พระพุทธศาสนานิกายมหายานในประเทศไทย

กระทู้สนทนา
ก่อนอื่นผมต้องแนะนำตัวก่อนว่า ผมเป็นประชาชนชาวไทยผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือที่เรียกว่าไทยมุสิม  ผมศึกษาเล่าเรียนสำเร็จการศึกษาเบื้องต้นจากโรงเรียนวัดในกรุงเทพฯ ซึ่งนับว่าเป็นสถานศึกษาที่มีพระคุณกับผมมากทีเดียว เนื่องจากทางบ้านผมเคร่งครัดในเรื่องศาสนา จึงมีเจ้าอาวาสวัดข้างบ้านมาคุยเรื่องศาสนากับคุณพ่อผมเสมอ ผมก็นั่งฟังไปด้วย เพราะเราไม่ร่ำรวยอะไร มีบ้านหลังเล็กๆ ห้องรับแขกก็เพียงห้องเดียวใช้กันทั้งบ้าน จากการสนทนาเป็นประจำแทบทุกสัปดาห์ จึงทำให้ผมได้รับความรู้พอสมควรทั้งทางพุทธศาสนาและทางศาสนาอิสลาม มาตั้งแต่เด็กๆ  รอบบ้านมีแต่ชาวไทยพุทธ เพื่อนฝูงก็เป็นเด็กๆที่อาศัยอยู่กับพระที่วัดใกล้บ้าน มีบ้านชาวไทยมุสลิมอยู่สามสี่ครอบครัว ซึ่งเป็นญาติกัน ดังนั้นผมจึงมีความคุ้นเคยกับชีวิตชาวไทยอย่างแท้จริง

หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ก็ได้รับราชการสามสี่ปี แต่ด้วยความยากจน เงินเดือนจากการรับราชการไม่มีทางที่จะตั้งตัวได้ จึงหาทางไปเรียนต่อที่อเมริกาซึ่งนำความขบขันมาสู่เพื่อนๆร่วมมหาวิทยาลัยว่า มึ..จะมีปัญญาไปได้อย่างไร? แต่ผมก็หาทางไปจนได้ด้วยความสามารถของตัวเอง และการสนับสนุนจากทางบ้าน จนเรียนจบ และทำงานและสอนหนังสืออยู่ในอเมริกา และนำเพื่อนๆอีกหลายคนไปเรียนที่อเมริกา มาจนถึงทุกๆวันนี้  เมื่ออยู่ทางอเมริกา ระยะแรกก็ไปมาหาสู่ประเทศไทยทุกๆ 4-5 ปี ปัจจุบันเพื่อนฝูงออกจากราชการและล้มหายตายจากกันไปมาก ระยะหลังจึงไม่ค่อยได้กลับมาบ่อยนัก  แต่ก็สนุกกับการสนทนาในพันทิป โดยเฉพาะกับเพื่อนพันทิปเก่าๆหลังไมค์ ทั้งที่อยู่ในไทยและในยุโรป สิ่งที่ชอบมากในไทยคือมีสนามกอล์ฟชั้นหนึ่งเกือบทุกๆจังหวัดและอำเภอ โดยเฉพาะที่ภูเก็ต (Blue Canyon Country Club)

เพื่อนๆในห้องศาสนารุ่นเก่าๆ เมื่อผมเขียนตำหนิการสอนและการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม ของมุสลิมบางสังคม บางประเทศ ผมได้รับเสียง เม้นสนับสนุนกันมากมายจากพุทธสมาชิกบางคนในที่นี้, แต่ในระยะหลังเมื่อผมเขียนเกี่ยวกับสังคมไทย และอธิบายหลักการของอิสลามที่ถูกพวกเกรียนล้อเลียน ก็ถูกทัวร์ลงอย่างอย่างหยาบคายที่เห็นในปัจจุบันนี้ บางคนถึงห้ามผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องพุทธศาสนาอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็อดไม่ได้ตามนิสัยของ นักวิชาการ (So-called)  ที่จะต้องเขียน เกี่ยวกับพุทธศานา ซึ่งผมได้เรียนรู้มาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เพื่อให้เยาวชนทั้งสองศาสนาได้เข้าใจหลักคำสอนของทั้งสองศาสนา จะได้ไม่มีการล้อเลียนความศรัทธาของกันและกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดจรรยาธรรมของทั้งพุทธศาสนาและศาสนาอิสลาม

ความเป็นคนไทยของผม เกิดเป็นคนไทย ความรู้สึกในความรักสังคมไทยและชาวไทยย่อมไม่เปลี่ยนแปลงไปได้เลย เพื่อนฝูงในอเมริกา สมัยเมื่อเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ทีทำมาหากินอยู่ในอเมริกา ก็มีอยู่มากพอสมควร ส่วนมากคุยกันทาง LINE และทางโทรศัพท์ เพราะเมืองที่ผมอยู่ไม่มีคนไทยอยู่เลย นอกจากภรรยาและถ้าคิดถึงกันมากๆก็ไปมาหาสู่กันบ้างเป็นครั้งคราว วันนี้ผมจะนำประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนานิกาย มหายาน ในประเทศไทย โดยเฉพาะใน กทม. มาเล่าสู่กันฟัง

"มหายาน" เป็นนิกายของพระพุทธศาสนาของภิกษุฝ่ายเหนือของอินเดีย บางทีเรียก "อุตรนิกาย" (นิกายฝ่ายเหนือ) บ้าง "อาจารยวาท" บ้าง ซึ่งมีจุดมุ่งสอนให้ระงับดับกิเลส ทั้งยังได้แก้ไขคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้ผันแปรไปตามลำดับ พวกนี้เรียกลัทธิของตนว่า "มหายาน" ซึ่งแปลว่า "ยานใหญ่" อาจพาประชาชนให้ข้ามวัฏสงสาร คือ ความทุกข์จาการเวียนว่ายตายเกิดได้คราวละมาก ๆ นิกายนี้ได้เข้าไปเจริญรุ่งเรื่องอยู่ในประเทศทิเบต จีน มองโกเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม

    
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๓๕ / เรื่องที่ ๑ วัดจีน / พระพุทธศาสนานิกายมหายานในประเทศไทย

พระพุทธศาสนานิกายมหายานในประเทศไทย
ชุมชนชาวจีนที่ยังอยู่รวมกันเป็นหลักแหล่งมาจนถึงทุกวันนี้ คือ ย่านเยาวราช ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาวจีนกลุ่มภาษาแต้จิ๋ว ฮากกา กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน บริเวณนี้ยังมีศาลเจ้าประจำกลุ่มภาษาหลงเหลืออยู่ ในย่านเยาวราชมีวัดจีนแห่งแรก ได้แก่ วัดบำเพ็ญจีนพรต ปีที่มีการก่อสร้างวัดยังไม่ทราบแน่ชัด แต่หากคาดคะเนจากแผ่นป้ายที่เก่าแก่ที่สุดในวัดคือ พ.ศ. ๒๓๓๘ จึงทำให้สันนิษฐานได้ว่า อาจมีวัดแห่งนี้มาแล้วอย่างน้อยตั้งแต่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๘ ซึ่งตรงกับรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพัฒนาจาก สำนักพระโพธิสัตว์กวนอิม ที่เป็นศูนย์รวมความเชื่อของชาวจีนในย่านเยาวราช และได้พัฒนาสร้างเป็นวัดตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยมีพระอาจารย์สกเห็ง ผู้เลื่อมใสในจีนนิกายเข้ามาเผยแผ่แก่ชาวจีนในย่านนี้ ต่อมา ชาวจีนได้ร่วมกันบริจาคทุนทรัพย์สร้างเป็นวัดจีนแห่งแรก แต่เนื่องจากอาณาเขตของวัดถูกกำหนดด้วยอาคารตึกแถว ดังนั้นวิหารต่างๆ ภายในวัดจึงตั้งอยู่ตามช่วงชั้นของอาคาร แรกเริ่มชาวจีนเรียกชื่อวัดนี้ว่า หย่งฮกอำ (แต้จิ๋ว) แล้วเปลี่ยนเป็น หย่งฮกยี่ (แต้จิ๋ว) ต่อมา ได้รับพระราชทานนามว่า วัดบำเพ็ญจีนพรต จากหลักฐานแผ่นหินที่สลักเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาในการจัดสร้างวัด ได้กล่าวไว้ว่า มีการบูรณะวัด ใน พ.ศ. ๒๕๐๘


ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น พระพุทธศาสนานิกายมหายานได้แพร่หลายในหมู่ชาวจีนแล้ว คาดว่า คงเข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทย พร้อมๆ กับชาวจีนที่อพยพมาตั้งแต่สมัยอยุธยา หลังจากนั้นก็มีความเจริญมากยิ่งขึ้นในสมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สำหรับการสร้างพระอารามทางพระพุทธศาสนานิกายมหายาน เชื่อกันว่า ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๔ คงมีวัดจีน และวัดญวน เกิดขึ้นไม่น้อยกว่า ๑๐ แห่ง จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงเห็นความสำคัญของศาสนสถาน ที่เป็นของชาวจีนอย่างแท้จริง จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบจีนคือ วัดเล่งเน่ยยี่ เมื่อการสร้างวัดเล่งเน่ยยี่สำเร็จ ได้พระราชทานนามว่า วัดมังกรกมลาวาส โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร หรือพระอาจารย์สกเห็ง พระบูรพาจารย์แห่งจีนนิกาย ผู้ริเริ่มสร้างวัดบำเพ็ญจีนพรต เป็นเจ้าอาวาสวัดเล่งเน่ยยี่ด้วย การพระราชทานสมณศักดิ์ในครั้งนั้น เป็นการพระราชทานสมณศักดิ์แก่พระสงฆ์จีนนิกายมหายานรูปแรก พระอาจารย์สกเห็งเป็นพระที่มีความเมตตา และเชี่ยวชาญทางด้านวิปัสสนากรรมฐาน

วัดมังกรกมลาวาสเป็นวัดจีนที่สร้างขึ้นต่อจากวัดบำเพ็ญจีนพรต เดิมตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๔๒๓ ถนนเจริญกรุง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ซึ่งคับแคบ จึงประสงค์จะสร้างวัดใหม่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เลือกชัยภูมิที่ตั้งวัดใหม่ ในเนื้อที่ ๔ ไร่ ๑๘ ตารางวา และให้พระยาโชฎึกราชเศรษฐี เจ้ากรมท่าซ้าย ร่วมกับพุทธศาสนิกชนชาวจีนดำเนินการก่อสร้างใน พ.ศ. ๒๔๑๔ ใช้ระยะเวลาก่อสร้างรวม ๘ ปี จึงแล้วเสร็จ 

หลังจากมีการสร้างวัดจีนที่กรุงเทพฯ แล้ว พระพุทธศาสนานิกายมหายานได้มีความเจริญมากขึ้น พระอาจารย์จีนจำนวนมาก ต่างเดินทางจากประเทศจีน เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกรุงเทพฯ และยังกระจายไปยังที่ต่างๆ อีกด้วย จากประวัติของพระอาจารย์โพธิ์แจ้ง ในหนังสือ อนุสรณ์งานบำเพ็ญกุศลของพระอาจารย์โพธิ์แจ้ง ครบ ๑๐๐ ปี บทความสงฆ์จีนนิกายตอนหนึ่งกล่าวว่า ท่านได้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทย ใน พ.ศ. ๒๔๗๐ ในขณะที่มีอายุย่างเข้าปีที่ ๒๖ ท่านได้สืบเสาะหาพระอาจารย์ที่มีภูมิความรู้สูง มีคุณวุฒิ และมีบารมี จึงได้ขอถวายตัวเป็นศิษย์ของพระอาจารย์หล่งง้วน ที่สำนักสงฆ์ถ้ำประทุน (เช็งจุ้ยยี่) ซึ่งอยู่ที่พระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และขอให้พระอาจารย์หล่งง้วนเป็นพระอุปัชฌาย์ ทำการบรรพชาให้ในวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ ได้ฉายานามว่า “โพธิ์แจ้ง” จากหนังสือของท่านทำให้ทราบว่า ที่พระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี นอกจากจะมีวัดจีนและพระจีนซึ่งเป็นที่เลื่อมใสของบรรดาพุทธศาสนิกชนชาวจีนแล้ว สำนักสงฆ์หมี่กัง อยู่ที่สะพานอ่อน กรุงเทพฯ ก็เป็นแหล่งรวมศรัทธาความเชื่อของชาวจีนอีกแห่งหนึ่ง โดยตอนหนึ่งในหนังสือเป็นบทความเรื่อง “ความเจริญของคณะสงฆ์จีนนิกาย” กล่าวว่า ภายหลังจากที่วัดจีนก่อเกิดขึ้นในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว พระสงฆ์จีนได้เดินทางเข้ามาจำพรรษาในประเทศไทยมากขึ้นเป็นลำดับ พระสงฆ์จีนบางรูปยังได้ทำการสร้างสำนักสงฆ์กระจายอยู่ทั่วไปในกรุงเทพฯ 


ปัจจุบันจำนวนวัดและสำนักสงฆ์ที่ปรากฏในทะเบียนวัดและสำนักสงฆ์ฝ่ายจีนนิกาย มีรวมทั้งสิ้น ๑๗ แห่ง ดังนี้
๑. วัดโพธิ์แมนคุณาราม (กรุงเทพฯ) 
๒. วัดมังกรกมลาวาส (กรุงเทพฯ)
๓. วัดบำเพ็ญจีนพรต (กรุงเทพฯ)
๔. วัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม (จังหวัดเชียงราย)
๕. วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (วัดเล่งเน่ยยี่ ๒) (จังหวัดนนทบุรี)
๖. วัดโพธิ์เย็น (จังหวัดกาญจนบุรี)
๗. วัดฉื่อฉาง (จังหวัดสงขลา)
๘. วัดโพธิทัตตาราม (จังหวัดชลบุรี)
๙. วัดเทพพุทธาราม (จังหวัดชลบุรี)
๑๐. วัดทิพยวารีวิหาร (กรุงเทพฯ)
๑๑. วัดมังกรบุปผาราม (จังหวัดจันทบุรี)
๑๒. วัดเมตตาธรรมโพธิญาณ (จังหวัดกาญจนบุรี)
๑๓. วัดจีนประชาสโมสร (จังหวัดฉะเชิงเทรา)
๑๔. วัดเล่งจิ๋วเจงเสี่ย (เขตดินแดง กรุงเทพฯ)
๑๕. สำนักสงฆ์สุธรรม (เขตบางแค กรุงเทพฯ)
๑๖. สำนักสงฆ์กวงเม้งเจงเสี่ย (เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ)
๑๗. สำนักสงฆ์กั๊กฮึ้งเนี่ยมฮุกลิ้ม (เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่