4 สิงหาคมของทุกปี วันสัตวแพทย์ไทย วันที่ระลึกถึงการก่อตั้ง สัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เป็นสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยในวันนี้เมื่อปีพุทธศักราช 2491 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
.
ในประเทศไทยนั้น พล.ต. ม.จ.ทองฑีฆายุ ทองใหญ่ ผู้ซึ่งเป็นพระบิดาของวิชาสัตวแพทย์สมัยใหม่ โดยทรงก่อตั้งโรงเรียนอัศวแพทย์ทหารบก ซึ่งได้พัฒนาต่อมาเป็นโรงเรียนนายสิบสัตวแพทย์ และ โรงเรียนนายดาบสัตวแพทย์ทหารบก
.
ย้อนกลับไปราว 12,000 - 10,000 ปีก่อนคริสตศักราช มีการกล่าวถึงอย่างแน่ชัดว่ามีการเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งสุนัขและแมวเริ่มขึ้น เป็นไปได้มากว่าการแพทย์สัตวแพทย์รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเกิดขึ้นตามหลังการเลี้ยงสัตว์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าบันทึกส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับสุนัข มีระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนช่วงเวลานั้นมาก
.
นักเขียนชาวกรีก และโรมัน ที่ถูกเรียกว่า "บิดาแห่งการแพทย์สัตวแพทย์" ก็ดี แผนภูมิวิวัฒนาการคร่าวๆ ของการปฏิบัติทางสัตวแพทย์ในอารยธรรมโบราณ เช่น จีน เมโสโปเตเมีย อียิปต์ และอินเดียก็ดี ซึ่งถือเป็นการพัฒนาในช่วงต้นยุคแรกๆ ของสัตวแพทย์
.
แทบจะเป็นความแน่นอนแล้วว่าแพทย์ในเอเชีย และ Near East were ได้ประกอบวิชาชีพสัตวแพทย์มาตั้งแต่ก่อนมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่ยืนยันการปฏิบัติดังกล่าว แต่บันทึกที่มีอยู่ทำให้ชัดเจนว่านักเขียนชาวกรีกและโรมันที่มักเชื่อมโยงกับคำเรียกขานว่า “บิดาแห่งการแพทย์สัตวแพทย์” จริงๆ แล้วเป็นเพียงผู้มีส่วนสนับสนุนในสิ่งที่มีอยู่แล้วเท่านั้น อีกทั้งยังมีความชัดเจนว่านักเขียนเช่นฮิปโปเครตีส "Hippocrates" และเวเจเชียส "Vegetius" เป็นผู้มีส่วนสนับสนุนในภายหลัง ไม่ใช่ผู้บุกเบิกในการแพทย์สัตวแพทย์
.
ตามตำนาน "จากการแปลบนความเข้าใจของฝั่งตะวันตก" (ตามที่เล่าขานในผลงาน Classic of Mountains and Seas ประมาณ 2600 ปีก่อนคริสตศักราช แต่ก็เชื่อกันว่าเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นมาก) เทพหนี่ว์วา "Nüwa" ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาด้วยมือมนุษย์ แต่พบว่ากระบวนการนี้ดูเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น จึงได้ให้มนุษย์สามารถจับคู่ชายหญิงแต่งงานสืบพันธุ์ได้ แต่การที่จะอยู่รอดได้ด้วยตัวเองนั้นจำเป็นต้องมีการล่าสัตว์หาอาหาร และความจำเป็นต่อการอยู่รอดอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งในที่สุดก็ได้ประทานสัตว์ป่าเพื่อให้มาเป็นสัตว์เลี้ยง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาล่าสัตว์
.
และกล่าวกันว่า ฝูซี (เป็นวีรบุรุษทางวัฒนธรรมตามตำนานจีนและเทพปกรณัมจีน เป็นที่นับถือพร้อมกับNüwa) ได้สอนมนุษย์ให้ดูแลสัตว์ ตัวอย่างที่เก่าแก่ที่สุดของการแพทย์สัตว์ในประเทศจีนเกี่ยวข้องกับการดูแลวัวและม้า แพทย์ที่รู้จักกันในชื่อนักบวชม้า “horse priests” ใช้การฝังเข็มเพื่อรักษาม้าได้สำเร็จประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช
.
ในเมโสโปเตเมีย สัตวแพทย์ได้รับการจัดตั้งขึ้นแล้วตั้งแต่ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพธิดาแห่งสุขภาพและการรักษา กูลา "Gula" (เรียกอีกอย่างว่า นินการ์รัก Ninkarrak และนินิซินนา Ninisinna ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับสุนัข/การรักษาของสุนัข) ก่อตั้งศาสตร์แห่งการแพทย์ร่วมกับปาบิลซาก " Pabilsag" พระมเหสี ดามู "Damu" และนินาซู "Ninazu" บุตรชายของเธอ และกุนูร์รา "Gunurra" บุตรสาวของเธอ
.
นินาซูนั้นเป็นผู้มีความเกี่ยวข้องกับงู (symbols of transformation) เป็นผู้มีอิทธิพลในการรักษา และโลกใต้พิภพ โดยมีสัญลักษณ์เป็นคทาที่มีงูพันกัน ที่ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ในปัจจุบันนี้ของวิชาชีพแพทย์ คือ งู 1 ตัว พันคทา (*หากเป็นงูสองตัวพันกัน จะเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งการส่งข่าวสาร)
.
แพทย์สองประเภทหลักในเมโสโปเตเมียคือ อาซู (แพทย์ที่รักษาอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บโดยอาศัยการสังเกตอาการและการรักษาทางกายภาพ) และอาซิปู (ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “ผู้รักษาด้วยศรัทธา” ซึ่งอาศัยคาถา มนต์สะกด และสมุนไพร) และทั้งสองประเภทนี้สามารถเป็นสัตวแพทย์ได้ ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างทั้งสองประเภท
.
สัตวแพทย์คนแรกที่รู้จักชื่อคือ Urlugaledinna แพทย์ชาวสุเมเรียน ซึ่งรับใช้ภายใต้การปกครองของ Ur-Ningirsu (ครองราชย์ 2121-2118 ปีก่อนคริสตกาล) กษัตริย์แห่ง Lagash บุตรชายและผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจาก Gudea กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ (ครองราชย์ 2141-2122 ปีก่อนคริสตกาล) ตามที่ Dr. Saadi F. Al-Samarrai กล่าวไว้
.
ตราประทับรูปทรงกระบอกของ Urlugaledinna ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นการระบุตัวตนของเขา แสดงให้เห็นคีมคู่นี้พร้อมกับไม้เท้างูพันกันของ Ninazu และเขามีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการปฏิบัติงานสัตวแพทย์มาก มีข้อมูลบันทึกในตำราเมโสโปเตเมียที่พบได้ทั่วไป
.
แต่นักตะวันออกวิทยา Samuel Noah Kramer ชี้ให้เห็นว่า ยังมีสัตวแพทย์ที่รู้จักกันในชื่อ หมอวัว" หรือ "หมอลา “the doctor of the oxen” แต่พวกเขาถูกกล่าวถึงเฉพาะในตำราศัพท์เท่านั้นและยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาเพิ่มเติม
.
ไม่ว่าสัตวแพทย์ในยุคแรกเหล่านี้จะทำอะไรก็ตาม พวกเขาก็ได้วางแนวทางการปฏิบัติงานของตนไว้อย่างดีพอที่จะสามารถกำหนดโรคและการรักษาที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ได้ในสมัยที่ประมวลกฎหมายของ Eshnunna ถูกเขียนขึ้นประมาณ 1930 ปีก่อนคริสตกาล ประมวลกฎหมายแห่งเอชันนุนนาระบุถึงโรคพิษสุนัขบ้า ผลกระทบของโรค และกำหนดค่าปรับที่เจ้าของสุนัขที่กัดคนอื่นต้องชำระ ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (ราว 1754 ปีก่อนคริสตกาล) และกำหนดค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าการดูแลสัตวแพทย์เป็นอาชีพที่น่าเคารพ
.
ในอียิปต์ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี "Hammurabi" ถูกจารึกที่บาบิลอน (Babylon ที่พระเจ้าไซรัสมหาราชได้พิชิตและภายหลังเป็นจักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่) สัตวแพทย์ในอียิปต์ได้รับการยอมรับในทักษะและได้ผลิตผลงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การสัตวแพทย์ที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Kahun Papyri มีอายุย้อนไปถึงช่วงอาณาจักรอียิปต์ตอนกลาง (2040-1782 ปีก่อนคริสตกาล) และโดยเฉพาะในรัชสมัยของอเมเนมฮัตที่ 3 (ราว ค.ศ. 1860 - ราว ค.ศ. 1814 ปีก่อนคริสตกาล) โดยกระดาษปาปิรุสคาฮุนมีข้อความเกี่ยวกับหัวข้อต่างๆ มากมาย ตั้งแต่เทศกาลต่างๆ ที่จะจัดขึ้น ไปจนถึงประเด็นและการรักษาทางสูตินรีเวช ไปจนถึงการปฏิบัติของสัตวแพทย์และการวินิจฉัยโรค
.
ไม่น่าแปลกใจเลยที่วิทยาศาสตร์การสัตวแพทย์จะพัฒนาอย่างเต็มที่ในอียิปต์โบราณ เนื่องจากวัฒนธรรมให้ความสำคัญกับสัตว์ทุกชนิดเป็นอย่างมาก แม้ว่าวัฒนธรรมนี้จะเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการเคารพแมว แต่ทุกชีวิตก็ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ อาหารของชาวอียิปต์เกือบทั้งหมดเป็นมังสวิรัติ และสัตว์ได้รับเกียรติผ่านการระบุตัวตนกับเทพเจ้าของแผ่นดิน
.
กระดาษปาปิรุสของ Kahun ยังกล่าวถึงเรื่องนาคานะ "nagana" ที่ในข้อความระบุถึงการกำหนดวิธีรักษา และกล่าวถึงความสำคัญของการล้างมือโดยเฉพาะก่อน ระหว่าง และหลังการรักษาสัตว์ที่ติดเชื้อ และยังมีการกล่าวถึงการรักษานก สุนัข และปลา ที่เป็นสัตว์เลี้ยง
.
ไม่ทราบว่าสัตวแพทย์ของอียิปต์ได้เดินทางมายังอินเดียหรือพัฒนาขึ้นที่นั่นโดยอิสระหรือไม่ แต่ในช่วงยุคพระเวท (ประมาณ 1500-500 ปีก่อนคริสตกาล) สัตวแพทย์เป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับและนับถือในภูมิภาคนี้ ตามที่นักวิชาการ R. Somvanshi กล่าวไว้
.
แพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ Sushruta (ประมาณศตวรรษที่ 7 หรือ 6 ก่อนคริสตกาล) ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม “บิดาแห่งการแพทย์อินเดีย” และ “บิดาแห่งศัลยกรรมตกแต่ง” ได้พัฒนาเทคนิคทางการแพทย์ที่ใช้รักษาทั้งมนุษย์และสัตว์ ผลงานของเขา Sushruta Samhita (Sushruta's Compendium) ถือเป็นตำราที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับการศัลยกรรมตกแต่งในโลก เป็นตำราคลาสสิกของอายุรเวช และเป็นพื้นฐานสำหรับการปฏิบัติของสัตวแพทย์ในอินเดีย Somvanshi เขียนไว้ดังนี้
.
"สัตว์ได้รับการดูแลทางการแพทย์ที่ดีในอินเดียโบราณ แพทย์ที่รักษามนุษย์ยังได้รับการฝึกอบรมในการดูแลสัตว์ด้วย ตำราการแพทย์ของอินเดีย เช่น Charaka Samhita, Sushruta Samhita และ Harita Samhita มีบทหรือเอกสารอ้างอิงเกี่ยวกับการดูแลสัตว์ที่ป่วยและมีสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการดูแลสัตว์หรือเฉพาะสัตว์ประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น แพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาแพทย์เหล่านี้คือ Shalihotra ซึ่งเป็นสัตวแพทย์คนแรกของโลกและเป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์การสัตวแพทย์ของอินเดีย"
.
ในยุคสมัยของกรีกและโรมันนั้นยืดถือแนวทางเดียวกันกับอารยธรรมอื่นๆ ในการพัฒนาวิทยาศาสตร์การสัตวแพทย์บางรูปแบบในช่วงไม่นานหลังจากการเลี้ยงสัตว์ แต่การรักษาที่ครอบคลุมที่สุดอย่างหนึ่งในเรื่องนี้มาจากฮิปโปเครตีส ที่เป็นหมอรักษาโรคชาวกรีกคนแรกที่ยืนยันว่าความเจ็บป่วยเกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม อาหาร และวิถีชีวิต และไม่ใช่การลงโทษจากเทพเจ้าหรือจากวิญญาณชั่วร้ายแต่อย่างใด
.
ฮิปโปเครตีสแนะนำว่าอาหารเป็นหนึ่งในแง่มุมที่สำคัญที่สุดในการรักษาสุขภาพในมนุษย์หรือสัตว์ เช่นเดียวกับการออกกำลังกายเป็นประจำ แสงแดด การนวด การผ่อนคลาย และการปรับอารมณ์ การบำบัดด้วยกลิ่นหอม และการอาบน้ำเป็นประจำ แม้ว่างานของเขาจะเน้นที่สุขภาพของมนุษย์ แต่ก็ขยายไปถึงสวัสดิภาพของสัตว์ด้วย
.
ราว 130 ปีก่อนคริสตกาลชายคนหนึ่งชื่อ Metrodorus แห่งเมือง Lamia (ในเทสซาลี) มีชื่อเสียงในด้านทักษะการรักษาสัตว์ตามงานของฮิปโปเครตีส เขาเป็นที่รู้จักโดยเฉพาะสำหรับงานของเขาเกี่ยวกับม้าและเป็นที่นับถือในฐานะศัลยแพทย์สัตวแพทย์
.
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแนวทางการแพทย์ของกรีกนั้นได้รับการยอมรับจากชาวโรมัน และที่โด่งดังที่สุดคือกาเลน ซึ่งมองเห็นความคล้ายคลึงกันในสรีรวิทยาของมนุษย์และสัตว์ เขาสามารถรักษาผู้ป่วยได้ดีเช่นเดียวกับที่เขาทำได้ด้วยความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์ที่ได้มาจากงานของเขาเกี่ยวกับสัตว์ ซึ่งเขาสันนิษฐานได้อย่างถูกต้องว่าสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสัตว์ก็จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์เช่นกัน
.
งานของ Publius Flavius Vegetius Renatus นักเขียนชาวโรมัน (รู้จักกันดีในชื่อ Vegetius) ซึ่งคู่มือการแพทย์สัตวแพทย์ (Digesta Artis Mulomedicinae) ของเขาได้กลายเป็นงานอ้างอิงมาตรฐานสำหรับผู้ที่ทำงานในสาขาสัตวแพทย์
.
หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในปีค.ศ. 476 และศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาท ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สัตวแพทย์ที่มีอยู่เดิมก็สูญหายไป ดร. เอิร์ล กัทธรี "Dr. Earl Guthrie" ให้ความเห็นว่า คริสตจักรห้ามการผ่าศพและชันสูตรพลิกศพ และยึดและทำลายวรรณกรรมเกี่ยวกับการแพทย์สัตวแพทย์ไปจำนวนมาก ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีวรรณกรรมใหม่ ๆ ออกมาเขียนขึ้น มีเพียงงานเขียนของชาวอาหรับในสเปนเท่านั้นที่เขียนขึ้น
.
การขาดความสนใจในการแพทย์สัตวแพทย์มีสาเหตุมาจากคริสตจักรในยุคกลางที่ยืนกรานว่าสัตว์ไม่มีวิญญาณอมตะ จึงไม่สมควรได้รับการรักษาพยาบาล หากแมวหรือสุนัขเลี้ยงของใครตาย ตามความเห็นของคริสตจักร ก็ไม่มีความสำคัญเท่ากับการตายของแมลงวันหรือหมัด จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 12 และต้นศตวรรษที่ 13 ชาวยุโรปจึงเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพของสัตว์อีกครั้ง ด้วยเนื่องจากมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์
.
สถาบันการศึกษาสัตวแพทย์แห่งแรกในยุโรปก่อตั้งขึ้นในฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1762 โดยศัลยแพทย์สัตวแพทย์โคลด บูร์เกลาต์ "Claude Bourgelat" และมีการก่อตั้งโรงเรียนสัตวแพทย์แห่งราชวงศ์ในปี ค.ศ. 1765 รวมทั้งโรงเรียนในประเทศอื่นๆ ในยุโรปจนถึงปี ค.ศ. 1791 และต่อเนื่องจนถึงปี ค.ศ. 1862 โดยโรงเรียนสัตวแพทย์แห่งแรกในสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็คือ วิทยาลัยสัตวแพทย์แห่งฟิลาเดลเฟีย ( United States – the Veterinary College of Philadelphia) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1852
สัตว์เลี้ยงของใคร..ใครก็รัก หากเมื่อวันที่เขาป่วย ที่พึ่งเดียวก็คือคุณหมอ 4 สิงหาคม วันสัตวแพทย์ไทย
4 สิงหาคมของทุกปี วันสัตวแพทย์ไทย วันที่ระลึกถึงการก่อตั้ง สัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เป็นสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยในวันนี้เมื่อปีพุทธศักราช 2491 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
.
ในประเทศไทยนั้น พล.ต. ม.จ.ทองฑีฆายุ ทองใหญ่ ผู้ซึ่งเป็นพระบิดาของวิชาสัตวแพทย์สมัยใหม่ โดยทรงก่อตั้งโรงเรียนอัศวแพทย์ทหารบก ซึ่งได้พัฒนาต่อมาเป็นโรงเรียนนายสิบสัตวแพทย์ และ โรงเรียนนายดาบสัตวแพทย์ทหารบก
.
ย้อนกลับไปราว 12,000 - 10,000 ปีก่อนคริสตศักราช มีการกล่าวถึงอย่างแน่ชัดว่ามีการเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งสุนัขและแมวเริ่มขึ้น เป็นไปได้มากว่าการแพทย์สัตวแพทย์รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเกิดขึ้นตามหลังการเลี้ยงสัตว์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าบันทึกส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับสุนัข มีระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนช่วงเวลานั้นมาก
.
นักเขียนชาวกรีก และโรมัน ที่ถูกเรียกว่า "บิดาแห่งการแพทย์สัตวแพทย์" ก็ดี แผนภูมิวิวัฒนาการคร่าวๆ ของการปฏิบัติทางสัตวแพทย์ในอารยธรรมโบราณ เช่น จีน เมโสโปเตเมีย อียิปต์ และอินเดียก็ดี ซึ่งถือเป็นการพัฒนาในช่วงต้นยุคแรกๆ ของสัตวแพทย์
.
แทบจะเป็นความแน่นอนแล้วว่าแพทย์ในเอเชีย และ Near East were ได้ประกอบวิชาชีพสัตวแพทย์มาตั้งแต่ก่อนมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่ยืนยันการปฏิบัติดังกล่าว แต่บันทึกที่มีอยู่ทำให้ชัดเจนว่านักเขียนชาวกรีกและโรมันที่มักเชื่อมโยงกับคำเรียกขานว่า “บิดาแห่งการแพทย์สัตวแพทย์” จริงๆ แล้วเป็นเพียงผู้มีส่วนสนับสนุนในสิ่งที่มีอยู่แล้วเท่านั้น อีกทั้งยังมีความชัดเจนว่านักเขียนเช่นฮิปโปเครตีส "Hippocrates" และเวเจเชียส "Vegetius" เป็นผู้มีส่วนสนับสนุนในภายหลัง ไม่ใช่ผู้บุกเบิกในการแพทย์สัตวแพทย์
.
ตามตำนาน "จากการแปลบนความเข้าใจของฝั่งตะวันตก" (ตามที่เล่าขานในผลงาน Classic of Mountains and Seas ประมาณ 2600 ปีก่อนคริสตศักราช แต่ก็เชื่อกันว่าเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นมาก) เทพหนี่ว์วา "Nüwa" ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาด้วยมือมนุษย์ แต่พบว่ากระบวนการนี้ดูเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น จึงได้ให้มนุษย์สามารถจับคู่ชายหญิงแต่งงานสืบพันธุ์ได้ แต่การที่จะอยู่รอดได้ด้วยตัวเองนั้นจำเป็นต้องมีการล่าสัตว์หาอาหาร และความจำเป็นต่อการอยู่รอดอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งในที่สุดก็ได้ประทานสัตว์ป่าเพื่อให้มาเป็นสัตว์เลี้ยง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาล่าสัตว์
.
และกล่าวกันว่า ฝูซี (เป็นวีรบุรุษทางวัฒนธรรมตามตำนานจีนและเทพปกรณัมจีน เป็นที่นับถือพร้อมกับNüwa) ได้สอนมนุษย์ให้ดูแลสัตว์ ตัวอย่างที่เก่าแก่ที่สุดของการแพทย์สัตว์ในประเทศจีนเกี่ยวข้องกับการดูแลวัวและม้า แพทย์ที่รู้จักกันในชื่อนักบวชม้า “horse priests” ใช้การฝังเข็มเพื่อรักษาม้าได้สำเร็จประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช
.
ในเมโสโปเตเมีย สัตวแพทย์ได้รับการจัดตั้งขึ้นแล้วตั้งแต่ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพธิดาแห่งสุขภาพและการรักษา กูลา "Gula" (เรียกอีกอย่างว่า นินการ์รัก Ninkarrak และนินิซินนา Ninisinna ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับสุนัข/การรักษาของสุนัข) ก่อตั้งศาสตร์แห่งการแพทย์ร่วมกับปาบิลซาก " Pabilsag" พระมเหสี ดามู "Damu" และนินาซู "Ninazu" บุตรชายของเธอ และกุนูร์รา "Gunurra" บุตรสาวของเธอ
.
นินาซูนั้นเป็นผู้มีความเกี่ยวข้องกับงู (symbols of transformation) เป็นผู้มีอิทธิพลในการรักษา และโลกใต้พิภพ โดยมีสัญลักษณ์เป็นคทาที่มีงูพันกัน ที่ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ในปัจจุบันนี้ของวิชาชีพแพทย์ คือ งู 1 ตัว พันคทา (*หากเป็นงูสองตัวพันกัน จะเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งการส่งข่าวสาร)
.
แพทย์สองประเภทหลักในเมโสโปเตเมียคือ อาซู (แพทย์ที่รักษาอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บโดยอาศัยการสังเกตอาการและการรักษาทางกายภาพ) และอาซิปู (ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “ผู้รักษาด้วยศรัทธา” ซึ่งอาศัยคาถา มนต์สะกด และสมุนไพร) และทั้งสองประเภทนี้สามารถเป็นสัตวแพทย์ได้ ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างทั้งสองประเภท
.
สัตวแพทย์คนแรกที่รู้จักชื่อคือ Urlugaledinna แพทย์ชาวสุเมเรียน ซึ่งรับใช้ภายใต้การปกครองของ Ur-Ningirsu (ครองราชย์ 2121-2118 ปีก่อนคริสตกาล) กษัตริย์แห่ง Lagash บุตรชายและผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจาก Gudea กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ (ครองราชย์ 2141-2122 ปีก่อนคริสตกาล) ตามที่ Dr. Saadi F. Al-Samarrai กล่าวไว้
.
ตราประทับรูปทรงกระบอกของ Urlugaledinna ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นการระบุตัวตนของเขา แสดงให้เห็นคีมคู่นี้พร้อมกับไม้เท้างูพันกันของ Ninazu และเขามีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการปฏิบัติงานสัตวแพทย์มาก มีข้อมูลบันทึกในตำราเมโสโปเตเมียที่พบได้ทั่วไป
.
แต่นักตะวันออกวิทยา Samuel Noah Kramer ชี้ให้เห็นว่า ยังมีสัตวแพทย์ที่รู้จักกันในชื่อ หมอวัว" หรือ "หมอลา “the doctor of the oxen” แต่พวกเขาถูกกล่าวถึงเฉพาะในตำราศัพท์เท่านั้นและยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาเพิ่มเติม
.
ไม่ว่าสัตวแพทย์ในยุคแรกเหล่านี้จะทำอะไรก็ตาม พวกเขาก็ได้วางแนวทางการปฏิบัติงานของตนไว้อย่างดีพอที่จะสามารถกำหนดโรคและการรักษาที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ได้ในสมัยที่ประมวลกฎหมายของ Eshnunna ถูกเขียนขึ้นประมาณ 1930 ปีก่อนคริสตกาล ประมวลกฎหมายแห่งเอชันนุนนาระบุถึงโรคพิษสุนัขบ้า ผลกระทบของโรค และกำหนดค่าปรับที่เจ้าของสุนัขที่กัดคนอื่นต้องชำระ ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (ราว 1754 ปีก่อนคริสตกาล) และกำหนดค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าการดูแลสัตวแพทย์เป็นอาชีพที่น่าเคารพ
.
ในอียิปต์ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี "Hammurabi" ถูกจารึกที่บาบิลอน (Babylon ที่พระเจ้าไซรัสมหาราชได้พิชิตและภายหลังเป็นจักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่) สัตวแพทย์ในอียิปต์ได้รับการยอมรับในทักษะและได้ผลิตผลงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การสัตวแพทย์ที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Kahun Papyri มีอายุย้อนไปถึงช่วงอาณาจักรอียิปต์ตอนกลาง (2040-1782 ปีก่อนคริสตกาล) และโดยเฉพาะในรัชสมัยของอเมเนมฮัตที่ 3 (ราว ค.ศ. 1860 - ราว ค.ศ. 1814 ปีก่อนคริสตกาล) โดยกระดาษปาปิรุสคาฮุนมีข้อความเกี่ยวกับหัวข้อต่างๆ มากมาย ตั้งแต่เทศกาลต่างๆ ที่จะจัดขึ้น ไปจนถึงประเด็นและการรักษาทางสูตินรีเวช ไปจนถึงการปฏิบัติของสัตวแพทย์และการวินิจฉัยโรค
.
ไม่น่าแปลกใจเลยที่วิทยาศาสตร์การสัตวแพทย์จะพัฒนาอย่างเต็มที่ในอียิปต์โบราณ เนื่องจากวัฒนธรรมให้ความสำคัญกับสัตว์ทุกชนิดเป็นอย่างมาก แม้ว่าวัฒนธรรมนี้จะเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการเคารพแมว แต่ทุกชีวิตก็ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ อาหารของชาวอียิปต์เกือบทั้งหมดเป็นมังสวิรัติ และสัตว์ได้รับเกียรติผ่านการระบุตัวตนกับเทพเจ้าของแผ่นดิน
.
กระดาษปาปิรุสของ Kahun ยังกล่าวถึงเรื่องนาคานะ "nagana" ที่ในข้อความระบุถึงการกำหนดวิธีรักษา และกล่าวถึงความสำคัญของการล้างมือโดยเฉพาะก่อน ระหว่าง และหลังการรักษาสัตว์ที่ติดเชื้อ และยังมีการกล่าวถึงการรักษานก สุนัข และปลา ที่เป็นสัตว์เลี้ยง
.
ไม่ทราบว่าสัตวแพทย์ของอียิปต์ได้เดินทางมายังอินเดียหรือพัฒนาขึ้นที่นั่นโดยอิสระหรือไม่ แต่ในช่วงยุคพระเวท (ประมาณ 1500-500 ปีก่อนคริสตกาล) สัตวแพทย์เป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับและนับถือในภูมิภาคนี้ ตามที่นักวิชาการ R. Somvanshi กล่าวไว้
.
แพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ Sushruta (ประมาณศตวรรษที่ 7 หรือ 6 ก่อนคริสตกาล) ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม “บิดาแห่งการแพทย์อินเดีย” และ “บิดาแห่งศัลยกรรมตกแต่ง” ได้พัฒนาเทคนิคทางการแพทย์ที่ใช้รักษาทั้งมนุษย์และสัตว์ ผลงานของเขา Sushruta Samhita (Sushruta's Compendium) ถือเป็นตำราที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับการศัลยกรรมตกแต่งในโลก เป็นตำราคลาสสิกของอายุรเวช และเป็นพื้นฐานสำหรับการปฏิบัติของสัตวแพทย์ในอินเดีย Somvanshi เขียนไว้ดังนี้
.
"สัตว์ได้รับการดูแลทางการแพทย์ที่ดีในอินเดียโบราณ แพทย์ที่รักษามนุษย์ยังได้รับการฝึกอบรมในการดูแลสัตว์ด้วย ตำราการแพทย์ของอินเดีย เช่น Charaka Samhita, Sushruta Samhita และ Harita Samhita มีบทหรือเอกสารอ้างอิงเกี่ยวกับการดูแลสัตว์ที่ป่วยและมีสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการดูแลสัตว์หรือเฉพาะสัตว์ประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น แพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาแพทย์เหล่านี้คือ Shalihotra ซึ่งเป็นสัตวแพทย์คนแรกของโลกและเป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์การสัตวแพทย์ของอินเดีย"
.
ในยุคสมัยของกรีกและโรมันนั้นยืดถือแนวทางเดียวกันกับอารยธรรมอื่นๆ ในการพัฒนาวิทยาศาสตร์การสัตวแพทย์บางรูปแบบในช่วงไม่นานหลังจากการเลี้ยงสัตว์ แต่การรักษาที่ครอบคลุมที่สุดอย่างหนึ่งในเรื่องนี้มาจากฮิปโปเครตีส ที่เป็นหมอรักษาโรคชาวกรีกคนแรกที่ยืนยันว่าความเจ็บป่วยเกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม อาหาร และวิถีชีวิต และไม่ใช่การลงโทษจากเทพเจ้าหรือจากวิญญาณชั่วร้ายแต่อย่างใด
.
ฮิปโปเครตีสแนะนำว่าอาหารเป็นหนึ่งในแง่มุมที่สำคัญที่สุดในการรักษาสุขภาพในมนุษย์หรือสัตว์ เช่นเดียวกับการออกกำลังกายเป็นประจำ แสงแดด การนวด การผ่อนคลาย และการปรับอารมณ์ การบำบัดด้วยกลิ่นหอม และการอาบน้ำเป็นประจำ แม้ว่างานของเขาจะเน้นที่สุขภาพของมนุษย์ แต่ก็ขยายไปถึงสวัสดิภาพของสัตว์ด้วย
.
ราว 130 ปีก่อนคริสตกาลชายคนหนึ่งชื่อ Metrodorus แห่งเมือง Lamia (ในเทสซาลี) มีชื่อเสียงในด้านทักษะการรักษาสัตว์ตามงานของฮิปโปเครตีส เขาเป็นที่รู้จักโดยเฉพาะสำหรับงานของเขาเกี่ยวกับม้าและเป็นที่นับถือในฐานะศัลยแพทย์สัตวแพทย์
.
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแนวทางการแพทย์ของกรีกนั้นได้รับการยอมรับจากชาวโรมัน และที่โด่งดังที่สุดคือกาเลน ซึ่งมองเห็นความคล้ายคลึงกันในสรีรวิทยาของมนุษย์และสัตว์ เขาสามารถรักษาผู้ป่วยได้ดีเช่นเดียวกับที่เขาทำได้ด้วยความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์ที่ได้มาจากงานของเขาเกี่ยวกับสัตว์ ซึ่งเขาสันนิษฐานได้อย่างถูกต้องว่าสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสัตว์ก็จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์เช่นกัน
.
งานของ Publius Flavius Vegetius Renatus นักเขียนชาวโรมัน (รู้จักกันดีในชื่อ Vegetius) ซึ่งคู่มือการแพทย์สัตวแพทย์ (Digesta Artis Mulomedicinae) ของเขาได้กลายเป็นงานอ้างอิงมาตรฐานสำหรับผู้ที่ทำงานในสาขาสัตวแพทย์
.
หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในปีค.ศ. 476 และศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาท ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สัตวแพทย์ที่มีอยู่เดิมก็สูญหายไป ดร. เอิร์ล กัทธรี "Dr. Earl Guthrie" ให้ความเห็นว่า คริสตจักรห้ามการผ่าศพและชันสูตรพลิกศพ และยึดและทำลายวรรณกรรมเกี่ยวกับการแพทย์สัตวแพทย์ไปจำนวนมาก ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีวรรณกรรมใหม่ ๆ ออกมาเขียนขึ้น มีเพียงงานเขียนของชาวอาหรับในสเปนเท่านั้นที่เขียนขึ้น
.
การขาดความสนใจในการแพทย์สัตวแพทย์มีสาเหตุมาจากคริสตจักรในยุคกลางที่ยืนกรานว่าสัตว์ไม่มีวิญญาณอมตะ จึงไม่สมควรได้รับการรักษาพยาบาล หากแมวหรือสุนัขเลี้ยงของใครตาย ตามความเห็นของคริสตจักร ก็ไม่มีความสำคัญเท่ากับการตายของแมลงวันหรือหมัด จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 12 และต้นศตวรรษที่ 13 ชาวยุโรปจึงเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพของสัตว์อีกครั้ง ด้วยเนื่องจากมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์
.
สถาบันการศึกษาสัตวแพทย์แห่งแรกในยุโรปก่อตั้งขึ้นในฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1762 โดยศัลยแพทย์สัตวแพทย์โคลด บูร์เกลาต์ "Claude Bourgelat" และมีการก่อตั้งโรงเรียนสัตวแพทย์แห่งราชวงศ์ในปี ค.ศ. 1765 รวมทั้งโรงเรียนในประเทศอื่นๆ ในยุโรปจนถึงปี ค.ศ. 1791 และต่อเนื่องจนถึงปี ค.ศ. 1862 โดยโรงเรียนสัตวแพทย์แห่งแรกในสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็คือ วิทยาลัยสัตวแพทย์แห่งฟิลาเดลเฟีย ( United States – the Veterinary College of Philadelphia) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1852