สวรรค์และนรกเป็นความเชื่อของคนบางกลุ่ม ซึ่งอาจมีจริงหรือไม่จริงก็ได้
เนื่องจากยังไม่มีผู้ใดได้ทำการพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ให้เห็นจริงว่า
สวรรค์และนรกมีจริงหรือไม่ ?
สวรรค์และนรกของแต่ละศาสนายังมีความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป
อีกทั้งแต่ละนิกายของศาสนาเดียวกัน ก็อาจมีความเชื่อที่แตกต่างกัน
สวรรค์และนรกที่ผมจะกล่าวถึงในกระทู้นี้
เป็นความเชื่อตามหลักศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ (คริสเตียน)
โดยอ้างอิงจากคัมภีร์ไบเบิล ฉบับแปลภาษาไทยของสมาคมพระคริสตธรรมไทย
ผมขอหยิบยกข้อความที่เป็นคำสอนของพระเยซูคริสต์และอัครสาวก (สาวกที่ได้ติดตามพระเยซูคริสต์อย่างใกล้ชิด)
มาประกอบในการพิจารณาว่าคำสอนแท้ของพระเยซูคริสต์
ที่กล่าวถึงเงื่อนไขในการไปสวรรค์และนรกว่าเป็นอย่างไร
นิยาม พระเจ้าในที่นี้หมายถึง พระเจ้าผู้ประเสริฐ (พระเจ้าผู้สูงสุด : God)
มีหลายครั้งที่พระเยซูคริสต์ได้กล่าวถึงการไปสวรรค์ (Heaven) โดยได้ใช้คำอื่นที่มีความหมายเหมือนกัน
เช่น ได้รับความรอด และมีชีวิตนิรันดร์ เป็นต้น แต่มีอีกคำหนึ่งที่คล้ายกับสวรรค์แต่ไม่ใช่สวรรค์
คือคำว่า เมืองบรมสุขเกษม (Paradise) ซึ่งก็คือสถานที่
ที่คนชอบธรรมได้ไปพักสงบชั่วคราวเพื่อรอวันพิพากษาโลก
โดยพวกเขาจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ในลำดับต่อไป พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถึงคนชอบธรรมอย่างน้อย 3 คน
ได้แก่ อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ที่ได้ไปอยู่ในเมืองบรมสุขเกษมแล้ว
แสดงว่าพวกเขาจะได้ไปสวรรค์อย่างแน่นอน
ดังนั้นความเชื่อของผู้ที่จะได้ไปสวรรค์ จะต้องสอดคล้องกับท่าทีของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ
โดยในคัมภีร์ไบเบิลได้บันทึกว่า
พวกเขามีความวางใจพระเจ้า และได้ประพฤติตามคำสอนของพระเจ้า
ผมเชื่อว่ามาตรฐานการไปสวรรค์ของพระเจ้า ทั้งในยุคก่อนและหลังพระเยซูคริสต์ประสูติ จะต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน
เพราะว่าความรอดมีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือทางของพระเยซูคริสต์ เพียงแต่ความรอดก่อนพระเยซูคริสต์ประสูติ
ก็คือทางของพระเจ้า เนื่องจากคริสเตียนเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในสถานะพระบุตร
ดังนั้นทางของพระเจ้าหรือทางของพระเยซูคริสต์จึงเป็นทางเดียวกัน ซึ่งจะนำให้มนุษย์ไปอยู่ในสวรรค์ชั่วนิรันดร์
พระเยซูคริสต์ได้ตรัสสอนดังนี้
มัทธิว 7:24,26
เพราะฉะนั้น
ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างบ้านของตนไว้บนศิลา
แต่ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่โง่เขลาสร้างบ้านของตนไว้บนทราย
ยอห์น 5:24
เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า
ถ้าใครฟังคำของเรา และวางใจผู้ทรงใช้เรามา
คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษา แต่ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว
=> ผู้ที่วางใจพระเจ้า และประพฤติตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ จะได้ไปสวรรค์
หมายเหตุ คำสอนของพระเยซูคริสต์ คือ รักทุกคน ไม่ทำบาป และมุ่งทำความดี
ยอห์น 6:47
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์
=> ผู้ที่วางใจพระเยซูคริสต์ จะได้ไปสวรรค์
มัทธิว 7:21
ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์
แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้
=> ไม่ใช่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคน จะได้ไปสวรรค์
แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น จึงจะได้ไปสวรรค์
อัครสาวกของพระเยซูคริสต์ได้สอนดังนี้
1 เปโตร 2:15-16
เพราะพระเจ้าทรงประสงค์จะให้พวกท่านระงับความโง่ของคนโฉดเขลาด้วยการทำดี
จงดำเนินชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพนั้นเป็นข้ออ้างเพื่อทำความชั่ว
แต่จงดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า
ยากอบ 2:14,17,22,24
พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ใครจะกล่าวว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ได้ประพฤติตามจะมีประโยชน์อะไร
ความเชื่อนั้นจะช่วยให้เขารอดได้หรือ
ทำนองเดียวกัน ลำพังความเชื่อ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่ตายแล้ว
ท่านก็เห็นแล้วว่า ความเชื่อนั้นทำงานควบคู่กับการประพฤติของเขา และความเชื่อก็สมบูรณ์โดยการประพฤตินั้น
พวกท่านก็เห็นแล้วว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้ชอบธรรมได้ก็เพราะการประพฤติ
และไม่ใช่เพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว
สรุป
1. ผู้ที่เดินในทางชอบธรรมของพระเจ้าอย่างมั่นคงเท่านั้น จึงจะได้ไปสวรรค์
โดยที่พระเจ้าเรียกเขาว่า "คนชอบธรรม" ซึ่งหมายถึง
ผู้ที่วางใจพระเจ้า ประกอบด้วย
(1) ประพฤติตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ ด้วยการไม่ทำบาป และมุ่งทำความดี
ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นข้อเดียวคือ
รักทุกคน
(2) ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
โดยเชื่อว่าพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
2. ผู้ที่ไม่วางใจพระเจ้า พระองค์เรียกเขาว่า "คนบาป" เนื่องจากเขายังคงมีบาปอยู่ในจิตใจ
โดยที่เขาไม่ได้สำนึกผิดยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป จึงไม่ได้ขอให้พระเจ้ายกโทษบาปและชำระบาปให้แก่ตน
เมื่อเขาตายไปแล้ว ความบาปจึงติดตามวิญญาณเขาไปด้วย
เขาจึงไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ แต่จะต้องตกนรกชั่วนิรันดร์
เดินในทางชอบธรรมของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะได้ไปสวรรค์
เนื่องจากยังไม่มีผู้ใดได้ทำการพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ให้เห็นจริงว่า สวรรค์และนรกมีจริงหรือไม่ ?
สวรรค์และนรกของแต่ละศาสนายังมีความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป
อีกทั้งแต่ละนิกายของศาสนาเดียวกัน ก็อาจมีความเชื่อที่แตกต่างกัน
สวรรค์และนรกที่ผมจะกล่าวถึงในกระทู้นี้ เป็นความเชื่อตามหลักศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ (คริสเตียน)
โดยอ้างอิงจากคัมภีร์ไบเบิล ฉบับแปลภาษาไทยของสมาคมพระคริสตธรรมไทย
ผมขอหยิบยกข้อความที่เป็นคำสอนของพระเยซูคริสต์และอัครสาวก (สาวกที่ได้ติดตามพระเยซูคริสต์อย่างใกล้ชิด)
มาประกอบในการพิจารณาว่าคำสอนแท้ของพระเยซูคริสต์ ที่กล่าวถึงเงื่อนไขในการไปสวรรค์และนรกว่าเป็นอย่างไร
นิยาม พระเจ้าในที่นี้หมายถึง พระเจ้าผู้ประเสริฐ (พระเจ้าผู้สูงสุด : God)
มีหลายครั้งที่พระเยซูคริสต์ได้กล่าวถึงการไปสวรรค์ (Heaven) โดยได้ใช้คำอื่นที่มีความหมายเหมือนกัน
เช่น ได้รับความรอด และมีชีวิตนิรันดร์ เป็นต้น แต่มีอีกคำหนึ่งที่คล้ายกับสวรรค์แต่ไม่ใช่สวรรค์
คือคำว่า เมืองบรมสุขเกษม (Paradise) ซึ่งก็คือสถานที่ ที่คนชอบธรรมได้ไปพักสงบชั่วคราวเพื่อรอวันพิพากษาโลก
โดยพวกเขาจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ในลำดับต่อไป พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถึงคนชอบธรรมอย่างน้อย 3 คน
ได้แก่ อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ที่ได้ไปอยู่ในเมืองบรมสุขเกษมแล้ว แสดงว่าพวกเขาจะได้ไปสวรรค์อย่างแน่นอน
ดังนั้นความเชื่อของผู้ที่จะได้ไปสวรรค์ จะต้องสอดคล้องกับท่าทีของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ
โดยในคัมภีร์ไบเบิลได้บันทึกว่า พวกเขามีความวางใจพระเจ้า และได้ประพฤติตามคำสอนของพระเจ้า
ผมเชื่อว่ามาตรฐานการไปสวรรค์ของพระเจ้า ทั้งในยุคก่อนและหลังพระเยซูคริสต์ประสูติ จะต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน
เพราะว่าความรอดมีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือทางของพระเยซูคริสต์ เพียงแต่ความรอดก่อนพระเยซูคริสต์ประสูติ
ก็คือทางของพระเจ้า เนื่องจากคริสเตียนเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในสถานะพระบุตร
ดังนั้นทางของพระเจ้าหรือทางของพระเยซูคริสต์จึงเป็นทางเดียวกัน ซึ่งจะนำให้มนุษย์ไปอยู่ในสวรรค์ชั่วนิรันดร์
พระเยซูคริสต์ได้ตรัสสอนดังนี้
มัทธิว 7:24,26
เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างบ้านของตนไว้บนศิลา
แต่ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่โง่เขลาสร้างบ้านของตนไว้บนทราย
ยอห์น 5:24
เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครฟังคำของเรา และวางใจผู้ทรงใช้เรามา
คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษา แต่ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว
=> ผู้ที่วางใจพระเจ้า และประพฤติตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ จะได้ไปสวรรค์
หมายเหตุ คำสอนของพระเยซูคริสต์ คือ รักทุกคน ไม่ทำบาป และมุ่งทำความดี
ยอห์น 6:47
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์
=> ผู้ที่วางใจพระเยซูคริสต์ จะได้ไปสวรรค์
มัทธิว 7:21
ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์
แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้
=> ไม่ใช่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคน จะได้ไปสวรรค์
แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น จึงจะได้ไปสวรรค์
อัครสาวกของพระเยซูคริสต์ได้สอนดังนี้
1 เปโตร 2:15-16
เพราะพระเจ้าทรงประสงค์จะให้พวกท่านระงับความโง่ของคนโฉดเขลาด้วยการทำดี
จงดำเนินชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพนั้นเป็นข้ออ้างเพื่อทำความชั่ว
แต่จงดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า
ยากอบ 2:14,17,22,24
พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ใครจะกล่าวว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ได้ประพฤติตามจะมีประโยชน์อะไร
ความเชื่อนั้นจะช่วยให้เขารอดได้หรือ
ทำนองเดียวกัน ลำพังความเชื่อ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่ตายแล้ว
ท่านก็เห็นแล้วว่า ความเชื่อนั้นทำงานควบคู่กับการประพฤติของเขา และความเชื่อก็สมบูรณ์โดยการประพฤตินั้น
พวกท่านก็เห็นแล้วว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้ชอบธรรมได้ก็เพราะการประพฤติ
และไม่ใช่เพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว
สรุป
1. ผู้ที่เดินในทางชอบธรรมของพระเจ้าอย่างมั่นคงเท่านั้น จึงจะได้ไปสวรรค์
โดยที่พระเจ้าเรียกเขาว่า "คนชอบธรรม" ซึ่งหมายถึง ผู้ที่วางใจพระเจ้า ประกอบด้วย
(1) ประพฤติตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ ด้วยการไม่ทำบาป และมุ่งทำความดี
ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นข้อเดียวคือ รักทุกคน
(2) ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า โดยเชื่อว่าพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
2. ผู้ที่ไม่วางใจพระเจ้า พระองค์เรียกเขาว่า "คนบาป" เนื่องจากเขายังคงมีบาปอยู่ในจิตใจ
โดยที่เขาไม่ได้สำนึกผิดยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป จึงไม่ได้ขอให้พระเจ้ายกโทษบาปและชำระบาปให้แก่ตน
เมื่อเขาตายไปแล้ว ความบาปจึงติดตามวิญญาณเขาไปด้วย
เขาจึงไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ แต่จะต้องตกนรกชั่วนิรันดร์