแพทย์พร้อมสแตนบายทุกวินาที 
พร้อมเอามือที่ผมมีแต่เหงื่อ ไปเช็ดกับผ้าขนหนูอันเล็กๆ โอ้ย น้ำตาจะไหล

และผมก็นั่งอยู่ในห้องนั้นจนกว่าจะตรวจนั่นแหละ

สักพักคุณหมอที่เป็นคนเดียวกันกับที่นัดผมส่องกล้องวันที่ 15 ก็เดินมาพร้อมชุดกันเชื้อโรค
เดินเข้ามาคุยกับผมว่า น้องไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีอะไรอันตรายอะไรทั้งนั้น แล้วก็อธิบายว่า
คนไข้คิวแรกที่หมอเรียกทีมแพทย์ทุกคนมาช่วยกันที่เตียงตอนตรวจคือคนไข้เขาอายุมากแล้ว
และเป็นโรคหัวใจ ทำให้ชีพจรตก ความดันตก และหายใจช้าลง เลยต้องป้องกันไว้ก่อน มันเลยเหมือนเรื่องใหญ่

ซึ่งนั่นแหละ ที่ทำให้ผมกลัว จนไม่อยากจะส่องกล้องเลย
แต่พอคุณหมอเดินมาบอกด้วยตัวเองแบบนี้ เพราะตอนนั้นเหมือนเพิ่งส่องกล้องคนที่ 2 เสร็จ
(คนแรกที่เกิดเคสดังกล่าว ถูกส่องไปห้องฉุกเฉินแล้ว เพราะต้องให้อ๊อกซิเจน)

คุณหมอก็เดินมาคุยๆประมาณ 1 นาทีได้ บอกไม่ต้องกลัว พูดให้กำลังใจดีมาก 
ความกลัวทุกอย่างค่อยๆหายไป 

ผมเลยเดินออกจากห้องนั้น เพราะพี่พยาบาลชุดเขียวบอกว่า เดี๋ยวขออนุญาตเจาะเข็มคาสายให้ยาไว้ ระหว่างทำก็ควานหาเส้นเลือดพร้อมพูดปลอบใจเรื่องที่เรากลัวการส่องกล้องอีกครั้ง พอเจาะมือเพื่อจะได้ให้ยาแก้ปวดกับยาสลบตอนส่องกล้องเสร็จ พี่พยาบาลก็บอกว่าา ถ้ารู้สึกดีแล้ว ออกไปเดินเล่นข้างนอกดูมั้ย จะได้รีแลกซ์ พอถึงคิวแล้วจะโทรตาม

ความจริงห้องนี้มีแต่ทีมแพทย์ แพทย์ และคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียง พักฟื้นดูอาการหลังส่องกล้องเท่านั้นครับ
เขาไม่ให้ญาติคนไข้เข้ามา นอกจากพยาบาลหรือหมอจะเรียกเข้าไป 

ผมก็ออกไปเดินไปหาพี่ที่มาส่งผม ไปนั่งพุดคุยได้แปบเดียว สักพักพี่พยาบาล 3 คน เดินเข้ามานั่งข้างๆแล้วชวนคุย
ตอนนั้นมัน 2 ทุ่มนิดๆมั้ง คนไม่ค่อยมีแล้วชั้นนี้ วันนี้คนส่อกล้องน้อย ผมได้คิวส่องกล้องที่ 7

เลยยังแปลกใจว่า ทำไมพี่ๆพยาบาลทุกคนดีจังเลย พูดให้กำลังใจคนไข้ตลอด เป็นกันเอง

และแล้วคิวส่องกล้องผมก็มาถึง....

พี่พยาบาลชุดเขียวเรียกเข้าห้องส่องกล้อง
เจอพี่ๆพยาบาลชุดเขียว ในห้องส่องกล้องประมาณ 5 คน รู้สึกว่ามันเยอะกว่าคนไข้คนอื่นจัง หรือเขาจะจับผมมัดกับเตียงเพราะดูกลัวที่สุด555

ห้องที่ส่อง ไม่ใช่ห้องที่เราเข้าไปนั่งสงบสติอารมณ์ดมยาหอมตอนแรกนะครับ คนละห้อง
ชั้นนี้มันมีหลายห้อง ห้องมันเชื่อมถึงกัน ติดๆๆกัน แนวยาวๆ ตลอดฝั่ง ก็คือฟากนี้ เป็นศูนย์ส่องกล้องทั้งหมด คงนึกภาพออกนะครับ

เขาก็ให้ผมขี้นเตียง ระหว่างนั้นก็แซวผมกันใหญ่ 
บอกว่าไม่ต้องกลัวนะ // ตรวจเสร็จต้องฉลองละมั้ยเนี่ย // ปวดเมื่อไหร่บอกพี่ได้เลย // 
วิสัญญีก็เอาที่วัดความดันที่นิ้วมือมาใส่ที่นิ้ว เอาที่วัดคลื่นหัวใจมาแปะๆๆ 
ที่เหลือคือชวนผมคุยนั่นนี่ไปเรื่อย คือทุกคนเอนจอยมากครับ จนผมคิดในใจ ตรูจะรอดไหมเนี่ย
แบบทำไมมาเยอะจัง ทำไมทุกคนรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เหมือนคุณลุงคิวที่ 1 เลยเพราะดูขี้กลัวสุด ในบรรดาคนไข้ทั้งหมดของวันนี้5555

สักพักคุณหมอก็เดินมา แล้วพูดว่า ลุยเลยมั้ย พร้อมนะ ไม่ต้องกลัวนะครับ หมอก็ส่องบ่อยทุกปี ไม่เจ็บเลย (ตีไหล่ผมเบาๆ)
แต่ผมไม่เห็นอะไรนะ เพราะนอนหันหลัง งอเข่า และโดนถอดชุดออกเรียบร้อย พยาบาลเห็นก้นผมกันนทุกคนแล้ว มันเขินมาก ตูดผมก็ไม่ได้ขาวด้วยสิ แต่วินาทีนั้น สวดมนต์ในใจ ว่าตรูต้องรอด ตรูต้องชนะโว้ยย สู้5555555

สักพักหมอก็บอกว่า จะเริ่มแล้วนะ วิสัญญีก็พูดว่าจะให้ยาแก้ปวดและยาทำให้ง่วงนอนแล้วนะจ๊ะ

แต่.... ผมไม่กลับเลย ไม่หลับสักนิด ตาสว่างเหมือนเดิม
พี่พยาบาลชวนคุยตลอดการส่องกล้อง ผมก็มองจอไป คุยไป ชวนคุยสาระพัด คุณหมอก็อธิบายตลอดตั้งแต่กล้องเริ่มเข้ารูตูด555
เร็วมาก เจ็บแค่ตอนเขายัดกล้องเข้ารูแค่นั้นแหละ และมีปวดนิดหน่อย 

แต่มันไม่เจ็บอะไรเลย มีหน่วงๆที่ท้องน้อยนิดนึง แล้วก็ชิวมาก 
แบบ เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย ไม่เป็นเหมือนที่เราคิดไว้เลย

เหลือบไปมองจอวัดชีพจร ความดัน คือทุกอย่างโอเคร 
พี่ๆวิสัญญีบอก เก่งมากค่าา ดีมาก อะๆ วันนี้ตรวจเสร็จต้องชาบูแล้วมั้ย หมูกระทะหรือบุฟเฟต์ดี 
แถมเล่าด้วยว่า คนไข้บางคนกรี๊ดดด้วยนะ ตอนส่องกล้อง บางคนก็ตดระหว่างส่องกล้อง 

ตอนนั้นไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด ขำด้วยซ้ำ แล้วหมอก็บอกว่าลำไส้สะอาดมาก (ก็แหง่ดิ ไม่ได้ยัดอะไรลงท้องตั้ง 3 วันเต็ม) 
แถมกินยาระบายด้วย นี่แค่ 1 ลิตร ลำไส้ยังสะอาดขนาดนี้ แล้วก็เหมือนโชคดีที่กินยาระบายแค่ 1 ลิตรแต่ลำไส้สะอาด

ส่องไปได้สัก 10 นาที คุณหมอก็ตรวจเงียบๆ พี่ๆพยาบาลก็คุยๆกัน ชวนผมคุย เม้ามอยไปเรื่อย
จนแบบ หะนี่ผมโดนส่องกล้องอยู่หรอ ทำไมเหมือนนอนอยู่เฉยๆ มันแบบเอนจอยเวอร์ ไหนยาสลบอะ ไม่เห็นรู้สึกใดๆ นอนตาใสแจ๋วเนี่ย55555555 
หมอก็ค่อยๆเอากล้องออกจากลำไส้ ดูละเอียดมาก เหมือนเป็นเคสศึกษาให้นิสิตแพทย์ดูอย่างไงอย่างงั้น และหมอตรวจละเอียดจริง
แต่ไม่รู้ว่ากี่นาที ตอนนั้นไม่มีกะจิตกะใจ จะมานับเวลา555

.
.
.
.
สุดท้ายนี้ ผลสรุปคือ เป็นริดสีดวง !!!!!!!!!!!!!!!!
ไม่มีติ่งเนื้อ เนื้องอก หรือโพลิปอะไร ลำไส้สะอาด สวย ชมพู 

ริดสีดวงมีติ่งเนื้อเล็กๆตรงทวารภายใน ( Anal canal )
หมอบอกว่า ริดสีดวงตรงนี้ มันอยู่ภายใน มีตุ่มนึง ไม่ใหญ่ เล็กมาก
รักษาไม่ยาก กินยาเดี๋ยวมันยุบหายไปเอง ตอนหมอพูด กล้องยังคาอยู่ในรูตูด5555

เป็นอันเสร็จสิ้นการส่องกล้องลำไส้อย่างสมบูรณ์ เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ที่ตกใจคือ พี่ๆทีมแพทย์ ปรบมือให้เฉยเลย อะไรกันเนี่ย55555555555555
.
.
.
คุณหมอนัดอีกครั้ง เพื่อติดตามอาการหลังส่องกล้อง และจะหาแนวทางการรักษาต่อไป
วันที่ 21 นี้ผมต้องไปโรงบาลคลินิกนอกเวลาอีกครั้ง ก็คือในอีก 2 วันข้างหน้า 

เป็นประสบการณ์ส่องกล้องวัย 27 ที่ค่อนข้างประทับใจมาก
การส่องไม่น่ากลัวไม่เจ็บเหมือนที่ผมคิดไว้เลย ชิวมาก จอยเวอร์ 

ใครมีปัญหาท้องผูกบ่อย ถ่ายยาก ถ่ายเป็นเลือดสด 
ไปหาหมอกันนะครับ ถ้าเป็นแพทย์ในเวลาปกติ ส่วนมากจะเป็นนิสิตแพทย์ (รพ.รัฐ)
และโอกาสที่จะได้ส่องกล้องคืออาจจะไม่มีเลย ต้องมาเจอหมอในเวลาราชการอีก 3-4 ครั้ง ถึงจะโดนส่งตัวให้หมอเฉพาะทาง

แต่ของผมคือต้องการเจอหมอเฉพาะทางเลย
ซึ่งคลินิกนอกเวลา มันเสียเงินครับ แต่ถูกกว่าเอกชนแน่นอน
ผมว่าคุ้มนะ กับการบริการที่ดูแลเอาใจใส่ขนาดนี้ แถมค่ายาก็ไม่เสีย เพราะใช้สิทธิ์ประกันสังคมเอาได้ครับ

ส่วนถ้าตรวจมาแล้วเจอเนื้อร้าย หรือติ่งหรืออะไร ก็ใช้สิทธิ์ประกันสังคมรักษาได้ ไม่เสียเงินครับ  

จบการรีวิวการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ครับ ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่