ทุนทั่วโลกย้ายหนีจากจีนเริ่มเห็นผลแล้ว ในช่วง 10 ปีนับจากนี้ อาเซียนจะมี ‘อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ’ แซงจีน
https://brandinside.asia/southeast-asia-to-outpace-chinas-gdp-growth/
ในอีก 10 ปีข้างหน้า 6 ประเทศเศรษฐกิจหลักของอาเซียนอย่าง เวียดนาม-ฟิลิปปินส์-อินโด-มาเล-สิงคโปร์-ไทย จะพาให้อาเซียนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (projected growth) แซงหน้าจีน
นี่คือรายงานของ
Southeast Asia Outlook 2024-2034 ที่เผยแพร่โดย Angsana Council, บริษัทที่ปรึกษา Bain & Co. และธนาคาร DBS ของสิงคโปร์
ในรายงานระบุว่า การเติบโตของภูมิภาคนี้ จะมาจากการเติบโตของ 2 ปัจจัยหลักๆ
• ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจภายในแต่ละประเทศ เช่น ประชากรที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างในประเทศอย่าง เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
• การที่บริษัทและทุนต่างๆ ทั่วโลกหนีออกจากจีน (กระจายการผลิตออกนอกประเทศจีน) ทำให้อาเซียนได้รับอานิสงส์ที่ดีจากการเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิรัฐศาสตร์
ตัวเลขที่รายงานนี้อ้างอิงคือ ในช่วง 10 ปีนับจากนี้ อาเซียนจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ปีละ 5.1% ส่วนจีนจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 3.5-4.5% เท่านั้น
โดยประเทศหลักๆ ของอาเซียนที่จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในรอบ 10 ปีนี้ ได้แก่
• เวียดนาม 6.6%
• ฟิลิปปินส์ 6.1%
• • อินโดนีเซีย 5.7%
• มาเลเซีย 4.5%
• ไทย 2.8%
• สิงคโปร์ 2.5%
แต่พอรวมกันทั้งภูมิภาคแล้วจะอยู่ที่ 5.1%
รายงานชิ้นนี้ทำให้เราเห็นว่าอาเซียนมีศักยภาพอย่างมากในรอบ 10 ปีนับจากนี้ ทุนทั่วโลกจะเริ่มไหลเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิต เทคโนโลยี พลังงาน เซมิคอนดักเตอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ฯลฯ
จุดอ่อนของรายงานชิ้นนี้ที่ Brand Inside เห็นคือ มีการคาดการณ์ตัวเลข GDP แต่ไม่มีตัวเลขของ FDI ที่คาดการณ์มาให้ด้วย จึงทำให้เราอาจจะยังเห็นภาพทั้งหมดไม่ชัดนัก
แต่ที่สำคัญคือ ถ้าเราย้อนไปดูตัวเลขในปี 2023 ก็จะพบว่า ทุนจากทั่วโลกที่ลงทุนในอาเซียน แซงหน้าจีนไปแล้ว เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ (ตัวเลข FDI ที่ทุนทั่วโลกลงในอาเซียนปี 2023 อยู่ที่ 2.6 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนในจีนมีเพียง 4.27 หมื่นล้านดอลลาร์เท่านั้น)
และอยากเสริมว่า ไม่ใช่แค่ทุนทั่วโลกที่หนีออกจากจีน แต่นักลงทุนจีนเองก็เริ่มหนีออกจากจีนแล้วเหมือนกัน เพราะต้องการหนีเรื่องภาษีที่โดนกีดกันจากชาติตะวันตก และประเด็นเรื่องความมั่นคงด้วย ข้อความนี้ Charles Ormiston ที่ปรึกษาและพาร์ทเนอร์ของ Bain & Co. เป็นคนพูดไว้
อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำให้ชัดว่า ตัวเลขที่คาดการณ์ในรายงานชิ้นนี้ ไม่ใช่ตัวเลขผลรวมทางเศรษฐกิจ แต่เป็น ‘
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ’ เท่านั้น เพราะถ้าวัดกันที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ จีนยังคงนำอาเซียนอยู่อย่างแน่นอน อย่างน้อยๆ ก็ 4-5 เท่าตัว
• GDP จีนปี 2023 ประมาณ 17.5 ล้านล้านดอลลาร์
• GDP อาเซียนปี 2023 ประมาณ 3.86 ล้านล้านดอลลาร์
และแม้รายงานนี้จะบอกว่า อาเซียนจะมี ‘อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ’ ที่แซงหน้าจีนอย่างไร แต่ผลรวมทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ทั้งหมดของจีนในปี 2034 หรือ 10 ปีจากนี้ ก็จะยังคงใหญ่กว่า 6 ประเทศอาเซียนที่ว่ามานี้ถึง 5 เท่าอยู่ดี
แล้วไทยเป็นไงบ้าง?
ปัจจัยบวกของไทย
• การท่องเที่ยวไทยเริ่มฟื้นตัว
• ไทยคือศูนย์กลางยานยนต์ที่สำคัญในภูมิภาค พร้อมทั้งมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี
• กลุ่มบริษัทใหญ่ๆ ในไทยอย่าง CP, Central, PTT, Siam Cement, Thai Union มีความเป็น ‘บริษัทแห่งภูมิภาค’ มากกว่าคู่แข่งอาเซียน
ปัจจัยลบของไทย
• การเมืองที่ผันผวนและไม่แน่นอน
• การควบรวมกิจการในหลายอุตสาหกรรม เช่น ค้าปลีก โทรคมนาคม
• ความท้าทายทางประชากร ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยหนักมาก
ชวนอ่าน
KKP Research: เศรษฐกิจไทยฟื้นช้า ไม่ใช่เพราะโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่เพราะกำลังถดถอย
“ร้านค้า” กลัวเข้าร่วมรับดิจิทัลวอลเล็ตถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่ม-ไม่คุ้มค่า
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_756247/
“ร้านค้า” ไม่เข้าใจโครงการดิจิทัลวอลเล็ต กลัวเข้าร่วมแล้วถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่ม-ไม่คุ้มค่า ขอเวลาศึกษาก่อนตัดสินใจ
ภายหลังจากที่รัฐบาลได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์โครงการแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตผ่านแอปพลิเคชั่น”ทางรัฐ” ทีมข่าว INN ได้ลงพื้นที่ตลาดอ่อนนุช กทม. เพื่อสอบถามร้านค้าสินค้าอุปโภค-บริโภค ถึงการความพร้อมขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
โดยพบว่า บางส่วนยังไม่มีความเข้าใจในการเข้าร่วมโครงการ เนื่องจากที่ผ่านมาหลังจากเข้าร่วมโครงการแล้วมีการถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น และมองว่าไม่คุ้มค่ากับที่จะเข้าร่วมโครงการ
อย่างไรก็ตาม บางความคิดเห็นก็บอกว่า ขอคิดดูก่อน เนื่องจากกลัวร้านค้าจะเงียบกว่าปกติ เพราะไม่เข้าร่วมโครงการดิจิทอลวอลเล็ต จึงจำเป็นจะต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมให้มากกว่านี้ก่อนตัดสินใจ
ทั้งนี้ ยังมีความเห็นอีกส่วนนึงพูดถึงการใช้งาน ของ App ทางรัฐ ว่า ระบบการใช้งานค่อนข้างซับซ้อน ลงทะเบียนยากและรอนาน
‘วิโรจน์’ถาม‘เศรษฐา’ส่ง‘คารม’จ้อชี้นำศาลฯหรือไม่
https://www.dailynews.co.th/news/3719310/
‘วิโรจน์’ถาม ‘เศรษฐา’ส่ง ‘คารม’จ้อชี้นำศาลรัฐธรรมนูญหรือเปล่า จี้หัวหน้ารัฐบาลรับผิดชอบปล่อยลูกหาบหมิ่นศาล เชื่อการเมืองเปลี่ยนไปแล้วยุคนี้ 'ซื้องูเห่า'ไม่สำเร็จ แฉพวก ‘หมาหยอกไก่’ขายขนมจีบ เอาถุงขนมมาล่อแต่ไม่มีสส.หลงกล
เมื่อวันที่ 4 ส.ค. นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนาย
คารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ หากศาลรัฐธรรมนูญไม่กล้ายุบพรรคการเมือง หากพรรคการเมืองทำผิดกฎหมาย ทั้งที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เพราะกลัวความกดดัน กลัวกระแสสังคมที่เขาสร้างขึ้น หรือกลัวสายตาต่างประเทศ ที่มองมาที่เรา ต่อไปอาจเกิดปรากฏการณ์ ให้พรรคการเมืองหาเสียงแบบไม่รับผิดชอบต่อบ้านเมือง ว่า ในข่าวมีการลงตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาลชัด ต้องถามนาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่า นั่นเป็นการพูดในนามโฆษกรัฐบาล หรือในนามส่วนตัวของนาย
คารม สมควรหรือไม่ที่รัฐบาลจะมอบหมายให้รองโฆษกออกมาชี้แจงในลักษณะชี้นำศาลรัฐธรรมนูญอย่างนี้ โดยจะเห็นว่า การแถลงพรรคก้าวไกลแต่ละครั้ง เราเน้นเนื้อหาสาระ ชี้แจงในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อการชี้นำศาล หรือขู่เลย
นาย
วิโรจน์ กล่าวอีกว่า ตัวอย่างคำพูด การชี้นำศาล คือ อาทิ การไปบอกว่า ศาลควรจะต้องตัดสิน หรือมีคำวินิจฉัยอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่ก็มีพฤติกรรมข่มขู่ศาลว่า ถ้าศาลมีคำวินิจฉัยในลักษณะนั้นลักษณะนี้จะเจออย่างนั้น จะเจออย่างนี้ พรรคก้าวไกลเตือนตัวเองตลอดว่าอย่าทำ ตนคงไม่เรียกร้องจากนายคารม เพราะกระทำการไปแล้วในฐานะรองโฆษกรัฐบาล แต่เรียกร้องหัวหน้ารัฐบาลชี้แจง เพราะมีการระบุชัดว่า ถ้าศาลไม่มีคำวินิจฉัยยุบพรรค จะมีเงื่อนไขใดบ้างตามมา ในฐานะนายกฯ จะรับผิดชอบอย่างไร ถ้านายเศรษฐาไม่ตอบ หมายความว่ามีเจตนามอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ในตำแหน่งรองโฆษกออกมาชี้นำศาลรัฐธรรมนูญ ในนามของรัฐบาลซึ่ง อันตรายมากๆ นายกฯ ให้รองโฆษกมาแถลงในนามของรัฐบาลอย่างนี้ได้หรือ เท่ากับว่ารัฐบาลเห็นด้วยกับการแถลงเช่นนี้ ที่อาจเข้าข่ายว่าเป็นการชี้นำศาล และดูหมิ่นศาลได้หรือ หัวหน้ารัฐบาล จะรับผิดชอบอย่างไร ถ้านาย
เศรษฐาไม่มีคำตอบเรื่องนี้ก็เท่ากับว่าเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ใช่หรือไม่ ถ้านาย
เศรษฐา ไม่มีมาตรการใดๆ ออกมาอย่างเป็นรูปธรรมก็เท่ากับว่าเห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมอย่างนี้ใช่หรือไม่
นาย
วิโรจน์ กล่าวถึงประเด็นข่าวลือเรื่องพรรครัฐบาลจ้องดูด สส.งูเห่าพรรคก้าวไกล ว่า มีข่าวกระเส็นกระสายมาเป็นระยะๆ แต่เชื่อ ไม่น่ามี สส.คนไหนย้ายไป เพราะว่าเลือกตั้งปี 2566 สภาพการเมืองเปลี่ยนไปแล้ว ที่นักการเมืองยุคก่อนบอกว่า อย่างไรก็ต้องเอาเงินไปซื้อต้องเอาเงินไปแจก ไม่อย่างนั้นประชาชนไม่เลือก มันไม่เป็นความจริงแล้ว เพราะในยุคปัจจุบันไม่มีเงินมาแจก แต่เอางานไปแลก ประชาชนเห็นคุณค่า ประชาชนเปลี่ยนจากการเป็นแค่ผู้เลือก กลายเป็นผู้สนับสนุน เรียกว่าหัวคะแนนธรรมชาติชาวบ้าน ต้องขอบคุณความตื่นตัวของประชาชนด้วย ที่ทำให้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงประเทศนั้นเกิดขึ้น ดังนั้น ตนเลยไม่เชื่อการซื้อขายงูเห่าจะสำเร็จ หรือถ้ามี ก็น้อยมากๆ อย่างไม่มีนัยสำคัญทางการเมือง เชื่อว่าคนที่เป็นงูเห่าจะถูกลงโทษจากประชาชนไม่แตกต่างจากงูเห่ารอบที่แล้ว
“
เพราะมีพวกหมาหยอกไก่ โยนหินถามทาง ขายขนมจีบ แต่พวกเราไม่ไป บางคนไปโดนทาบทามตามงานลงพื้นที่ กมธ. ต่างๆ จนเอามาเล่าเป็นเรื่องโจ๊กกัน มาเป็นเรื่องแซวขำๆ เล่าสู่กันฟังในพรรค สส.เรารู้ทัน ตัวอย่างเช่น มีมาชวนไปกินข้าว บอกว่ามีของขวัญ มีขนมมาฝากด้วย สส.เราก็รู้ทัน ถ้าไปคุยก็โดนถ่ายรูปแบล็กเมล์คู่กับถุงขนมสิ คิดว่าโง่รึไง ก็มาเล่ากันแบบสนุกปากมากกว่า ในพรรคไม่มีใครหลงกลหรอก ก็เหมือนเขามาขายขนมจีบพอเจอเบือนหน้าหนีบ่อยๆ อีกฝ่ายเขาก็คงท้อแล้วมั้ง” นาย
วิโรจน์ กล่าว.
นักเดินทางกลุ่ม “นักธุรกิจ” มอง “สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง” แย่ติด Top 10 ในเอเชีย
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/229831
“สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง” ติดอันดับ Top 10 สนามบินยอดแย่ของภูมิภาคเอเชียในสายตานักเดินทางกลุ่มที่เป็น “นักธุรกิจ”
“นักธุรกิจ” เป็นหนึ่งในอาชีพที่มักต้องเดินทางไปต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง นั่นทำให้พวกเขาอาจมีโอกาสได้สัมผัสประสบการณ์ที่สนามบินต่าง ๆ มากกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นพอสมควร
เมื่อไปถึงสนาม นักธุรกิจหรือคนที่เดินทางเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจมักต้องการบางสิ่งบางอย่าง เช่น พื้นที่ส่วนตัว อาหารและเครื่องดื่มที่ดี และสภาพแวดล้อมที่น่ารื่นรมย์เพื่อใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า
ความต้องการเหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเดินทางในชั้นธุรกิจ หรือ Business Class เกิดขึ้นมา จนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษ 1970 ประกอบกับผู้โดยสารส่วนใหญ่มีฐานะร่ำรวยหรือเดินทางโดยอาศัยเงินของบริษัทหรือนายจ้าง สายการบินต่าง ๆ จึงสร้างชั้นที่นั่งที่สะดวกสบายเพื่อแข่งขันในตลาดที่ทำกำไรได้มหาศาลนั้น
แต่สนามบินบางแห่งกลับไม่มีพื้นที่ที่ตอบโจทย์นักธุรกิจเท่าไรนัก และนั่นส่งผลอย่างชัดเจนต่อความพึงพอใจของนักธุรกิจ ซึ่งสะท้อนชัดผ่านการสำรวจโดย BusinessFinancing.co.uk ที่พบว่า จากสนามบินหลายร้อยแห่งทั่วโลก มีเพียง 12 แห่งเท่านั้นที่ได้คะแนนประเมินเกิน 5 เต็ม 10
เพื่อค้นหาสนามบินที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดในโลกในสายตานักเดินทางกลุ่มนักธุรกิจ BusinessFinancing.co.uk ได้รวบรวมบทวิจารณ์ของผู้โดยสารทั้งหมดเกี่ยวกับสนามบินนานาชาติหลัก ๆ จาก Airline Quality ซึ่งประเมินใน 8 ด้าน คือ
• เวลาในการรอคิว การเช็กอิน ตรวจกระเป๋า และตรวจคนเข้าเมือง
• ความสะอาดของอาคารผู้โดยสาร
• จำนวนและคุณภาพของที่นั่งรอในอาคารผู้โดยสาร
• ป้ายบอกทางและจุดแสดงตารางเที่ยวบินในอาคารผู้โดยสาร
• ร้านอาหารและเครื่องดื่มในอาคารผู้โดยสาร
• ร้านค้าในอาคารผู้โดยสาร
• ความเร็วและคุณภาพการเชื่อมต่อของสัญญาณวายฟายอินเทอร์เน็ต
• การให้บริการของพนักงานในสนามบิน
JJNY : 5in1 ทุนทั่วโลกหนีจีน│“ร้านค้า”กลัวเข้าร่วม│‘วิโรจน์’ถามส่ง‘คารม’│“สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง”แย่│เลี่ยงน่านฟ้าอิหร่าน
https://brandinside.asia/southeast-asia-to-outpace-chinas-gdp-growth/
ในอีก 10 ปีข้างหน้า 6 ประเทศเศรษฐกิจหลักของอาเซียนอย่าง เวียดนาม-ฟิลิปปินส์-อินโด-มาเล-สิงคโปร์-ไทย จะพาให้อาเซียนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (projected growth) แซงหน้าจีน
นี่คือรายงานของ Southeast Asia Outlook 2024-2034 ที่เผยแพร่โดย Angsana Council, บริษัทที่ปรึกษา Bain & Co. และธนาคาร DBS ของสิงคโปร์
ในรายงานระบุว่า การเติบโตของภูมิภาคนี้ จะมาจากการเติบโตของ 2 ปัจจัยหลักๆ
• ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจภายในแต่ละประเทศ เช่น ประชากรที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างในประเทศอย่าง เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
• การที่บริษัทและทุนต่างๆ ทั่วโลกหนีออกจากจีน (กระจายการผลิตออกนอกประเทศจีน) ทำให้อาเซียนได้รับอานิสงส์ที่ดีจากการเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิรัฐศาสตร์
ตัวเลขที่รายงานนี้อ้างอิงคือ ในช่วง 10 ปีนับจากนี้ อาเซียนจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ปีละ 5.1% ส่วนจีนจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 3.5-4.5% เท่านั้น
โดยประเทศหลักๆ ของอาเซียนที่จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในรอบ 10 ปีนี้ ได้แก่
• เวียดนาม 6.6%
• ฟิลิปปินส์ 6.1%
• • อินโดนีเซีย 5.7%
• มาเลเซีย 4.5%
• ไทย 2.8%
• สิงคโปร์ 2.5%
แต่พอรวมกันทั้งภูมิภาคแล้วจะอยู่ที่ 5.1%
รายงานชิ้นนี้ทำให้เราเห็นว่าอาเซียนมีศักยภาพอย่างมากในรอบ 10 ปีนับจากนี้ ทุนทั่วโลกจะเริ่มไหลเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิต เทคโนโลยี พลังงาน เซมิคอนดักเตอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ฯลฯ
จุดอ่อนของรายงานชิ้นนี้ที่ Brand Inside เห็นคือ มีการคาดการณ์ตัวเลข GDP แต่ไม่มีตัวเลขของ FDI ที่คาดการณ์มาให้ด้วย จึงทำให้เราอาจจะยังเห็นภาพทั้งหมดไม่ชัดนัก
แต่ที่สำคัญคือ ถ้าเราย้อนไปดูตัวเลขในปี 2023 ก็จะพบว่า ทุนจากทั่วโลกที่ลงทุนในอาเซียน แซงหน้าจีนไปแล้ว เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ (ตัวเลข FDI ที่ทุนทั่วโลกลงในอาเซียนปี 2023 อยู่ที่ 2.6 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนในจีนมีเพียง 4.27 หมื่นล้านดอลลาร์เท่านั้น)
และอยากเสริมว่า ไม่ใช่แค่ทุนทั่วโลกที่หนีออกจากจีน แต่นักลงทุนจีนเองก็เริ่มหนีออกจากจีนแล้วเหมือนกัน เพราะต้องการหนีเรื่องภาษีที่โดนกีดกันจากชาติตะวันตก และประเด็นเรื่องความมั่นคงด้วย ข้อความนี้ Charles Ormiston ที่ปรึกษาและพาร์ทเนอร์ของ Bain & Co. เป็นคนพูดไว้
อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำให้ชัดว่า ตัวเลขที่คาดการณ์ในรายงานชิ้นนี้ ไม่ใช่ตัวเลขผลรวมทางเศรษฐกิจ แต่เป็น ‘อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ’ เท่านั้น เพราะถ้าวัดกันที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ จีนยังคงนำอาเซียนอยู่อย่างแน่นอน อย่างน้อยๆ ก็ 4-5 เท่าตัว
• GDP จีนปี 2023 ประมาณ 17.5 ล้านล้านดอลลาร์
• GDP อาเซียนปี 2023 ประมาณ 3.86 ล้านล้านดอลลาร์
และแม้รายงานนี้จะบอกว่า อาเซียนจะมี ‘อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ’ ที่แซงหน้าจีนอย่างไร แต่ผลรวมทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ทั้งหมดของจีนในปี 2034 หรือ 10 ปีจากนี้ ก็จะยังคงใหญ่กว่า 6 ประเทศอาเซียนที่ว่ามานี้ถึง 5 เท่าอยู่ดี
แล้วไทยเป็นไงบ้าง?
ปัจจัยบวกของไทย
• การท่องเที่ยวไทยเริ่มฟื้นตัว
• ไทยคือศูนย์กลางยานยนต์ที่สำคัญในภูมิภาค พร้อมทั้งมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี
• กลุ่มบริษัทใหญ่ๆ ในไทยอย่าง CP, Central, PTT, Siam Cement, Thai Union มีความเป็น ‘บริษัทแห่งภูมิภาค’ มากกว่าคู่แข่งอาเซียน
ปัจจัยลบของไทย
• การเมืองที่ผันผวนและไม่แน่นอน
• การควบรวมกิจการในหลายอุตสาหกรรม เช่น ค้าปลีก โทรคมนาคม
• ความท้าทายทางประชากร ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยหนักมาก
ชวนอ่าน KKP Research: เศรษฐกิจไทยฟื้นช้า ไม่ใช่เพราะโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่เพราะกำลังถดถอย
“ร้านค้า” กลัวเข้าร่วมรับดิจิทัลวอลเล็ตถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่ม-ไม่คุ้มค่า
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_756247/
“ร้านค้า” ไม่เข้าใจโครงการดิจิทัลวอลเล็ต กลัวเข้าร่วมแล้วถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่ม-ไม่คุ้มค่า ขอเวลาศึกษาก่อนตัดสินใจ
ภายหลังจากที่รัฐบาลได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์โครงการแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตผ่านแอปพลิเคชั่น”ทางรัฐ” ทีมข่าว INN ได้ลงพื้นที่ตลาดอ่อนนุช กทม. เพื่อสอบถามร้านค้าสินค้าอุปโภค-บริโภค ถึงการความพร้อมขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
โดยพบว่า บางส่วนยังไม่มีความเข้าใจในการเข้าร่วมโครงการ เนื่องจากที่ผ่านมาหลังจากเข้าร่วมโครงการแล้วมีการถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น และมองว่าไม่คุ้มค่ากับที่จะเข้าร่วมโครงการ
อย่างไรก็ตาม บางความคิดเห็นก็บอกว่า ขอคิดดูก่อน เนื่องจากกลัวร้านค้าจะเงียบกว่าปกติ เพราะไม่เข้าร่วมโครงการดิจิทอลวอลเล็ต จึงจำเป็นจะต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมให้มากกว่านี้ก่อนตัดสินใจ
ทั้งนี้ ยังมีความเห็นอีกส่วนนึงพูดถึงการใช้งาน ของ App ทางรัฐ ว่า ระบบการใช้งานค่อนข้างซับซ้อน ลงทะเบียนยากและรอนาน
‘วิโรจน์’ถาม‘เศรษฐา’ส่ง‘คารม’จ้อชี้นำศาลฯหรือไม่
https://www.dailynews.co.th/news/3719310/
‘วิโรจน์’ถาม ‘เศรษฐา’ส่ง ‘คารม’จ้อชี้นำศาลรัฐธรรมนูญหรือเปล่า จี้หัวหน้ารัฐบาลรับผิดชอบปล่อยลูกหาบหมิ่นศาล เชื่อการเมืองเปลี่ยนไปแล้วยุคนี้ 'ซื้องูเห่า'ไม่สำเร็จ แฉพวก ‘หมาหยอกไก่’ขายขนมจีบ เอาถุงขนมมาล่อแต่ไม่มีสส.หลงกล
เมื่อวันที่ 4 ส.ค. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ หากศาลรัฐธรรมนูญไม่กล้ายุบพรรคการเมือง หากพรรคการเมืองทำผิดกฎหมาย ทั้งที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เพราะกลัวความกดดัน กลัวกระแสสังคมที่เขาสร้างขึ้น หรือกลัวสายตาต่างประเทศ ที่มองมาที่เรา ต่อไปอาจเกิดปรากฏการณ์ ให้พรรคการเมืองหาเสียงแบบไม่รับผิดชอบต่อบ้านเมือง ว่า ในข่าวมีการลงตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาลชัด ต้องถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่า นั่นเป็นการพูดในนามโฆษกรัฐบาล หรือในนามส่วนตัวของนายคารม สมควรหรือไม่ที่รัฐบาลจะมอบหมายให้รองโฆษกออกมาชี้แจงในลักษณะชี้นำศาลรัฐธรรมนูญอย่างนี้ โดยจะเห็นว่า การแถลงพรรคก้าวไกลแต่ละครั้ง เราเน้นเนื้อหาสาระ ชี้แจงในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อการชี้นำศาล หรือขู่เลย
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ตัวอย่างคำพูด การชี้นำศาล คือ อาทิ การไปบอกว่า ศาลควรจะต้องตัดสิน หรือมีคำวินิจฉัยอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่ก็มีพฤติกรรมข่มขู่ศาลว่า ถ้าศาลมีคำวินิจฉัยในลักษณะนั้นลักษณะนี้จะเจออย่างนั้น จะเจออย่างนี้ พรรคก้าวไกลเตือนตัวเองตลอดว่าอย่าทำ ตนคงไม่เรียกร้องจากนายคารม เพราะกระทำการไปแล้วในฐานะรองโฆษกรัฐบาล แต่เรียกร้องหัวหน้ารัฐบาลชี้แจง เพราะมีการระบุชัดว่า ถ้าศาลไม่มีคำวินิจฉัยยุบพรรค จะมีเงื่อนไขใดบ้างตามมา ในฐานะนายกฯ จะรับผิดชอบอย่างไร ถ้านายเศรษฐาไม่ตอบ หมายความว่ามีเจตนามอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ในตำแหน่งรองโฆษกออกมาชี้นำศาลรัฐธรรมนูญ ในนามของรัฐบาลซึ่ง อันตรายมากๆ นายกฯ ให้รองโฆษกมาแถลงในนามของรัฐบาลอย่างนี้ได้หรือ เท่ากับว่ารัฐบาลเห็นด้วยกับการแถลงเช่นนี้ ที่อาจเข้าข่ายว่าเป็นการชี้นำศาล และดูหมิ่นศาลได้หรือ หัวหน้ารัฐบาล จะรับผิดชอบอย่างไร ถ้านายเศรษฐาไม่มีคำตอบเรื่องนี้ก็เท่ากับว่าเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ใช่หรือไม่ ถ้านายเศรษฐา ไม่มีมาตรการใดๆ ออกมาอย่างเป็นรูปธรรมก็เท่ากับว่าเห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมอย่างนี้ใช่หรือไม่
นายวิโรจน์ กล่าวถึงประเด็นข่าวลือเรื่องพรรครัฐบาลจ้องดูด สส.งูเห่าพรรคก้าวไกล ว่า มีข่าวกระเส็นกระสายมาเป็นระยะๆ แต่เชื่อ ไม่น่ามี สส.คนไหนย้ายไป เพราะว่าเลือกตั้งปี 2566 สภาพการเมืองเปลี่ยนไปแล้ว ที่นักการเมืองยุคก่อนบอกว่า อย่างไรก็ต้องเอาเงินไปซื้อต้องเอาเงินไปแจก ไม่อย่างนั้นประชาชนไม่เลือก มันไม่เป็นความจริงแล้ว เพราะในยุคปัจจุบันไม่มีเงินมาแจก แต่เอางานไปแลก ประชาชนเห็นคุณค่า ประชาชนเปลี่ยนจากการเป็นแค่ผู้เลือก กลายเป็นผู้สนับสนุน เรียกว่าหัวคะแนนธรรมชาติชาวบ้าน ต้องขอบคุณความตื่นตัวของประชาชนด้วย ที่ทำให้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงประเทศนั้นเกิดขึ้น ดังนั้น ตนเลยไม่เชื่อการซื้อขายงูเห่าจะสำเร็จ หรือถ้ามี ก็น้อยมากๆ อย่างไม่มีนัยสำคัญทางการเมือง เชื่อว่าคนที่เป็นงูเห่าจะถูกลงโทษจากประชาชนไม่แตกต่างจากงูเห่ารอบที่แล้ว
“เพราะมีพวกหมาหยอกไก่ โยนหินถามทาง ขายขนมจีบ แต่พวกเราไม่ไป บางคนไปโดนทาบทามตามงานลงพื้นที่ กมธ. ต่างๆ จนเอามาเล่าเป็นเรื่องโจ๊กกัน มาเป็นเรื่องแซวขำๆ เล่าสู่กันฟังในพรรค สส.เรารู้ทัน ตัวอย่างเช่น มีมาชวนไปกินข้าว บอกว่ามีของขวัญ มีขนมมาฝากด้วย สส.เราก็รู้ทัน ถ้าไปคุยก็โดนถ่ายรูปแบล็กเมล์คู่กับถุงขนมสิ คิดว่าโง่รึไง ก็มาเล่ากันแบบสนุกปากมากกว่า ในพรรคไม่มีใครหลงกลหรอก ก็เหมือนเขามาขายขนมจีบพอเจอเบือนหน้าหนีบ่อยๆ อีกฝ่ายเขาก็คงท้อแล้วมั้ง” นายวิโรจน์ กล่าว.
นักเดินทางกลุ่ม “นักธุรกิจ” มอง “สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง” แย่ติด Top 10 ในเอเชีย
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/229831
“สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง” ติดอันดับ Top 10 สนามบินยอดแย่ของภูมิภาคเอเชียในสายตานักเดินทางกลุ่มที่เป็น “นักธุรกิจ”
“นักธุรกิจ” เป็นหนึ่งในอาชีพที่มักต้องเดินทางไปต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง นั่นทำให้พวกเขาอาจมีโอกาสได้สัมผัสประสบการณ์ที่สนามบินต่าง ๆ มากกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นพอสมควร
เมื่อไปถึงสนาม นักธุรกิจหรือคนที่เดินทางเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจมักต้องการบางสิ่งบางอย่าง เช่น พื้นที่ส่วนตัว อาหารและเครื่องดื่มที่ดี และสภาพแวดล้อมที่น่ารื่นรมย์เพื่อใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า
ความต้องการเหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเดินทางในชั้นธุรกิจ หรือ Business Class เกิดขึ้นมา จนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษ 1970 ประกอบกับผู้โดยสารส่วนใหญ่มีฐานะร่ำรวยหรือเดินทางโดยอาศัยเงินของบริษัทหรือนายจ้าง สายการบินต่าง ๆ จึงสร้างชั้นที่นั่งที่สะดวกสบายเพื่อแข่งขันในตลาดที่ทำกำไรได้มหาศาลนั้น
แต่สนามบินบางแห่งกลับไม่มีพื้นที่ที่ตอบโจทย์นักธุรกิจเท่าไรนัก และนั่นส่งผลอย่างชัดเจนต่อความพึงพอใจของนักธุรกิจ ซึ่งสะท้อนชัดผ่านการสำรวจโดย BusinessFinancing.co.uk ที่พบว่า จากสนามบินหลายร้อยแห่งทั่วโลก มีเพียง 12 แห่งเท่านั้นที่ได้คะแนนประเมินเกิน 5 เต็ม 10
เพื่อค้นหาสนามบินที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดในโลกในสายตานักเดินทางกลุ่มนักธุรกิจ BusinessFinancing.co.uk ได้รวบรวมบทวิจารณ์ของผู้โดยสารทั้งหมดเกี่ยวกับสนามบินนานาชาติหลัก ๆ จาก Airline Quality ซึ่งประเมินใน 8 ด้าน คือ
• เวลาในการรอคิว การเช็กอิน ตรวจกระเป๋า และตรวจคนเข้าเมือง
• ความสะอาดของอาคารผู้โดยสาร
• จำนวนและคุณภาพของที่นั่งรอในอาคารผู้โดยสาร
• ป้ายบอกทางและจุดแสดงตารางเที่ยวบินในอาคารผู้โดยสาร
• ร้านอาหารและเครื่องดื่มในอาคารผู้โดยสาร
• ร้านค้าในอาคารผู้โดยสาร
• ความเร็วและคุณภาพการเชื่อมต่อของสัญญาณวายฟายอินเทอร์เน็ต
• การให้บริการของพนักงานในสนามบิน