https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=1078221600331445&id=100044308452347&mibextid=oFDknk&rdid=Jf0PXGtYR0ot76Cu
เก็บมาทั้งชีวิตหายไปในพริบตา! คุณปู่วัย 81 ปี อดีต พนง.กฟผ.ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกโอนเงิน 19 ล้าน จำนองบ้านอีก 3 ล้าน หมดเงิน 22 ล้าน สูญทั้งเงินเสียทั้งบ้าน จนอยากฆ่าตัวตาย
นนทบุรี: เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 9 มิถุนายน 67 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายไพรสัณต์ หรือ อ๊อด อายุ 81 ปี อดีตหัวหน้างานด้านวางแผนธุรกิจสายงานด้านเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หลังถูกมิจฉาชีพใช้กลอุบาย หลอกว่าบัญชีของคุณปู่อ๊อด พัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมาย ทำให้ตนเองตกใจ หลงเชื่อถูกมิจฉาชีพ ที่ปลอมมา ทั้งในรูปแบบของการวิดีโอคอลเป็นตำรวจ โดยให้ทำตามขั้นตอน มิเช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีหรืออายัดทรัพย์สิน
ตนเองหลงเชื่อ ได้โอนเงินให้กับมิจฉาชีพเป็นเงินสด 19 ล้านบาท หลังจากหมดตัวแล้ว ก็ยังถูกมิจฉาชีพใช้อุบายให้เอาบ้านไปจำนองขายฝากอีก 3 ล้าน รวมทั้งดอกเบี้ยอีก 450,000 บาท โดยให้ผ่อนชำระดอกเบี้ยเดือนละ 37,000 บาท และให้คืนเงินต้น 3 ล้านบาทที่เอาบ้านไปจำนองขายฝากไว้ภายในระยะเวลา 1 ปี หลังได้เงินจากจำนองขายฝากบ้านอีก 3 ล้านบาท สรุปว่าตนได้โอนเงินให้กับมิจฉาชีพไป รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 22 ล้านบาท
นายไพรสัณต์ หรือปู่อ๊อด เล่าว่า ภรรยาตนเองเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ตนมีลูกชายเพียงคนเดียวชื่อนายนีรนาท อายุ 43 ปี ทำงานอยู่บริษัทตลาดทรัพย์ที่ประเทศสิงคโปร์ หลังเกษียณอายุแล้ว ตนก็ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังใหญ่ เนื้อที่ 83 ตารางวา ในอำเภอบางกรวย จ.นนทบุรี จนเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 67 ช่วงเวลา 14.30 น ได้มีโทรศัพท์เบอร์มือถือ หมายเลข 098- 563 6881 โทรเข้ามาหาตน เป็นชายแนะนำตัวว่าชื่อนายรณฤทธิ์ ชัยวงศ์ รหัสพนักงาน 593108 โดยแจ้งตนว่า ตนถูกแอบอ้างนำข้อมูลส่วนตัวไปเปิดบัญชีธนาคารออมสิน สาขาอยุธยาพาร์ค โดยมีหมายเลขบัญชี … ซึ่งได้ถูกตรวจบัญชีเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 66 โดยทางธนาคารออมสินได้ติดต่อประสานงานไปยังสถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ตำรวจส่งใบรับรองการแจ้งความมายังธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ ภายใน 2 ชั่วโมง
ต่อมาได้มีเบอร์โทรศัพท์เบอร์มือถือหมายเลข 082-717-3028 โดยผู้โทรมาอ้างว่าตนเองชื่อ พันตำรวจตรีกิตติศักดิ์ รักษกุลวิทยา เป็นสารวัตรงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธพระนครศรีอยุธยา ต้องการสอบปากคำตนเอง เนื่องจากได้มีการทุจริตในหน่วยงานราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา วงเงิน 11 ล้าน โดยมีนายเอนก ตำแหน่ง สจ. เป็นหัวหน้าขบวนการ และมีผู้ร่วมทุจริตเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่-ผู้น้อยกว่า 100 คน โดยได้มีการนำเงินจากการทุจริต มาฝากผ่านบัญชีธนาคารออมสินของตน โดยมิจฉาชีพแจ้งว่า ตนเองจะได้เงินผ่านบัญชี 10% ของเงินทั้งหมด และเงินที่อยู่ในบัญชี จะต้องเป็นของกลางในคดีอาญา โดยผู้ที่แอบอ้างเป็นพันตำรวจตรี เห็นว่าตนมีอายุมากแล้ว หากต้องไปให้การสอบสวนที่โรงพักจะลำบาก เลยแนะนำให้ตนทำตามขั้นตอน ผ่านทาง Application Line
จากนั้น คนที่อ้างตัวเป็นตำรวจรายนี้ ได้บอกกับตนว่า คดีนี้เป็นคดีใหญ่ มีผู้ร่วมขบวนการเป็นทั้งตำรวจ-ทหาร-ทนายความ รวมทั้งยังได้ส่งรูปคำสั่งจากศาลอาญากรุงเทพฯใต้ ให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของตนเองทั้งหมด โดยให้ถือเป็นความลับ ถ้าตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี ก็จะออกหนังสือแสดงความบริสุทธิ์ให้ รวมทั้งจะมีการเยียวยาให้ตามขั้นตอนของกฎหมาย
ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 67 ได้มีหญิงสาวอ้างเป็นนายตำรวจหญิง ชื่อสุพัตรา ได้รับคำสั่งจากสารวัตรกิตติศักดิ์ มาแนะนำขั้นตอน เพื่อให้การตรวจสอบบัญชีง่ายขึ้น โดยให้ตนเปิด Application E Banking กับธนาคารกรุงไทย และธนาคารกสิกรไทย โดยให้รายงานตัวกับพันตำรวจตรีกิตติศักดิ์ ผ่านทางแชตของ สภ.พระนครศรีอยุธยา จนกระทั่งมิจฉาชีพ บอกให้ตนแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการโอนเงินทรัพย์สินที่มีอยู่ไปให้ตรวจสอบ เป็นเงินสด 19 ล้านบาท รวมทั้งบ้านที่ไปจำนองขายฝากอีก 3 ล้านบาท ที่ตนเองกับภรรยา (เสียชีวิตไปแล้ว) ทำงานเก็บหอมรอมริบมาตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างตัว
หลังจากนั้น 2 วัน เขาก็ได้ส่งข้อความมาอีก เป็นคำสั่งของ ปปช.ว่าจะเป็นผู้ตรวจทรัพย์สินของตน พร้อมกับส่งรายชื่อข้าราชการระดับ 9 และระดับ 8 ของ ปปช.มา เขาก็สั่งให้ตนเริ่มโอนเงินโดยจะกำกับการแสดงทุกอย่าง เพราะตนใช้สมาร์ทโฟนไม่ค่อยเป็น ปรากฏว่า พ.ต.ต.กิตติศักดิ์ ที่อยุธยาจะเป็นคนกำกับการแสดงทั้งหมดทุกขั้นตอนว่าให้ตนโอนเงินอย่างไร เริ่มแรกให้ตนโอนเงินจากบัญชีสหกรณ์ออมทรัพย์ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตออกมาทั้งหมด และให้โอนเข้า บัญชีกรุงไทย และบัญชีกสิกรไทย และให้โอนไปยัง ปปช.ที่ได้อ้างไว้ทั้งหมด พอเสร็จเรียบร้อย วันต่อๆ มา พอได้สอบสวนตนไปหมดแล้วและรู้ว่าตนมีบัญชีในตลาดหลักทรัพย์อยู่กับ Broker 2 แห่ง เขาก็สั่งให้ไปขายทั้งหมด 2 แห่ง พอตนขายเสร็จ ก็โอนเงินไปให้เขา หลังจากนั้นก็สั่งให้ตนไปขายฝากบ้าน ให้กับผู้ที่เขาแนะนำมาให้ และก็ติดต่อมาที่ตน ปรากฏว่ามีคนติดต่อมาจริงๆ และให้ตนไปขายฝากบ้านและที่ดินที่ตนอาศัยอยู่ในปัจจุบัน คือบ้านเดี่ยวหลังนี้ เนิ้อที่ 83 ตารางวา ตนจำนองขายฝากไปในราคา 3 ล้านบาท พร้อมกับดอกเบี้ย 450,000 บาท โดยทำสัญญา 1 ปี ต้องจ่ายดอกเบี้ยทุกเดือนๆ ละ 37,000 บาท
หลังจากนั้น 2 วัน ก็ได้มีไลน์จากตำรวจหญิงที่พูดคุยกับตนบ่อยๆ ให้พูดกับรองผู้กำกับ ที่อยุธยา รองผู้กำกับได้บอกตนว่า ทางผู้ตรวจสอบได้ตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดแล้วพบว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็จะโอนเงินคืนทั้งหมดโดยมีเงื่อนไขอยู่ 1 ข้อ จะต้องเสียเงินอีก 4,200,000 บาท ให้กับทางราชการในการวางค้ำประกันทรัพย์สินที่โอนมา โดยบอกว่า พ.ต.ต พนักงานสอบสวน และร้อยเวร จะช่วยใช้ตำแหน่งค้ำประกันให้ครึ่งหนึ่ง 2.2 ล้านบาท และให้ตนไปหาเงินมา 2.2 ล้านบาท
ซึ่งตนก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหน เพราะหมดตัวแล้ว จึงได้ติดต่อลูกชายคนเดียวคือ น้องโอ๊ตไปซึ่งเขาทำงานอยู่ที่ ตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ ลูกก็เลยเอะใจ เชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอกจนหมดตัวแล้ว วันรุ่งขึ้นลูกชายตนก็รีบบินกลับมาหาตน และนำข้อมูลทั้งหมดไปแจ้งความที่ สอท.2 เมืองทองธานี
“ผมสูญทั้งเงิน และกำลังจะสูญเสียบ้าน ใน 1 ปี และเสียสุขภาพจิต กินไม่ได้ นอนไม่หลับ น้ำหนักลดไป 3 กิโล จนต้องกินยา แทบจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้า อยากจะฆ่าตัวตาย อยากให้ตำรวจช่วยติดตามเงินและบ้านที่เสียไป กลับคืนมาให้ด้วย" คุณปู่อ๊อดกล่าวเสียงสั่นเครือ
ขณะที่นายนีรนาท หรือโอ๊ต ลูกชายเพียงคนเดียว เปิดเผยว่า โมโหและเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก ทำไมถึงมาหลอกลวงกันได้ขนาดนี้ เอากันให้หมดตัวเลย พอตนรู้ก็รีบบินกลับมาจากสิงคโปร์ทันที เพื่อมาช่วยพ่อรวบรวมเอกสารหลักฐานต่างๆ และไปแจ้งความที่ สอท. ซึ่งที่พ่อโอนไปให้มิจฉาชีพทั้งหมด 22 ล้านบาท และยังเป็นหนี้ขายฝากบ้านอีก 3.45 ล้านบาท ก็อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ สอท.เร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะพ่อก็อายุมากแล้ว ตอนนี้ไม่มีทรัพย์สินเหลือแล้ว ถ้าเกิดเจ็บป่วยก็จะลำบาก
พรัอมกันนี้ นายนีรนาท ยังฝากถึงธนาคารแห่งประเทศไทย หรือผู้เกี่ยวข้อง เพราะในกรณีแบบนี้ทางธนาคารทั้งหลาย สามารถใช้ระบบ RIP ในการตรวจสอบได้ ถ้าเกิดว่าหากได้ทำการรู้จักลูกค้าโดยดีแล้ว จะสามารถสังเกตได้ว่า จำนวนเงินในบัญชีของลูกค้าเข้า-ออก กับรายได้ของลูกค้า มีความแตกต่างกันมาก เพราะฉะนั้น ธนาคารจะใช่ระบบ IT เพื่อตรวจจับความผิดพลาดหรือตั้งข้อสังเกตุว่ามีเงิน เข้า-ออก เป็น 10 เท่าของรายได้ น่าจะทำการหยุดธุรกรรมไว้จนกว่าทางเจ้าของบัญชีจะมาแจ้งอีกครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันให้ลูกค้า ไม่ให้เจ้าของบัญชีสูญเสียเงิน ทางธนาคารแห่งประเทศไทยควรหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ มิเช่นนั้นก็จะมี ประชาชนคนสุจริตที่ทำงานเก็บเงินมาชั่วชีวิต ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกไม่มีวันสิ้นสุด
***************************************************
ตกใจและแปลกใจเหมือนกันนะที่เงินเยอะขนาดนี้แต่ไม่สะกิดใจซักนิดเลย คอลเซ็นเตอร์โน้มน้าวเก่งมาก
คุณปู่วัย 81 ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก
เก็บมาทั้งชีวิตหายไปในพริบตา! คุณปู่วัย 81 ปี อดีต พนง.กฟผ.ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกโอนเงิน 19 ล้าน จำนองบ้านอีก 3 ล้าน หมดเงิน 22 ล้าน สูญทั้งเงินเสียทั้งบ้าน จนอยากฆ่าตัวตาย
นนทบุรี: เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 9 มิถุนายน 67 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายไพรสัณต์ หรือ อ๊อด อายุ 81 ปี อดีตหัวหน้างานด้านวางแผนธุรกิจสายงานด้านเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หลังถูกมิจฉาชีพใช้กลอุบาย หลอกว่าบัญชีของคุณปู่อ๊อด พัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมาย ทำให้ตนเองตกใจ หลงเชื่อถูกมิจฉาชีพ ที่ปลอมมา ทั้งในรูปแบบของการวิดีโอคอลเป็นตำรวจ โดยให้ทำตามขั้นตอน มิเช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีหรืออายัดทรัพย์สิน
ตนเองหลงเชื่อ ได้โอนเงินให้กับมิจฉาชีพเป็นเงินสด 19 ล้านบาท หลังจากหมดตัวแล้ว ก็ยังถูกมิจฉาชีพใช้อุบายให้เอาบ้านไปจำนองขายฝากอีก 3 ล้าน รวมทั้งดอกเบี้ยอีก 450,000 บาท โดยให้ผ่อนชำระดอกเบี้ยเดือนละ 37,000 บาท และให้คืนเงินต้น 3 ล้านบาทที่เอาบ้านไปจำนองขายฝากไว้ภายในระยะเวลา 1 ปี หลังได้เงินจากจำนองขายฝากบ้านอีก 3 ล้านบาท สรุปว่าตนได้โอนเงินให้กับมิจฉาชีพไป รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 22 ล้านบาท
นายไพรสัณต์ หรือปู่อ๊อด เล่าว่า ภรรยาตนเองเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ตนมีลูกชายเพียงคนเดียวชื่อนายนีรนาท อายุ 43 ปี ทำงานอยู่บริษัทตลาดทรัพย์ที่ประเทศสิงคโปร์ หลังเกษียณอายุแล้ว ตนก็ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังใหญ่ เนื้อที่ 83 ตารางวา ในอำเภอบางกรวย จ.นนทบุรี จนเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 67 ช่วงเวลา 14.30 น ได้มีโทรศัพท์เบอร์มือถือ หมายเลข 098- 563 6881 โทรเข้ามาหาตน เป็นชายแนะนำตัวว่าชื่อนายรณฤทธิ์ ชัยวงศ์ รหัสพนักงาน 593108 โดยแจ้งตนว่า ตนถูกแอบอ้างนำข้อมูลส่วนตัวไปเปิดบัญชีธนาคารออมสิน สาขาอยุธยาพาร์ค โดยมีหมายเลขบัญชี … ซึ่งได้ถูกตรวจบัญชีเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 66 โดยทางธนาคารออมสินได้ติดต่อประสานงานไปยังสถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ตำรวจส่งใบรับรองการแจ้งความมายังธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ ภายใน 2 ชั่วโมง
ต่อมาได้มีเบอร์โทรศัพท์เบอร์มือถือหมายเลข 082-717-3028 โดยผู้โทรมาอ้างว่าตนเองชื่อ พันตำรวจตรีกิตติศักดิ์ รักษกุลวิทยา เป็นสารวัตรงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธพระนครศรีอยุธยา ต้องการสอบปากคำตนเอง เนื่องจากได้มีการทุจริตในหน่วยงานราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา วงเงิน 11 ล้าน โดยมีนายเอนก ตำแหน่ง สจ. เป็นหัวหน้าขบวนการ และมีผู้ร่วมทุจริตเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่-ผู้น้อยกว่า 100 คน โดยได้มีการนำเงินจากการทุจริต มาฝากผ่านบัญชีธนาคารออมสินของตน โดยมิจฉาชีพแจ้งว่า ตนเองจะได้เงินผ่านบัญชี 10% ของเงินทั้งหมด และเงินที่อยู่ในบัญชี จะต้องเป็นของกลางในคดีอาญา โดยผู้ที่แอบอ้างเป็นพันตำรวจตรี เห็นว่าตนมีอายุมากแล้ว หากต้องไปให้การสอบสวนที่โรงพักจะลำบาก เลยแนะนำให้ตนทำตามขั้นตอน ผ่านทาง Application Line
จากนั้น คนที่อ้างตัวเป็นตำรวจรายนี้ ได้บอกกับตนว่า คดีนี้เป็นคดีใหญ่ มีผู้ร่วมขบวนการเป็นทั้งตำรวจ-ทหาร-ทนายความ รวมทั้งยังได้ส่งรูปคำสั่งจากศาลอาญากรุงเทพฯใต้ ให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของตนเองทั้งหมด โดยให้ถือเป็นความลับ ถ้าตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี ก็จะออกหนังสือแสดงความบริสุทธิ์ให้ รวมทั้งจะมีการเยียวยาให้ตามขั้นตอนของกฎหมาย
ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 67 ได้มีหญิงสาวอ้างเป็นนายตำรวจหญิง ชื่อสุพัตรา ได้รับคำสั่งจากสารวัตรกิตติศักดิ์ มาแนะนำขั้นตอน เพื่อให้การตรวจสอบบัญชีง่ายขึ้น โดยให้ตนเปิด Application E Banking กับธนาคารกรุงไทย และธนาคารกสิกรไทย โดยให้รายงานตัวกับพันตำรวจตรีกิตติศักดิ์ ผ่านทางแชตของ สภ.พระนครศรีอยุธยา จนกระทั่งมิจฉาชีพ บอกให้ตนแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการโอนเงินทรัพย์สินที่มีอยู่ไปให้ตรวจสอบ เป็นเงินสด 19 ล้านบาท รวมทั้งบ้านที่ไปจำนองขายฝากอีก 3 ล้านบาท ที่ตนเองกับภรรยา (เสียชีวิตไปแล้ว) ทำงานเก็บหอมรอมริบมาตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างตัว
หลังจากนั้น 2 วัน เขาก็ได้ส่งข้อความมาอีก เป็นคำสั่งของ ปปช.ว่าจะเป็นผู้ตรวจทรัพย์สินของตน พร้อมกับส่งรายชื่อข้าราชการระดับ 9 และระดับ 8 ของ ปปช.มา เขาก็สั่งให้ตนเริ่มโอนเงินโดยจะกำกับการแสดงทุกอย่าง เพราะตนใช้สมาร์ทโฟนไม่ค่อยเป็น ปรากฏว่า พ.ต.ต.กิตติศักดิ์ ที่อยุธยาจะเป็นคนกำกับการแสดงทั้งหมดทุกขั้นตอนว่าให้ตนโอนเงินอย่างไร เริ่มแรกให้ตนโอนเงินจากบัญชีสหกรณ์ออมทรัพย์ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตออกมาทั้งหมด และให้โอนเข้า บัญชีกรุงไทย และบัญชีกสิกรไทย และให้โอนไปยัง ปปช.ที่ได้อ้างไว้ทั้งหมด พอเสร็จเรียบร้อย วันต่อๆ มา พอได้สอบสวนตนไปหมดแล้วและรู้ว่าตนมีบัญชีในตลาดหลักทรัพย์อยู่กับ Broker 2 แห่ง เขาก็สั่งให้ไปขายทั้งหมด 2 แห่ง พอตนขายเสร็จ ก็โอนเงินไปให้เขา หลังจากนั้นก็สั่งให้ตนไปขายฝากบ้าน ให้กับผู้ที่เขาแนะนำมาให้ และก็ติดต่อมาที่ตน ปรากฏว่ามีคนติดต่อมาจริงๆ และให้ตนไปขายฝากบ้านและที่ดินที่ตนอาศัยอยู่ในปัจจุบัน คือบ้านเดี่ยวหลังนี้ เนิ้อที่ 83 ตารางวา ตนจำนองขายฝากไปในราคา 3 ล้านบาท พร้อมกับดอกเบี้ย 450,000 บาท โดยทำสัญญา 1 ปี ต้องจ่ายดอกเบี้ยทุกเดือนๆ ละ 37,000 บาท
หลังจากนั้น 2 วัน ก็ได้มีไลน์จากตำรวจหญิงที่พูดคุยกับตนบ่อยๆ ให้พูดกับรองผู้กำกับ ที่อยุธยา รองผู้กำกับได้บอกตนว่า ทางผู้ตรวจสอบได้ตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดแล้วพบว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็จะโอนเงินคืนทั้งหมดโดยมีเงื่อนไขอยู่ 1 ข้อ จะต้องเสียเงินอีก 4,200,000 บาท ให้กับทางราชการในการวางค้ำประกันทรัพย์สินที่โอนมา โดยบอกว่า พ.ต.ต พนักงานสอบสวน และร้อยเวร จะช่วยใช้ตำแหน่งค้ำประกันให้ครึ่งหนึ่ง 2.2 ล้านบาท และให้ตนไปหาเงินมา 2.2 ล้านบาท
ซึ่งตนก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหน เพราะหมดตัวแล้ว จึงได้ติดต่อลูกชายคนเดียวคือ น้องโอ๊ตไปซึ่งเขาทำงานอยู่ที่ ตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ ลูกก็เลยเอะใจ เชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอกจนหมดตัวแล้ว วันรุ่งขึ้นลูกชายตนก็รีบบินกลับมาหาตน และนำข้อมูลทั้งหมดไปแจ้งความที่ สอท.2 เมืองทองธานี
“ผมสูญทั้งเงิน และกำลังจะสูญเสียบ้าน ใน 1 ปี และเสียสุขภาพจิต กินไม่ได้ นอนไม่หลับ น้ำหนักลดไป 3 กิโล จนต้องกินยา แทบจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้า อยากจะฆ่าตัวตาย อยากให้ตำรวจช่วยติดตามเงินและบ้านที่เสียไป กลับคืนมาให้ด้วย" คุณปู่อ๊อดกล่าวเสียงสั่นเครือ
ขณะที่นายนีรนาท หรือโอ๊ต ลูกชายเพียงคนเดียว เปิดเผยว่า โมโหและเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก ทำไมถึงมาหลอกลวงกันได้ขนาดนี้ เอากันให้หมดตัวเลย พอตนรู้ก็รีบบินกลับมาจากสิงคโปร์ทันที เพื่อมาช่วยพ่อรวบรวมเอกสารหลักฐานต่างๆ และไปแจ้งความที่ สอท. ซึ่งที่พ่อโอนไปให้มิจฉาชีพทั้งหมด 22 ล้านบาท และยังเป็นหนี้ขายฝากบ้านอีก 3.45 ล้านบาท ก็อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ สอท.เร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะพ่อก็อายุมากแล้ว ตอนนี้ไม่มีทรัพย์สินเหลือแล้ว ถ้าเกิดเจ็บป่วยก็จะลำบาก
พรัอมกันนี้ นายนีรนาท ยังฝากถึงธนาคารแห่งประเทศไทย หรือผู้เกี่ยวข้อง เพราะในกรณีแบบนี้ทางธนาคารทั้งหลาย สามารถใช้ระบบ RIP ในการตรวจสอบได้ ถ้าเกิดว่าหากได้ทำการรู้จักลูกค้าโดยดีแล้ว จะสามารถสังเกตได้ว่า จำนวนเงินในบัญชีของลูกค้าเข้า-ออก กับรายได้ของลูกค้า มีความแตกต่างกันมาก เพราะฉะนั้น ธนาคารจะใช่ระบบ IT เพื่อตรวจจับความผิดพลาดหรือตั้งข้อสังเกตุว่ามีเงิน เข้า-ออก เป็น 10 เท่าของรายได้ น่าจะทำการหยุดธุรกรรมไว้จนกว่าทางเจ้าของบัญชีจะมาแจ้งอีกครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันให้ลูกค้า ไม่ให้เจ้าของบัญชีสูญเสียเงิน ทางธนาคารแห่งประเทศไทยควรหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ มิเช่นนั้นก็จะมี ประชาชนคนสุจริตที่ทำงานเก็บเงินมาชั่วชีวิต ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกไม่มีวันสิ้นสุด
***************************************************
ตกใจและแปลกใจเหมือนกันนะที่เงินเยอะขนาดนี้แต่ไม่สะกิดใจซักนิดเลย คอลเซ็นเตอร์โน้มน้าวเก่งมาก