[CR] ค่ายกักกันเอาท์วิช แบบไปเอง Auschwitz-Birkenau Krakow Poland

เรื่องมีอยู่ว่า เรามีเวลาอยู่ Krakow 3 วันเท่านั้น 
และมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องไปค่ายกักกันเอาท์วิชให้จงได้
ที่จริงเคยไปแล้วเมื่อปี 2016 แต่ว่ารอบนี้เพื่อนๆ ยังไม่เคยไป
หนก่อน ซื้อทัวร์ 1 วันไปจาก krakow มีรถพาไป มีไกด์เช้ายันเย็น ราคาก็แรงอยู่ ประมาณ 2700 บาท ต่อคน

รอบนี้อยากลองไปเองดู เมื่อกูเกิ้ลแมพในมือถือมันดีขนาดนี้แล้วไม่เหมือนสมัยก่อนไม่น่าไปยากก็เลยไปหาเอาข้างหน้า
แต่.. เราพบว่ามันไปยากแหะ สำหรับคนไม่มีข้อมูล



เริ่มจากเดินไปคุยกับศูนย์ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวในเมือง ทุกรายบอกให้ไปกับทัวร์ หรือไม่ก็ต้องจองคิวในเนทก่อนนะ เพื่อจองรอบการเข้า ชำระเงิน (ประมาณ 1100บาท) แล้วถึงจะขึ้นรถบัส,รถไฟไปได้ เราก็ยืนงงว่าถ้าไม่จองคือเข้าไม่ได้หรอ.. มันไม่น่าเป็นไปได้นะ

ลองเสริชดูจ้าละหวั่น พบว่าข้อมูลในเนทนั้นไม่ตรงกัน
บางทีอาจเพราะเป็นข้อมูลเก่า บางแห่งบอกว่าไปได้โดยไม่ต้องจอง ไม่เอาไกด์ก็เข้าฟรีได้ บางแห่งบอกว่าไม่ได้ต้องจองเท่านั้น งงไปสิ

กว่าจะรู้ว่ามันไปยังไงก็เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์เผื่อมีใครสนใจไป จะได้ไม่งงตาแตกเหมือนอย่างเราง

ก่อนอื่นเลยขอทำความเข้าใจกันก่อน

ค่ายกักกันเอาท์วิช ที่ที่เรียกได้ว่าเป็นโรงงานของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
1. ไม่เหมาะสำหรับ
1.1 ผู้ไม่สนใจประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่งั้นไปแล้วจะไม่อิน ไม่เข้าใจและคิดว่ามันเสียเวลามาทำไมว้า
1.2 ผู้ที่ไม่อยากรับรู้เรื่องเศร้า หดหู่ มีความเศร้าในจิตใจ
1.3 ผู้ที่อายุต่ำกว่า26ปี โลกยังสวยดีอยู่ไม่แนะนำให้ไป

2. การเดินทาง มีรถบัสจาก สถานีรถบัส Krakow ออกทุกวัน ราวๆ1ชม./คัน ค่ารถ20ztต่อเที่ยวจ่ายสดบนรถไม่ต้องจอง 90นาทีถึงหน้าทางเข้า ขากลับรอที่เดิม รถไฟไม่แนะนำเพราะสถานีห่างจากทางเข้าเกือบ2กิโลเมตร นั่งรถไฟไปถึงก็ต้องต่อรถแท๊กซี่อีก 

สถานีรถบัส อยู่ติดสถานีรถไฟกลางของเมือง และติดกับห้างสรรพสินค้า ตอนเดินไปครั้งแรกจะงงๆหน่อย แต่หาไม่ยากเดินตามป้ายไปเลย


3. การจองตั๋ว
ถ้าต้องการเข้าชมแบบมีไกด์พาชมต้องจองรอบไกด์ในเวป ซึ่งมีรอบภาษาต่างๆ ตามที่ระบุไว้บนกระดาษนี้ ค่าไกด์110zt ต่อคน(ประมาณ 1100บาท) ถ้าไม่อยากจองนั่งรถไปเลยที่ทางเข้าขายบัตรจะมีรอบบอกว่ากี่โมงภาษาอะไร เหลืออีกกี่ที่ ถ้าไปวันหยุดอาจไม่มีที่เหลือ ราคา110เท่ากัน

ซึ่ง.. ความแปลกที่หาไม่เจอในเนทก็คือ ที่หน้างาน มันมีรอบเพิ่มมากกว่าที่ปรากฏบนเวปไซด์ หรือกระดาษข้างบนนี้ ซึ่งทำให้เรามีโอกาสเข้าชมมากขึ้นมากๆ เพราะว่าส่วนมากถ้าจองรอบไกด์ในเวปไซด์ล่วงหน้าแค่1-2 วัน มักจะขึ้นว่าเต็มหมดแล้ว หรือเหลือแต่รอบภาษาแปลกๆ เช่น รัสเซีย อะไรงี้ แต่ความจริงคือนั่งรถไปเลย มีรอบแหละ แต่อาจจะต้องรอหน่อย ถ้าคนเยอะมาก (ไม่แนะนำให้ไปวันหยุดเพราะคนเยอะ)

ถ้าไม่อยากมีไกด์ ต้องไปทางเข้าเพื่อรับตั๋วเข้าฟรี หลัง16.00น.เท่านั้น (ปิด18.00น.)

รถที่ไป/ตรงเวลาดี นั่งสบาย ราคาไม่แพง


4. ถ้าไม่อยากปวดหัว ในเมืองkrakowมีทัวร์ขายราคาคนละ 270zt มีบางทัวร์ขายพ่วงกับเหมืองเกลือใน 1 วันด้วย แต่ราคาราว 350zt
5. ต้องพกอาหารกลางวันมาทานเอง ที่นั่นร้านอาหารไม่มี อยู่ระหว่างการปรับปรุง ถ้าไปฤดูร้อนควรพกน้ำดื่มมาด้วย พื้นที่กลางแจ้งอากาศร้อนมาก

6. ห้องน้ำฟรี/ มีรถเมล์วิ่งฟรี 10นาทีคันนึง ระหว่าง เอาท์วิชและค่าย Birkenua ขึ้นกี่รอบก็ได้
7. ไกด์จะพาเดินชม เล่าตั้งแต่ว่าเกิดอะไร กระบวนการฆ่าทำยังไง เหยื่อคิดอะไร ฝ่ายค่ายคิดอะไรหลอกว่ายังไงกัน ได้เข้าไปชมในห้องรมแก๊สของจริงด้วย1แห่ง ผอ.ค่ายถูกแขวนคอที่ไหน นักโทษที่พยายามหนีต้องเจอกับอะไร สภาพความเป็นอยู่ของคนที่ถูกใช้แรงงานเป็นยังไง..
ใช่..มันหดหู่น่าเศร้ามาก แต่นี่คือที่ที่เราจะจดจำและเรียนรู้เพื่อก้าวต่อไป..

จากจุดตรวจตั๋ว เดินมาไกลพอสมควร ไกด์จะพาเข้าเป็นรอบๆ จุดแรกก็คือการให้ดูวีดีโอ เกี่ยวกับค่ายแห่งนี้ แล้วถึงเริ่มต้นการเดินทัวร์
นี่คือประตูทางเข้า ซึ่งเขียนภาษาเยอรมัน แปลได้ว่า การทำงานหนักจะนำมาซึ่งอิสระภาพ ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่มีความจริงเลย

ค่ายแห่งนี้เปิดใช้งานในสงครามโลกครั้งที่ ตั้งแต่ 1940 และสิ้นสุดลงเมื่อต้นปี 1945 
มีชาวยิวเสียชีวิตที่นี่มากกว่า 1 ล้านคน 

เมษายน 1946 รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมและศิลปของโปแลนด์ เห็นความสำคัญของพื้นที่แห่งนี้ ได้มีการนำอดีตนักโทษกลุ่มหนึ่งกลับเข้าไปดูแลปกป้องพื้นที่ของค่าย และหลังจากนั้นก็มีการจัดตั้งพิพิธภัณ์ฑ์ ในปี 1947 และยื่นเรื่องขอให้อนุรักษ์ไว้ในฐานะที่ "เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ"

ไกด์จะเริ่มเล่าตั้งแต่ต้นว่านาซีมีขั้นตอนอย่างไร เมื่อพวกชาวยิว หรือใครก็ตามที่เยอรมันตีความว่าเป็นศัตรูถูกส่งมาที่นี่
เริ่มจากคัดแยกคน ชาย หญิง เด็ก คนแก่ คนพิการ

โดยมาก คนส่วนมากจะจบชีวิตตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเพราะถูกคัดออกว่าไม่มีประโยชน์จะเลี้ยงไว้ ส่วนคนที่รอดได้อยู่ต่อก็จะถูกใช้แรงงานอย่างหนัก กับอาหารที่ไม่เพียงพอ และสุขอนามัยอันย่ำแย่ จนทยอยจากไปเอง (แอน แฟรงค์ก็เป็น 1 ในนั้น)

จากภาพ ในแต่ละโซน จะมีรั้วคั่นพร้อมหอคอย ถ้าพบใครพยายามหลบหนี ก็คือยิงทิ้ง หรือไม่ก็ลงโทษหนัก

ภายในค่ายนั้นกว้างใหญ่มาก พื้นที่รวมประมาณ พันกว่าไร่(191เฮกเตอร์) หากเราเข้าพร้อมไกด์ ไกด์จะพาไปชมจุดไฮไลท์ (แต่ก็มีบางจุดที่เป็นไฮไลท์แต่ไม่ให้เข้าชม เช่นอาคารที่มีไว้ในนักวิทยาศาสตร์จับคนยิวมาทดลอง) 

ส่วนที่ไกด์พาชม ก็คือส่วนที่เก็บรวบรวมสิ่งของต่างๆ อาทิ.. กระเป๋าเดินทางของเหยื่อ, เส้นผม (ซึ่งนำมาทอเป็นพรมและห้ามถ่ายรูป), กองกระป๋องสารเคมี ที่มีไว้รมแก๊ส เป็นต้น ทุกอย่างนั้นกองเป็นภูเขาในห้องกระจก 


นี่คือ 1 ในอาคารที่รวบรวมของสำคัญที่ไกด์พาเดินชม

ในการเดินชมนั้น มีหลายจุดที่ห้ามถ่ายภาพ เพื่อให้เกียรติแก่ผู้ตาย อาทิ ห้องขังเกี่ยวทรมานนักโทษ แต่ที่เป็นไฮไลท์ที่สุด คงหนีไม่พ้น ห้องรมแก๊ส ที่แม้ว่าช่วงท้ายของสงคราม ทางนาซีจะพยายามทำลายหลักฐานของค่ายนี้ด้วยการระเบิดห้องรมแก๊สทิ้ง แต่ก็ยังมีเหลือรอดมาให้เราเดินเข้าไปชมข้างในจนถึงปัจจุบัน น่าเสียดายที่ไม่ได้ให้ถ่ายภาพ แต่เชื่อเถอะ เป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมจริงๆ 

นี่คือหนึ่งในเหยือที่เคยทำงานอยู่ที่ค่ายแห่งนี้


อาคารส่วนมากหน้าตาประมาณนี้ เดินผ่านเฉยๆ เข้าไม่ได้หลายอาคาร และบางอาคารก็มีการปรับปรุงอยู่
อีกแห่งที่ไกด์พาไปชมก็คือลานประหาร ผู้อำนวยการค่ายเอาท์วิช 
หากท่านใดเพิ่งได้ดูหนังเรื่อง The zone of Interest มา คงจะร้องอ๋อ เลย เพราะเขาคือ รูดอฟ เฮิส ผู้ที่หมกมุ่นอยู่กับการคิดว่าทำอย่างไรจะฆ่าชาวยิวให้ได้มากที่สุดโดยเสียทรัพยากรน้อยสุดและเป็นประโยชน์ที่สุด กับครอบครัวของเขา ที่มีชีวิตอย่างสุขสบาย อยู่ในพื้นที่ส่วนหนึ่งในค่าย (ซึ่งกั้นกำแพงไว้และไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม) กับถ้อยคำอันเจ็บแสบที่สุดของภรรยาที่พูดว่าชีวิตที่นี่ราวกับสวรรค์ชัดๆ นั่นเป็นสาเหตุว่า ทำไมเขาถึงได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในค่ายแห่งนี้

เมื่อสงครามสิ้นสุดลง เขาหลบหนีได้สำเร็จ แต่ภรรยาและลูกถูกจับตัวได้ จนถึงกับต้องเอาชีวิตภรรยากับลูกมาเป็นเดิมพัน เขาจึงยอมมอบตัวและ๔ูกสำเร็จโทษด้วยการแขวนคอที่ค่ายแห่งนี้ 


ที่ใกล้กันก็คือ Birkenau อีกค่ายหนึ่งที่ไม่ไกลกันนัก 
ไฮไลท์ของค่ายนี้ก็คือรางรถไฟที่ขนชาวยิวมาสิ้นสุดลงที่นี่และส่วนมากไม่เคยได้กลับออกไป


ที่ค่ายนี้ก็มีห้องรมแก๊สที่ถูกทำลายหลักฐานอยู่หลายแห่ง ทั้งยังมีโรงนอนอันแออัด ห้องสุขาที่ไม่มีคำว่าถูกสุขลักษณะ 
ในฤดูร้อนและหนาว ที่นี่จะทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าเพราะว่ามันทั้งหนาวเกินไปและร้อนเกินไป


ทั้งหมดนี้อาจเป็นประสบการณ์การเที่ยวที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก มันทั้งเศร้าและหดหู่ใจ แต่ถ้ามีโอกาส เราก็อยากให้ไปเยือนสักครั้งนะ
เรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อที่จะ.. ไม่ผิดพลาดอีก..

เมื่อสมัยยังเป็นวัยรุ่น เคยนึกสงสัยมากๆ ว่า มนุษย์เราจะมองคนอื่นว่าเป็นแค่เศษเดินที่ต้องถูกกำจัดทิ้งได้ยังไง
อย่างมากก็แค่เกลียดกันเหยียดกัน อยากให้คนนั้นคนนี้ตุย แต่ถึงขั้นจะอยากให้ชนชาตินั้นๆ (ที่เป็นใครก็ไม่รู้ไม่ได้รู้จักกันเลย)
ตุยให้หมดไปจากโลกนี้ มันเกิดขึ้นได้ยังไง..
วันนี้อาจจะยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด แต่ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำได้จริงๆ

ขออนุญาตปิดท้ายรีวิวนี้ด้วยพูดของนักปรัญชาชื่อดังชาว สเปน-อเมริกัน 
"ผู้ที่ไม่รู้จักเรียนรู้จากประวัติศาสตร์คือผู้ที่ถูกสาปให้ทำมันซ้ำอีก"


ขอบคุณที่อ่านจนจบ
ชื่อสินค้า:   เที่ยวค่ายกักกัน
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่