แตงโมรสหวาน แต่ความหมาย “สุดขม” ของการเหยียดชนชั้น



     แตงโมสีแดงหวานฉ่ำ ผลไม้ที่ได้กินคงดับร้อนชื่นใจ แถมเป็นผลไม้ที่หาทานง่ายราคาไม่แพงอีกด้วย หลายๆคนคงชอบผลไม้ชนิดนี้เป็นแน่แท้ แต่ใครจะรู้ไหมว่า“แตงโม”เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ใช้เหยียบย่ำเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมาอย่างยาวนานนับร้อยปี ประวัติศาสตร์ที่ใครๆ ก็อยากลบลืมมีที่มาอย่างไร แล้วในอดีตการแบ่งแยกเพื่อนมนุษย์ด้วยสีผิวสร้างความเจ็บปวดไว้ขนาดไหนวันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน 

          แต่เท้าความกันก่อนว่าห้ามพูดชวนกินแตงโมต่อหน้าคนผิวดำอย่างยิ่ง เพราะ เป็นหนึ่งในวัตถุที่ใช้เหยียดคนดำอย่างมากตั้งแต่สมัยที่มีการค้าทาส ซึ่งเป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกมายาวนาน อย่างกรณีของ “มาดอนน่า” นักร้องตัวเเม่ก็ยังโดนทัวร์ลง จากกรณีการโพสต์รูปลูกบุญธรรมของเธอที่ไปขออุปถัมป์มาจากแอฟริกาถ่ายคู่กับแตงโม ที่ดูเผินๆหากเป็นในไทยก็คงเป็นเรื่องขำๆที่แม่ลูกเล่นกัน แต่หากเป็นที่อเมริกาแล้วละก็ แตงโมกับคนดำถือเป็นของแสลงที่คนขาวห้ามพูดคู่กันเด็ดขาด 


     หรืออีกตัวอย่าง คือกรณีของโรงเรียน Carondelet High School for Girls ในปี 2014 ประกาศเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อเฉลิมฉลองเดือนกุมภาพันธ์ที่เป็น “เดือนประวัติศาสตร์คนดำ” โดยจัดเมนูพิเศษคือ แตงโม ไก่ทอด และขนมปังข้าวโพด ก่อนที่ต่อมาผู้ปกครองนักเรียนผิวดำจะส่งจดหมายถึงโรงเรียน เพื่อขอทบทวนเมนูอาหารเหล่านั้นใหม่ เนื่องจากมันเป็นสัญลักษณ์แห่งการกดทับคนผิวสีโดยที่โรงเรียนอาจไม่ทันได้คาดคิด เพราะทั้งสามเมนูที่กล่าวมานั้นคือภาพเหมารวมที่ถูกผูกติดกับคนดำมานับร้อยปีแล้ว

แล้วจุดเริ่มต้นมาจากไหน?


      หากจะถามว่าทำไมแตงโมถึงกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ใช้เหยียดคนดำไปได้ ก็ต้องย้อนไปถึงสมัยที่ยังมีการค้าทาสในอเมริกา คนดำถูกบังคับให้ทำเกษตรกรรมเพื่อเจ้านาย ทั้งฝ้ายและไร่ในฟาร์มอื่นๆ จนถึงตอนที่ ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น ได้ประกาศเลิกทาสอย่างเป็นทางการ เหล่าทาสทั้งหลายที่ต้องตรากตำทำงาน พร้อมกับสิทธิความเป็นคนที่ถูกริดรอนในแต่ละวัน การได้รับอิสระกลายเป็นเสรีชนครั้งแรกคือเรื่องที่น่ายินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง

     หลังจากได้รับอิสรภาพ งานที่พอจะยังชีพพวกเขาต่อไปได้คือการเกษตร การค้าขายอย่างเเพร่หลาย ซึ่งหนึ่งในนั้นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก คือ “แตงโม” เพราะ เป็นผลไม้ที่ปลูกได้ง่ายสามารถนำไปขายได้ทุกตลาด ในตอนนั้นสำหรับคนขาวแล้ว แตงโม ก็คือ แตงโม แต่สำหรับคนดำแล้ว ผลไม้รสหวานทานง่ายนี้ เปรียบเสมือนเจตจำนงเสรี ตัวแทนเสรีภาพทางการเงิน จากที่เคยต้องรับใช้เจ้านายผิวขาว แต่บัดนี้พวกเขาได้ค้าขายเอง จึงมีแตงโมจากฟาร์มของคนผิวดำขายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

     แต่ไม่รู้เพราะหวาดกลัวหรือชิงชังหรืออะไรก็แล้วแต่ที่หวั่นเกรงในอิสระของคนดำ ที่ดำรงชีพอยู่อย่างเสรีพอเพียง จึงยึดโยงดัดแปลงความเป็นอยู่อย่างสมถะนี้ให้ดูน่าเกลียดชัง นำเรื่องของการปลูกแตงโมขายเพื่อเลี้ยงชีพและพอเพียงนี้ ว่าเป็นการกระทำของผู้ที่ยากจนข้นแค้น จากแตงโมที่เคยหวานฉ่ำ ก็เริ่มกลายเป็นรสขมในเชิงสัญลักษณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้

“สกปรก ขี้เกียจ ไม่รู้จักโต”
แตงโมที่เริ่มกลายเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ ถูกโยงไปสร้างมายาคติให้กับคนดำในอดีต ที่เชื่อว่าอดีตทาสแบบนี้ เป็นพวกไม่สะอาด ไม่ทำงานทำการ นอนกลิ้งกินแตงโมไปวันๆ กลายเป็นสร้างภาพจำสั้นๆว่า “สกปรก ขี้เกียจ ไม่รู้จักโต”

-สกปรก เพราะ การกินแตงโมที่มีรสหวานน้ำฉ่ำๆ ไม่ให้หกเลอะเทอะสะอาดสะอ้านเป็นเรื่องที่ยากอยู่
-ขี้เกียจ เพราะ การปลูกแตงโมเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งกว่าการประกอบชีพอื่น แถมการกินแตงโมไม่สามารถกินไปด้วยทำงานไปด้วยได้ ต้องนักพักและนั่งกินแบบจริง ๆ จัง ๆ เท่านั้น 
-ไม่รู้จักโต เพราะ รสชาติที่หวานและสีแดงสดใสนั้น จริงๆ แล้วมีสารอาหารน้อยมากเป็นเหมือนขนมของเด็กๆ

กลายเป็นสามความเชื่อที่ถูกยัดเยียดสร้างภาพจำผิดๆ ให้แก่อดีตทาสผิวดำ ด้วยความ ”ชิงชัง” ล้วนๆ 

การสร้างภาพจำให้แตงโม


         ความจริงแล้วแตงโมก็ถูกเปรียบให้เป็นอาหารคนจนตั้งแต่อดีตมานมนาน เช่น คนงานชาวอิตาลี หรือชาวอาหรับ จนกระทั่งประเด็นทาสผิวดำผิวดำในอเมริกา การสร้างสัญญะให้แตงโมยิ่งเห็นเด่นชัด กลายเป็นหนึ่งในอาวุธทางวาจา และการเหมารวมเพื่อเหยียดสีผิวนั้นเอง

          อย่างกรณีในอดีตการฉีดยาพิษใส่แตงโม เพื่อวางยาเพื่อนบ้านผิวดำก็มีมาแล้ว เพราะ เหมารวมว่า ”คนดำก็ต้องกินแตงโมสิ”

         หากย้อนกลับไป ในสมัยที่มีการเลิกทาสไปเกือบ 20 ปีแล้ว มีคำกล่าวจากพรรคการเมืองว่า “คนดำเหล่านี้ยังไม่พร้อมกับอิสระหรอก” ในช่วงการเลือกตั้ง ค.ศ. 1880 พรรคเดโมแครตกล่าวหารัฐเซาท์แคโรไลนา ว่าใช้เงินภาษีของรัฐบาลไปกับแตงโมและความเอร็ดอร่อยส่วนตัว เพียงเพราะว่ารัฐนั้นเต็มไปด้วยประชากรผิวดำ 

           และในหนัง The Birth of a Nation ที่ปล่อยมาใน ค.ศ. 1915 นั้น คนผิวขาวสนับสนุนให้คนดำเลิกทำงาน แล้วมานั่งกินแตงโมเฉยๆ เพราะเชื่อว่าคนดำที่พวกเขามองว่าเกียจคร้านนั้น “ยังไม่พร้อมกับอิสรภาพ” บอกเลยว่าหนังเรื่องนี้แสดงถึงความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง เพราะ นอกจากเนื้อหาในเรื่องที่เหยียดเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างรุนแรงแล้ว ตัวละครผิวดำในเรื่องก็แสดงโดยนักแสดงผิวขาวที่แต่งหน้าทาตัวดำเปลี่ยนสีผิวของตัวเอง หรือที่เรียกว่า Black Face ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นในยอดดินเเดนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศเเห่งอิสรภาพของเสรีชน

          แตงโมในเชิงประวัติศาสตร์จึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของอาหารราคาถูกเพื่อประทังชีวิตไปวันๆของคนกลุ่มน้อย แต่ถ้าคุณคิดว่าคนกลุ่มน้อย คือ คนกลุ่มที่ไม่มีพลังอำนาจในตอบโต้กับการเหยียดที่ซ่อนไว้ในแตงโมแล้วละก็ คุณคิดใหม่ได้เลย

ยาสีฟัน รสแตงโม

แตงโมในเชิงประวัติศาสตร์จึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของอาหารกินกันตายของชนกลุ่มน้อยเรื่อยมา แต่ถ้าคุณคิดว่าคนกลุ่มน้อย คือคนกลุ่มที่ไม่มีพลังอำนาจในการต่อสู้กับความเหยียดที่ซ่อนไว้ในแตงโมแล้ว คุณกำลังคิดผิด

“โอบาม่าแปรงฟันด้วยยาสีฟันรสแตงโม” 

มุกตลกที่ไม่ตลก ในหนังสือพิมพ์ Boston Herald ที่แซะอดีตประธานาธิบดีไว้ ซึ่งมุกแฝงนัยของการเหยียดสีผิวด้วยแตงโมนี่เอง เป็นหลักฐานว่าขนาดคนที่มีอำนาจและเป็นถึงผู้นำประเทศอย่างโอบาม่าเอง ก็หนีการถูกเหยียดไม่พ้น ในทางกลับกัน ผู้นำประเทศแคนาดาอย่าง จัสติน ทรโด (Justin Trudeau) ก็เคยตกเป็นจำเลยของสังคม ในข้อหาที่เขาเคยทาสีผิวตัวเองให้กลายเป็นสีดำ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนขาวถึงสองครั้งสองครา ซึ่งไอ้เจ้าการทา ย้อม หรือดัดแปลง สีผิวตัวเองให้เป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็น หรือที่เรียกกันว่า Black Face นั้น ถือเป็นเรื่องไม่ควรทำอย่างยิ่ง 

      ดิสนีย์ ค่ายหนังการ์ตูนสุดคลาสสิก ก็ลบประวัติศาสตร์การเหยียดผิวในหนังแอนิเมชันของตัวเองหลายต่อหลายเรื่องไม่ได้ ซึ่งหากจะกล่าวถึงในบทความนี้ก็คงสาธยายไม่หมด แต่ความบอบช้ำที่ดิสนีย์น่าจะอับอายที่สุด น่าจะเป็นหนังการ์ตูนซึ่ง Romanticize หรือเอาความโลกสวย ทุ่งแตงโมสีหวาน ไปครอบไว้กับการเป็นทาสผิวดำ ในหนังเรื่อง Song of the South เล่าเรื่องของทาสผิวดำที่มีความสุขในการทำไร่ ทำนา อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว หัวอ่อน ร้องรำทำเพลงกับฝูงสัตว์ หรือพูดง่ายๆ ว่า เป็น ‘ทาสที่แฮปปี้’ นั่นเอง ซึ่งหนังเรื่องนี้ขึ้นอันดับหนึ่ง Hall of Shame หรือแท่นแห่งความอัปยศอดสูของดิสนีย์อย่างไม่มีข้อโต้เถียง

แต่ไม่ได้มีแค่แตงโมน่ะสิ

 กล้วย ก็เป็นหนึ่งในสัญญะที่ใช้ในการเหยียดเช่นกัน ซึ่งมีพื้นเพคล้ายกับแตงโมเลย ที่มองว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่นำเข้ามาจากชาติพันธุ์ที่ต่ำต้อยกว่าชาวยุโรปเอง รวมถึงเป็นหนึ่งในยอดอาหารอันโอชะ ของลิงป่า ซึ่งพวกเขาเปรียบผู้ที่อพยพผิวดำชาวแอฟริกาว่าเป็น”ลิงป่า”ที่ชอบกินกล้วยนั้นเอง

        หากให้ยกตัวอย่างก็คงเป็นประเด็นของนักฟุตบอลในปัจจุบัน ที่ถูกแฟนบอลฝ่ายตรงข้ามปากล้วยใส่เพื่อแสดงสัญญะว่าพวกนักเตะผิวดำเป็นแค่ลิงป่าที่ชอบกินกล้วยเท่านั้น

  ไก่ทอด ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนขาวยัดเยียดสร้างภาพจำให้กับคนดำ ว่าพวกเขาต้องคู่กับไก่ทอด เพราะในอดีตทาสผิวดำที่อยู่ในบ้านเจ้านาย ส่วนใหญ่ไม่ได้รับอนุญาติให้เลี้ยงสัตว์ใหญ่ชนิดใด เว้นแต่ “ไก่” นั้นเอง ซึ่งก็เหมือนกรณีของแตงโมหรือกล้วยอีกนั้นแหละ อ้างว่าเป็นอาหารของผู้ที่ต่ำต้อยกว่าบ้างล่ะ บ้างก็ว่าการกินไก่มันเลอะเทอะต้องแทะจนสกปรก และอีกสารพัดเหตุผล ฯลฯ 

     ถึงขั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่คนดำไม่ทำกันเลย คือ การแทะไก่ในที่สาธารณะ พวกเขาไม่ต้องการสร้างภาพจำ รวมถึงไม่อยากให้ใครมามองพวกเขาแย่ๆ แบบนั้นอีก  

คนไทยล่ะ?

ก็จริงอยู่ที่ในสยามชาติการสร้างสัญญะภาพด้วยผลไม้หรือสิ่งของที่สื่อไปในทางเหยียดผิว ก็คงนึกออกได้ยาก แต่หากมองลึกลงไปในวัฒนธรรมไทยหรือวรรณคดี การพูดถึงสิ่งที่มีผิวดำก็ไม่ได้เป็นการสื่อถึงสิ่งที่น่าอภิรมย์นัก ไม่ว่าจะเป็น เงาะป่า ที่ต้องถอดรูปให้ภายในเป็นชายรูปงาม ข้าวนอกนา จนไปถึงจรกา รูปชั่วตัวดำ ปากหนา จมูกโต ใน อิเหนา ซึ่งเต็มไปด้วยพรรณนาโวหาร ยังไม่นับรวมถึงบทละครต่างๆ ที่ส่งเสริมค่านิยมการดูแคลนความงามที่ไม่ตรงตามพิมพ์นิยมทั้งสิ้น จนถึงวันนี้ค่านิยมในความขาวใสของคนไทยก็ยังฝังรากลึกและพบเห็นได้ในทุกมิติของชีวิต 

          แต่ถ้าหากพูดถึงกรณีที่ดังที่สุดก็คงเป็นโฆษณาของยาสีฟันยี่ห้อหนึ่งที่ดังไกลไปทั่วโลก 

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

การสร้างภาพเหมารวมเป็นสิ่งที่ผิด

          ยังไงการเหมารวมละสร้างภาพจำเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ ไม่ใช่เพียงแค่การเหยียดสีผิว แต่รวมไปถึงการเหยียดชนชั้นฐานะที่ไม่ควรมีอยู่อีกด้วย หากเทียบกับในไทยแล้วสีผิวอาจไม่ใช่ปัญหาที่ฝังรากลึกลงในไทยมากนัก แต่การเหยียดชนชั้นนี่แหละที่สร้างความบอบช้ำน้ำใจให้คนไทยมานัดต่อนัดแล้ว

          การสร้างภาพจำของคนอีสานว่าชอบกิน ลาบ ข้าวเหนียว ส้มตำ มาเป็นถ้อยคำดูถูกว่าเป็น ”คนบ้านนอก” ไร้ศักดินาสร้างภาพจำว่าอาหารพื้นบ้านเหล่านี้ เป็นเพียงอาหารสำหรับคนจนเท่านั้นเอง



หรือหากให้เห็นชัดกว่านั้น วาทะกรรมที่เป็นตำนานของไทยด้วยวลีที่ว่า “จน เครียด กินเหล้า” ,มันทำไมกันล่ะ? หลายคนให้ความเห็นและตั้งคำถามไว้ว่า คนจน มันต้องเครียด มันต้องกินเหล้าอย่างนั้นหรือ ไม่ว่าจะฐานะไหนก็เสพสมความสุขจากการดื่มได้ไม่ใช่หรือไร แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น คือผู้ที่สร้างวลีนี้ขึ้นมาคือ สสส. องกรค์ภาครัฐที่ควรเป็น”ผู้ต่อต้าน”กลับกลายเป็น”ผู้สร้าง”เสียอย่างนั้น ใครจะจน ใครจะเครียด ใครจะกินเหล้า มันก็เรื่องของเขาไม่จำเป็นต้องไป ตราหน้า-เหมารวม คนผู้นั้นหรือคนผู้นี้เลย

        
เหมารวม ถูกกว่า?

ทำไมคนเราถึงเหมารวม
การ Stereotype การเหมารวม หรือการตัดสินคนนั้น เป็นสัญชาตญาณหนึ่งของมนุษย์ โดยพื้นฐานแล้ว เราทุกคนต้องการรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มีพวกพ้อง และรู้สึกมีพื้นที่ที่เป็นของตัวเองเสมอ ซึ่งการแยกแยะเพื่อนออกจาก ศัตรู หรือความเหมือนออกจากความต่างนั้น เป็นจิตวิทยาพื้นฐานซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน

แต่การตัดสินของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน และมักจะอ้างอิงจากสิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดู ประสบการณ์ส่วนตัว ไปจนถึงค่านิยม ความเชื่อ วัฒนธรรมต่างๆ ที่มีความหลายหลากเสมอ นั่นหมายความว่า ‘การเหมารวม’ ที่ครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจคนและชุดความคิด อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แม่นยำ และเที่ยงตรง อีกต่อไป

อิสรภาพและความเท่าเทียมไม่ใช่สำหรับทุกคน” ต้นไม้แห่งความเกลียดชังก็จะยังคงออกดอกออกผลงอกงาม เหม็นไหม้ พิสดาร ต่อไปอีกนานแสนนาน

https://readthecloud.co/watermelon-racist-trope/
https://www.innnews.co.th/lifestyle/news_747338/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่