JJNY : กมธ.มั่นคงห่วงเข้ากลุ่ม BRICS│“นรินท์พงศ์”ชี้ทางออกเดียว│ตต.ขึ้นราคาหมูหน้าฟาร์ม 2 บาท│“เบอริล”พุ่งเป้าเม็กซิโก

กมธ.มั่นคงแห่งรัฐฯห่วงเข้ากลุ่ม BRICS สร้างผลร้ายต่อประเทศ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_741940/
 
 
กมธ.มั่นคงแห่งรัฐฯ ชี้เข้ากลุ่ม BRICS อาจไม่ได้ตอบสนองต่อผลประโยชน์ของประเทศ อาจทำไทยดำเนินนโยบายต่างประเทศที่อาจไม่เป็นกลาง สร้างผลร้ายต่อประเทศไทยได้
 
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ แถลงข่าวการพิจารณาผลกระทบและประโยชน์ รวมถึงยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย กรณีที่ไทยเข้าร่วมกลุ่ม BRICS และไม่ลงนามในการแถลงการร่วมหลังการประชุมสุดยอดสันติภาพยูเครน ณ สมาพันธรัฐสวิส
  
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การพูดคุยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ยังไม่ได้มีรายละเอียดที่ชัดเจนเท่าไหร่ ได้คำตอบว่า ประเทศไทยส่วนมากมักจะเข้าร่วมกับทุกกลุ่มอยู่แล้ว ซึ่งกลุ่มบริกส์ไม่มีความชัดเจนในมิติทางเศรษฐกิจ แต่ในเรื่องความมุ่งหมายทางการเมืองค่อนข้างชัดเจนกว่า อาจทำให้ประเทศไทยกำลังดำเนินนโยบายทางการต่างประเทศ ที่อาจไม่เป็นกลาง และอาจสร้างผลร้ายต่อประเทศไทยได้
  
หนึ่งในประเด็นที่มีการชี้แจงใน กมธ. คือ กลุ่มบริกส์ให้ความสำคัญเรื่อง Local Currency ซึ่งอาจเป็นเงินสกุลตราหยวนในบั้นปลาย การเข้าร่วมกลุ่มบริกส์อาจไม่ได้ตอบสนองต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยเท่าไหร่ เนื่องจากประเทศที่มีความสำคัญที่เป็นส่วนหนึ่งของผู้ก่อตั้งกลุ่มบริกส์มีวาระของตัวเอง โจทย์ของประเทศไทยคือจะแก้ปัญหาการขาดทุนทางการค้าได้อย่างไร หากเป็นแบบนี้ต่อไปอาจมีปัญหาความมั่นคง ระหว่างประเทศตามมา โดยเฉพาะช่วง ก.ย. – ต.ค. ซึ่งจะมีการประชุมสำคัญที่สหพันธรัฐรัสเซีย
 
ส่วนเรื่องการไม่ลงนามในการแถลงการร่วมหลังการประชุมสุดยอดสันติภาพยูเครน ณ สมาพันธรัฐสวิสเบื้องต้น ได้รับแจ้งว่า ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ลงนามเลย เพียงแต่อาจจะต้องผ่านการพิจารณาโดยคณะรัฐมนตรีหาก กมธ.มีความประสงค์ที่อยากให้ไทยร่วมลงนามก็สามารถแสดงความคิดเห็นถึงกระทรวงการต่างประเทศได้ ทั้งนี้ ยังไม่เห็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับไทย จึงมีการหารือว่าต้องมีการสนับสนุนให้มีการร่วมลงนาม ในแถลงการณ์ดังกล่าว นำไปสู่การสร้างสันติภาพยูเครนต่อไป
 
ขณะเดียวกัน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ เดินทางไปดูงานที่ประเทศโปแลนด์ พบว่า มีข้อมูลตัวเลขที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการรับมือผู้ลี้ภัยชาวยูเครนกว่า 20 ล้านคน ซึ่งสามารถทำทะเบียนประวัติ และสร้างระบบ การตรวจพิสูจน์บุคคลขึ้นมา เพื่อให้การเข้าออกประเทศทำได้ง่ายขึ้น รวมถึงให้สิทธิในหลายเรื่อง ทั้งการศึกษา การทำงาน เป็นสิ่งที่นำมาใช้เรียนรู้ได้
 
นอกจากนี้ เรื่องการเสริมสร้างการใช้เทคโนโลยี อย่างเสาที่สามารถใช้ AI ระบุว่าสิ่งที่ผ่านเซ็นเซอร์ของเสานี้คืออะไร ไม่ว่าจะสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิต เป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบ โดยเฉพาะบริเวณแม่น้ำโขงที่มีการขนส่งยาเสพติดจำนวนมาก เหมาะสมที่จะเสริมสร้างเทคโนโลยีนี้เข้าไป รวมถึงมีหน่วยงาน Polish Border Guard เป็นองค์กรเฉพาะในการตรวจสอบชายแดน และยังทำหน้าที่แทน ตม.สนามบินอีกด้วย
  
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า จากการลงพื้นที่ดังกล่าว ได้มีการพูดคุยกันใน กมธ. และได้ข้อสรุปว่า จะกระทำตามนี้
 
1. ตั้งอนุศึกษา (Border Control) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ ที่จะจัดตั้งหน่วยงานดูแลชายแดนเป็นการเฉพาะ รวมถึงบริเวณสนามบินต่าง ๆ
2. ตั้งคณะทำงานเรื่องการใช้เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตามแนวชายแดน ซึ่งนายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ จะเป็นประธานคณะทำงานในการศึกษาครั้งนี้
3. มีข้อเสนอการศึกษาที่ดินของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่อยู่ตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นปัญหาต่อการขยับขยาย การเพิ่มประสิทธิภาพของแนวชายแดนประเทศไทย
 
อย่างไรก็ตาม คณะ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ ตั้งคณะทำงาน และจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฉบับที่… พ.ศ. … และร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฉบับที่… พ.ศ. … ซึ่งเป็นเรื่องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ในเรื่องการสอบสวน จะมีการจัดสัมมนาในวันที่ 30 ก.ค.ต่อไป และจะลงพื้นที่ จ.จันทบุรี ระยอง และตราด ในวันที่ 17-19 ส.ค. เพื่อดูประเด็นชายแดน เส้นเขตแดน และสิ่งแวดล้อม ที่เจอความท้าทายอย่างมาก แต่ยังไม่มีวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
 
นายรังสิมันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมาธิการความมั่นคงฯ จะหารือในประเด็นพบข้อมูลธนาคาร 5 แห่งเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินจัดซื้อออาวุธของรัฐบาลทหารเมียนมา โดยจะเชิญผู้เกี่ยวข้อง มาชี้แจงสัปดาห์หน้า เช่น ตัวแทนธนาคารแห่งประเทศไทย และตัวแทนธนาคารใหญ่ 5 แห่ง หากเป็นเรื่องจริงจะส่งผลกระทบต่อไทยที่อาจถูกมองว่ามีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับความรุนแรงในเมียนมา


 
“นรินท์พงศ์”ชี้ทางออกเดียว ปัญหาเลือกสว.วุ่น! ต้องแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้น
https://www.dailynews.co.th/news/3606854/

“นรินท์พงศ์” นายกสมาคมทนายฯ ชี้ความวุ่นวายที่เกิดจากการเลือก สว. มาจากรัฐธรรมนูญ คสช. ทางออกเดียวที่สางปัญหาเรื่องนี้ ต้องแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้น

เมื่อวันที่ 5 ก.ค. นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์บันทึกจากนายกสมาคมทนายความฯ ว่า
 
ความวุ่นวายที่เกิดจากการเลือก สว. ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณสมบัติและวิธีการได้มา เกิดจากรัฐธรรมนูญที่ คสช. ต้องการให้ สว. ชุดแรกมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีเพื่อให้หัวหน้า คสช. ได้สืบทอดอำนาจทางการเมืองต่อ แต่ทิ้งปัญหาไว้ให้คนรุ่นหลังต้องหาทางแก้ไขกันเอง
 
ประเด็นสำคัญลำดับแรกที่ต้องพิจารณาคือ การที่ประเทศไทยซึ่งเป็นรัฐเดี่ยวจำเป็นต้องมี สว. หรือไม่ ซึ่งหากคำตอบคือประเทศไทยคุ้นชินกับการมี สว. ถึงขนาดมีการก่อสร้างห้องประชุม สว. ไว้เป็นการถาวรแล้ว ก็จะต้องตอบคำถามต่อไปว่า “จะให้ สว. ทำหน้าที่อะไร” เพื่อนำมาสู่การกำหนดคุณสมบัติและวิธีการเข้าสู่ตำแหน่ง ให้เหมาะสมกับหน้าที่และอำนาจของ สว. ต่อไป
 
สำหรับคุณสมบัติและวิธีการได้มาซึ่ง สว. ชุดเลือกกันเอง มีความย้อนแย้งและไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญหลายประการ เช่น รัฐธรรมนูญมาตรา 114 บัญญัติให้ สส. และ สว. เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย แต่ สว. กลับมาจากการเลือกกันเอง โดยประชาชนถูกกันออกไม่ให้มีส่วนร่วม รวมทั้งผู้ที่ได้รับเลือกได้คะแนนคนละหลักสิบ สูงสุดไม่ถึง 80 คะแนน แต่ให้เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยจึงย้อนแย้งและขาดการยอมรับจากประชาชน
 
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐธรรมนูญยังให้ สว. ทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย โดยบัญญัติให้ส่งร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติให้ความเห็นชอบ แล้วให้วุฒิสภาพิจารณาตามมาตรา 136 และให้อำนาจ สว. เข้าชื่อต่อประธานเพื่อส่งร่าง พ.ร.บ. และ พ.ร.ก. ที่เห็นว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 148 และ 173
 
อีกทั้งการลงมติตั้ง ส.ส.ร. เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องพึ่งเสียง สว. อย่างน้อย 1 ใน 3 ของสภาแต่การที่ สว. เลือกกันเองชุดนี้ไม่ได้มาจากฉันทามติของประชาชนทั่วประเทศ ดังนั้น สว. จะทำหน้าที่ให้ตรงตามเจตนารมย์และความต้องการที่แท้จริงของประชาชนได้อย่างไร จึงเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่เผด็จการทิ้งไว้ให้ ซึ่งทางออกทางเดียวของการแก้ปัญหาดังกล่าวคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น ฉะนั้นจากเหตุผลดังกล่าว สว. จะยอมให้แก้รัฐธรรมนูญหรือ

https://www.facebook.com/lawyerassn/posts/pfbid0TFtDhgKvJZgAnRnTvJgZEVXXnzAtFwYJw1bvgLmTxmDmg8KvVtHAoi6wKCZ1VcxKl-dfuFHNSypdvWmftN3rhoQU4Tc11EBRnKilxzfSKzS_oDWusXuhIZKZUb8RveHG-pXjW1vnRpk64&__tn__=%2CO%2CP-R


 
ภาคตะวันตกขึ้นราคาหมูหน้าฟาร์ม 2 บาท วันนี้ (5 ก.ค.)
https://www.prachachat.net/economy/news-1600882

วันนี้ (5 ก.ค. 67) ภาคตะวันตกขึ้นราคาหมูหน้าฟาร์ม 2 บาท/กก. แตะ 72 บาท/กก. แต่ยังต่ำสุดเมื่อเทียบกับทุกภาค สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือทำหนังสือร้องเรียนกรมการค้าภายในช่วยกำกับโปรโมชั่นค้าปลีกโมเดิร์นเทรด
 
วันที่ 5 กรกฎาคม 2567 นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติปรับราคาสุกรหน้าฟาร์มขึ้น กก.1-2 บาท เฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันตก จ.นครปฐม และราชบุรี จากที่ปรับขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2567 กก.ละ 2 บาท ทั่วประเทศ

สำหรับรายงานข้อมูลราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มเทียบกับครั้งก่อนหน้าจะมีรายละเอียด ดังนี้
 
• ภาคตะวันตก ขยับเป็น 72 บาท/กก.
• ภาคตะวันออก ทรงตัว 70-74 บาท/กก.
• ภาคอีสาน ทรงตัว 72-74 บาท/กก.
• ภาคเหนือ ทรงตัว 75-78 บาท/กก.
• ภาคใต้ ทรงตัว 76 บาท/กก.
 
ขณะที่สมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ ประกาศ ราคาหมูขุน 76 บาท/กก. สุกรซึก 88 บาท/กก. แม่พันธุ์ตัดแต่ง 45 บาท/กก. ส่วนลูกสุกร 1,800 บาท บวกลบ 76 บาท
 
ขณะที่นายสุนทราภรณ์ สิงห์ลีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ ได้ทำหนังสือถึงกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ในช่วงวันที่ 20 มิถุนายน 2567 ถึง 2 กรกฎาคม 2567 ห้างแม็คโครมีการกำหนดราคาจำหน่ายปลีกจำหน่ายส่งอันไม่เป็นธรรม สร้างผลสะท้อนกลับมายังผู้ผลิตสุกรในพื้นที่

กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตสุกร ที่มีการคำนวณเป็นรายไตรมาส ทราบถึงความเคลื่อนไหวของต้นทุนการผลิตสุกรเป็นอย่างดี แต่กลับปล่อยปละละเลย ให้มีการกำหนดราคาซื้อสุกรหน้าฟาร์มและการจำหน่ายปลีกเนื้อสุกรอันไม่เป็นธรรม ที่สร้างผลสะท้อนกลับมายังผู้ผลิตสุกรหน้าฟาร์ม เป็นระยะเวลาอย่างยาวนาน
 
กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ มีอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ที่จะต้องกำกับดูแลในประเด็นการกำหนดราคาซื้อ ราคาจำหน่าย และเงื่อนไขทางการค้าให้มีความเป็นธรรม
 
โดยสามารถบังคับใช้กฎหมายได้ทันทีในกลุ่มสินค้าควบคุม ตามประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการในแต่ละปี โดยสุกรและเนื้อสุกรเป็นสินค้าควบคุม ที่ต้องกำกับดูแลในบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวนี้
 
ขอร้องเรียนให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการกับการกำหนดราคาซื้อราคาจำหน่าย สำหรับสุกรและเนื้อสุกรให้มีความเป็นธรรมและสอดคล้องกับต้นทุนโดยทันที ซึ่งหลังจากวันที่ลงในหนังสือฉบับนี้เป็นระยะเวลา 15 วัน ถ้าปรากฏไม่มีการดำเนินการใด ๆ ผู้ร้องจะใช้สิทธิของการเป็นพลเมืองไทยร้องในขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการโดยด่วน
 
ทั้งนี้ สมาคมได้เคยร้องเรียนผ่านห้างแม็คโครมาตลอดระยะเวลา 1 ปี เกี่ยวกับการตั้งราคาจำหน่ายปลีกที่ต่ำมาก ซึ่งไม่รู้ว่ามีการนำเนื้อสุกรมาจากไหน จึงตั้งราคาได้ต่ำขนาดนั้น ในขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงสุกรปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับ 78-80 บาทต่อกิโลกรัม การตั้งราคาจำหน่ายปลีกในส่วนของเนื้อแดง
เช่น สะโพกและหัวไหล่ต่ำมากเกินไป ทำให้พ่อค้านำมาเป็นเกณฑ์อ้างอิงในการกดราคาหน้าฟาร์ม ซึ่งตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศยังคงได้ราคาต่ำกว่าต้นทุน และเลิกประกอบอาชีพกันไปแล้วเป็นจำนวนมากพร้อมกับภาระหนี้ติดตัว ในขณะที่ฟาร์มขนาดกลางมีการลดกำลังการผลิตลงมาโดยเฉลี่ย 30-50% ทั้งประเทศ สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ และปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนให้เติบโตยิ่งขึ้น
 
พร้อมกันนี้ นายสุนทราภรณ์ ได้เดินทางมายื่นหนังสือเรื่องเดียวกัน ให้กับห้างแม็คโคร สาขาเชียงใหม่ และสาขาลำพูน มีผู้จัดการทั้งสองสาขามารับเรื่อง โดยรับว่าในวันพรุ่งนี้จะมีการปรับราคาจำหน่ายปลีกขึ้นในส่วนของเนื้อแดง ที่เป็นส่วนของสะโพก และหัวไหล่ จากราคา 103 ต่อกิโลกรัม เป็น 115 บาทต่อกิโลกรัม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่