นิด้าโพล ชี้ปชช.ไม่พอใจผลงานรอบ 9 เดือนของ 'เศรษฐา' แต่เชื่อว่าจะยังอยู่ในตำแหน่งนายกฯ เหมือนเดิม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4618013
นิด้าโพล ชี้ปชช.ไม่พอใจผลงานรอบ 9 เดือนของ ‘เศรษฐา แต่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลใน 2 เดือน จะยังไม่กระทบกับตำแหน่งนายกฯ ของ ‘เศรษฐา’
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ขอถามบ้าง…9 เดือน รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-5 มิถุนายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี
เศรษฐา ทวีสิน ในรอบ 9 เดือน การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี
เศรษฐา ทวีสิน ในรอบ 9 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ เพราะ การบริหารจัดการในเรื่องต่าง ๆ มีความล่าช้า และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากเดิม รองลงมา ร้อยละ 31.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย เพราะ ไม่มีความก้าวหน้าในการทำงานและไม่สามารถทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ร้อยละ 25.19 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ เพราะ มีความพยายามผลักดันนโยบายต่าง ๆ ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และเห็นผลงานที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหา ร้อยละ 7.40 ระบุว่า พอใจมาก เพราะ มีความตั้งใจในการทำงาน ช่วยเหลือประชาชน ทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น และร้อยละ 1.37 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลนายกรัฐมนตรี
เศรษฐา ทวีสิน ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย เพราะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น ผลงานยังไม่ชัดเจน แก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ รองลงมา ร้อยละ 35.04 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น เพราะการทำงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น เพราะมีประสบการณ์ในการทำงาน มีทักษะด้านการบริหาร สามารถทำให้ประเทศพัฒนาขึ้นได้ ร้อยละ 5.42 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก เพราะรัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหา มีการบริหารที่ดีสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ และร้อยละ 1.45 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นกับรัฐบาลนายกรัฐมนตรี
เศรษฐา ทวีสิน ภายในระยะเวลา 2 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 43.44 ระบุว่า นายกฯ เศรษฐา ยังคงอยู่ในตำแหน่งเหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 15.65 ระบุว่า พรรคร่วมรัฐบาลยังคงเหมือนเดิม ร้อยละ 15.50 ระบุว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ร้อยละ 10.92 ระบุว่า จะมีการยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 10.46 ระบุว่า จะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี แต่ยังคงมาจากพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 6.56 ระบุว่า จะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี โดยนายกฯ คนใหม่จะมาจากพรรคฝ่ายค้าน ร้อยละ 6.11 ระบุว่า จะมีการสลับขั้วทางการเมือง เปลี่ยนรัฐบาล ร้อยละ 4.58 ระบุว่า จะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี โดยนายกฯ คนใหม่จะมาจากพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ร้อยละ 3.21 ระบุว่า สส. ฝ่ายรัฐบาลจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.05 ระบุว่า จำนวนพรรคร่วมรัฐบาลจะลดลง ร้อยละ 2.60 ระบุว่า จำนวนพรรคร่วมรัฐบาลจะเพิ่มขึ้น และ สส. ฝ่ายรัฐบาลจะมีจำนวนลดลง ในสัดส่วนที่เท่ากัน และร้อยละ 12.67 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
“พริษฐ์” นำกมธ.พัฒนาการเมืองดูเลือกสว.เมินขบวนการล้ม
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_729746/
“พริษฐ์ “นำ กมธ.พัฒนาการเมืองดูเลือกสว.เมินข่าวลือขบวนการล้ม สว. หวังการเลือกราบรื่น โปร่งใส สุจริต เที่ยงธรรม
นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยสำนักข่าว INN ว่า วันนี้ ตัวแทน
กมธ. หลายคนรวมถึงตนเอง จะลงพื้นที่สังเกตการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับอำเภอในพื้นที่เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ถือเป็นการตรวจสอบในระดับอำเภอว่ามีปัญหาอะไร เพื่อนำความเห็นของ กมธ. ไปยื่นข้อเสนอให้ กกต. นำไปปรับใช้กับการเลือก สว. ในระดับต่อไป
ส่วนกระแสข่าวขบวนการล้ม สว. นาย
พริษฐ์ กล่าวว่า ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการเลือก สว.ชุดใหม่ คิดว่าในมุม กมธ.พัฒนาการเมือง ได้ติดตามใกล้ชิด โดยเป้าหมายที่อยากเห็น คือ กกต. ดำเนินการราบรื่น รวดเร็ว เป็นไปตามกรอบเวลา และมีความโปร่งใส ดังนั้น ถ้ามีข้อร้องเรียนที่ไม่โปร่งใส ไม่เป็นไปตามข้อกฎหมาย มองว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะจริงจัง ค้นหาความจริง และเดินหน้าตรวจสอบเรื่องร้องเรียน
ทั้งนี้ ในส่วน กมธ.พัฒนาการเมืองเอง ก็รับเรื่องร้องเรียนเข้ามาด้วย ดังนั้น ทุกข้อร้องเรียนต้องตรวจสอบอย่างเต็มที่ แต่ที่อยากเห็น ท้ายที่สุดแล้วกระบวนการทุกอย่าง ถูกดำเนินการตามกรอบเวลาที่วางไว้
ขณะเกียวกัน เมื่อดูในกฎหมาย สว. จะเขียนต่างจากการเลือกตั้ง สส. ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า หลังการเลือกตั้งเสร็จ ไม่ว่าจะมีปัญหาร้องเรียนเท่าไหร่ กกต. จะต้องประกาศผลภายในกี่วัน แต่ในกฎหมาย สว. จะไม่ได้กำหนดกรอบเวลาชัดเจนว่าต้องประกาศในกี่วัน เขียนแค่ว่า ให้ กกต.ประกาศก็ต่อเมื่อ เห็นว่า การคัดเลือก สว. ถูกต้อง สุจริต เที่ยงธรรม
จึงเป็นการตั้งข้อสังเกตว่า หากมีข้อร้องเรียนเข้ามาจำวนมาก แล้ว กกต. ไม่พร้อมที่จะยืนยันได้ว่า การเลือก สว. เป็นไปด้วยความถูกต้อง สุจริต เที่ยงธรรม กกต.ก็อาจยืดระยะเวลาการประกาศผลออกไปแบบไม่มีกำหนด ดังนั้น สว.ชุดเดิม 250 คน ก็สามารถรักษาการออกไปแบบไม่มีกำหนดเช่นกัน และจะมีอำนาจเต็ม
เทียบเท่ากับ สว.ชุดใหม่ที่จะเข้ามา แม้ไม่มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีตามบทเฉพาะกาล แต่มีอำนาจพิจารณาแก้ไข รธน. การรับรองตำแหน่งต่างๆ ในองค์กรอิสระ จึงหวังว่า กกต. จะเอาจริงเอาจังกับการตรวจสอบข้อร้องเรียน และประกาศผลตามกรอบเวลา
ผู้เลี้ยงกุ้งใต้ ขู่นัดชุมนุม หลังราคาดิ่ง สวนทางต้นทุนพุ่ง-พิษกุ้งเถื่อน วอนรบ.เร่งช่วย
https://www.matichon.co.th/region/news_4617182
ต้นทุนน้ำมัน-ก๊าซพุ่ง กุ้งไทยสู้คู่แข่งไม่ได้แล้ว ผู้เลี้ยงกุ้งภาคใต้ขีดเส้นรัฐบาลเร่งช่วยเหลือราคาดิ่งหนัก ร้องผู้ว่าฯกลับเงียบ 20 มิ.ย.นี้เคลื่อนพลเรียกร้องสะพานเปรมฯ โอด แก้ช้าอีก 2-3 เดือน ล้มทั้งระบบ กระทบส่งออกแน่ เชื่อ พิษลอบนำเข้ากุ้งเถื่อน
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน นาย
มานิตย์ อินทองปาน ประธานกรรมการสหกรณ์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจังหวัดตรัง จำกัด เปิดเผยว่า จากกรณีปัญหาราคากุ้งตกต่ำเป็นอย่างมาก โดยเกษตรกรขายได้ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตอยู่ประมาณกิโลกรัมละ 10-30 บาท โดยที่ผ่านมากลุ่มเกษตรกรเลี้ยงกุ้งได้ยื่นหนังสือผ่าน นายทรงกลด สว่างวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังไปแล้ว เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รวมทั้งเครือข่ายผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้ด้วย
โดยขอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการรับจำนำกุ้ง การประกันราคา หรือการชดเชยราคาที่เหมาะสมให้แก่เกษตรกร การลดราคาอาหารลงกิโลกรัมละ 2 บาท การส่งเสริมให้มีการบริโภคกุ้งภายในประเทศ แต่หลังจากมีการยื่นหนังสือเรียกร้องไปแล้ว ตอนนี้รัฐบาลยังเงียบ และยังไม่มีมาตรการใดๆ ออกมาช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งแต่อย่างใด
สำหรับราคากุ้งขณะนี้ กุ้งขนาด 58-60 ตัว/กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 138 บาท ต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 140-145 บาท, กุ้งขนาด 50 ตัว/กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 145 บาท ต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 165 บาท, กุ้งขนาด 45 ตัว/กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 155 บาท ต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 170 บาท, กุ้งขนาด 38 ตัว/กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 167 บาท ต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 192 บาท, กุ้งขนาด 31 ตัว/กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 182 บาท ต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 210 บาท ส่วนกุ้งขนาด 40, 70 และ 100 ตัว/กิโลกรัม ขณะนี้ไม่มีคนซื้อ ไม่มีตลาด แพไม่ต้องการ
ประธานกรรมการสหกรณ์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจังหวัดตรัง จำกัด กล่าวต่อว่า โดยทางเครือข่ายผู้เลี้ยงกุ้งทั่วประเทศ รอฟังคำตอบจากรัฐบาลภายในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ หากไม่มีมาตรการออกมา ผู้เลี้ยงกุ้งทั่วประเทศรวมทั้งหมด 23 จังหวัด พร้อมเคลื่อนไหวใหญ่ที่บริเวณสะพานเปรมติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา ในวันที่ 20 มิถุนายนนี้ คาดว่าจะมีเครือข่ายผู้เลี้ยงกุ้งมารวมตัวกันไม่ต่ำกว่า 2,000 คน
เนื่องจากจังหวัดสงขลามีผู้เลี้ยงกุ้งจำนวนมาก และเป็นแหล่งรวมแพ และห้องเย็นที่รับกุ้งจากเกษตรกร ขณะที่จังหวัดตรัง เกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จำนวน 245 ราย แต่ทั้งจังหวัดมีเกษตรกรรวมกันกว่า 311 ราย เฉพาะจังหวัดตรังจากปัญหาราคาตกต่ำทำให้มีกุ้งค้างในบ่อไม่ต่ำกว่า 1,000 ตัน เพราะขายไม่ได้ แพ ห้องเย็นกดราคา ของตนก็มีค้างอยู่ประมาณ 4-5 บ่อ ทำให้เดือดร้อนอย่างมาก เกษตรกรเลิกเลี้ยงไปแล้วจำนวนมาก ส่วนที่เลี้ยงก็เพื่อประคองสถานการณ์ลดจำนวนบ่อลง เพราะต้องดูแลคนงานซึ่งเป็นลูกจ้างประจำของบ่อ หากเลิกเลี้ยง คนงานจะต้องตกงาน และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีก็จะเสียหายทั้งหมด
นาย
มานิตย์กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้ราคากุ้งตกต่ำขณะนี้ เชื่อว่าเกิดจากลักลอบนำเข้ากุ้งมาจากต่างประเทศ ทำให้ห้องเย็นและแพงดการรับซื้อกุ้งจากเกษตรกรภายในประเทศ และถูกกดราคา รวมทั้งกุ้งไทยส่งออกไม่ได้เพราะมีต้นทุนสูงกว่ากุ้งต่างประเทศ เนื่องจากปัจจัยการผลิตทั้งอาหาร เคมีภัณฑ์ วัสดุอุปกรณ์ น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซหุงต้ม โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซหุงต้มต้องใช้ในการเดินเครื่องตีน้ำให้ออกซิเจนแก่กุ้งตลอดเวลา และค่าไฟฟ้าก็มีการปรับขึ้น ทั้งหมดทำให้เกษตรกรเดือดร้อน รวมทั้งแม่ค้ามาเลเซียก็เปลี่ยนตลาดที่เดิมเคยซื้อกุ้งจากไทย ไปสั่งนำเข้าจากประเทศเอกวาดอร์แทนแล้ว
“
ขอวิงวอนไปยังรัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหาตามข้อเรียกร้องทั้งหมด เพราะหากแก้ปัญหาล่าช้ากว่านี้อีกประมาณ 2-3 เดือนข้างหน้า เชื่อว่าธุรกิจเลี้ยงกุ้งจะล้มกันทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ คือ บริษัทที่ผลิตลูกกุ้งคงเลิกผลิตเพราะขายไม่ได้ เกษตรกรไม่มีแล้ว คนงาน แพ ห้องเย็น กระทบธุรกิจส่งออก สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจประเทศโดยรวม” นาย
มานิตย์กล่าว
JJNY : โพลชี้ปชช.ไม่พอใจผลงาน│“พริษฐ์”นำกมธ.ดูเลือกสว.│ผู้เลี้ยงกุ้งใต้ ขู่นัดชุมนุม│เกาหลีเหนือส่ง“บอลลูนขยะ”ชุดใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4618013
นิด้าโพล ชี้ปชช.ไม่พอใจผลงานรอบ 9 เดือนของ ‘เศรษฐา แต่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลใน 2 เดือน จะยังไม่กระทบกับตำแหน่งนายกฯ ของ ‘เศรษฐา’
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ขอถามบ้าง…9 เดือน รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-5 มิถุนายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในรอบ 9 เดือน การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ในรอบ 9 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ เพราะ การบริหารจัดการในเรื่องต่าง ๆ มีความล่าช้า และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากเดิม รองลงมา ร้อยละ 31.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย เพราะ ไม่มีความก้าวหน้าในการทำงานและไม่สามารถทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ร้อยละ 25.19 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ เพราะ มีความพยายามผลักดันนโยบายต่าง ๆ ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และเห็นผลงานที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหา ร้อยละ 7.40 ระบุว่า พอใจมาก เพราะ มีความตั้งใจในการทำงาน ช่วยเหลือประชาชน ทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น และร้อยละ 1.37 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย เพราะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น ผลงานยังไม่ชัดเจน แก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ รองลงมา ร้อยละ 35.04 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น เพราะการทำงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น เพราะมีประสบการณ์ในการทำงาน มีทักษะด้านการบริหาร สามารถทำให้ประเทศพัฒนาขึ้นได้ ร้อยละ 5.42 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก เพราะรัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหา มีการบริหารที่ดีสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ และร้อยละ 1.45 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นกับรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ภายในระยะเวลา 2 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 43.44 ระบุว่า นายกฯ เศรษฐา ยังคงอยู่ในตำแหน่งเหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 15.65 ระบุว่า พรรคร่วมรัฐบาลยังคงเหมือนเดิม ร้อยละ 15.50 ระบุว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ร้อยละ 10.92 ระบุว่า จะมีการยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 10.46 ระบุว่า จะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี แต่ยังคงมาจากพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 6.56 ระบุว่า จะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี โดยนายกฯ คนใหม่จะมาจากพรรคฝ่ายค้าน ร้อยละ 6.11 ระบุว่า จะมีการสลับขั้วทางการเมือง เปลี่ยนรัฐบาล ร้อยละ 4.58 ระบุว่า จะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี โดยนายกฯ คนใหม่จะมาจากพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ร้อยละ 3.21 ระบุว่า สส. ฝ่ายรัฐบาลจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.05 ระบุว่า จำนวนพรรคร่วมรัฐบาลจะลดลง ร้อยละ 2.60 ระบุว่า จำนวนพรรคร่วมรัฐบาลจะเพิ่มขึ้น และ สส. ฝ่ายรัฐบาลจะมีจำนวนลดลง ในสัดส่วนที่เท่ากัน และร้อยละ 12.67 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
“พริษฐ์” นำกมธ.พัฒนาการเมืองดูเลือกสว.เมินขบวนการล้ม
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_729746/
“พริษฐ์ “นำ กมธ.พัฒนาการเมืองดูเลือกสว.เมินข่าวลือขบวนการล้ม สว. หวังการเลือกราบรื่น โปร่งใส สุจริต เที่ยงธรรม
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยสำนักข่าว INN ว่า วันนี้ ตัวแทน
กมธ. หลายคนรวมถึงตนเอง จะลงพื้นที่สังเกตการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับอำเภอในพื้นที่เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ถือเป็นการตรวจสอบในระดับอำเภอว่ามีปัญหาอะไร เพื่อนำความเห็นของ กมธ. ไปยื่นข้อเสนอให้ กกต. นำไปปรับใช้กับการเลือก สว. ในระดับต่อไป
ส่วนกระแสข่าวขบวนการล้ม สว. นายพริษฐ์ กล่าวว่า ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการเลือก สว.ชุดใหม่ คิดว่าในมุม กมธ.พัฒนาการเมือง ได้ติดตามใกล้ชิด โดยเป้าหมายที่อยากเห็น คือ กกต. ดำเนินการราบรื่น รวดเร็ว เป็นไปตามกรอบเวลา และมีความโปร่งใส ดังนั้น ถ้ามีข้อร้องเรียนที่ไม่โปร่งใส ไม่เป็นไปตามข้อกฎหมาย มองว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะจริงจัง ค้นหาความจริง และเดินหน้าตรวจสอบเรื่องร้องเรียน
ทั้งนี้ ในส่วน กมธ.พัฒนาการเมืองเอง ก็รับเรื่องร้องเรียนเข้ามาด้วย ดังนั้น ทุกข้อร้องเรียนต้องตรวจสอบอย่างเต็มที่ แต่ที่อยากเห็น ท้ายที่สุดแล้วกระบวนการทุกอย่าง ถูกดำเนินการตามกรอบเวลาที่วางไว้
ขณะเกียวกัน เมื่อดูในกฎหมาย สว. จะเขียนต่างจากการเลือกตั้ง สส. ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า หลังการเลือกตั้งเสร็จ ไม่ว่าจะมีปัญหาร้องเรียนเท่าไหร่ กกต. จะต้องประกาศผลภายในกี่วัน แต่ในกฎหมาย สว. จะไม่ได้กำหนดกรอบเวลาชัดเจนว่าต้องประกาศในกี่วัน เขียนแค่ว่า ให้ กกต.ประกาศก็ต่อเมื่อ เห็นว่า การคัดเลือก สว. ถูกต้อง สุจริต เที่ยงธรรม
จึงเป็นการตั้งข้อสังเกตว่า หากมีข้อร้องเรียนเข้ามาจำวนมาก แล้ว กกต. ไม่พร้อมที่จะยืนยันได้ว่า การเลือก สว. เป็นไปด้วยความถูกต้อง สุจริต เที่ยงธรรม กกต.ก็อาจยืดระยะเวลาการประกาศผลออกไปแบบไม่มีกำหนด ดังนั้น สว.ชุดเดิม 250 คน ก็สามารถรักษาการออกไปแบบไม่มีกำหนดเช่นกัน และจะมีอำนาจเต็ม
เทียบเท่ากับ สว.ชุดใหม่ที่จะเข้ามา แม้ไม่มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีตามบทเฉพาะกาล แต่มีอำนาจพิจารณาแก้ไข รธน. การรับรองตำแหน่งต่างๆ ในองค์กรอิสระ จึงหวังว่า กกต. จะเอาจริงเอาจังกับการตรวจสอบข้อร้องเรียน และประกาศผลตามกรอบเวลา
ผู้เลี้ยงกุ้งใต้ ขู่นัดชุมนุม หลังราคาดิ่ง สวนทางต้นทุนพุ่ง-พิษกุ้งเถื่อน วอนรบ.เร่งช่วย
https://www.matichon.co.th/region/news_4617182
ต้นทุนน้ำมัน-ก๊าซพุ่ง กุ้งไทยสู้คู่แข่งไม่ได้แล้ว ผู้เลี้ยงกุ้งภาคใต้ขีดเส้นรัฐบาลเร่งช่วยเหลือราคาดิ่งหนัก ร้องผู้ว่าฯกลับเงียบ 20 มิ.ย.นี้เคลื่อนพลเรียกร้องสะพานเปรมฯ โอด แก้ช้าอีก 2-3 เดือน ล้มทั้งระบบ กระทบส่งออกแน่ เชื่อ พิษลอบนำเข้ากุ้งเถื่อน
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน นายมานิตย์ อินทองปาน ประธานกรรมการสหกรณ์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจังหวัดตรัง จำกัด เปิดเผยว่า จากกรณีปัญหาราคากุ้งตกต่ำเป็นอย่างมาก โดยเกษตรกรขายได้ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตอยู่ประมาณกิโลกรัมละ 10-30 บาท โดยที่ผ่านมากลุ่มเกษตรกรเลี้ยงกุ้งได้ยื่นหนังสือผ่าน นายทรงกลด สว่างวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังไปแล้ว เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รวมทั้งเครือข่ายผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้ด้วย
โดยขอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการรับจำนำกุ้ง การประกันราคา หรือการชดเชยราคาที่เหมาะสมให้แก่เกษตรกร การลดราคาอาหารลงกิโลกรัมละ 2 บาท การส่งเสริมให้มีการบริโภคกุ้งภายในประเทศ แต่หลังจากมีการยื่นหนังสือเรียกร้องไปแล้ว ตอนนี้รัฐบาลยังเงียบ และยังไม่มีมาตรการใดๆ ออกมาช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งแต่อย่างใด
สำหรับราคากุ้งขณะนี้ กุ้งขนาด 58-60 ตัว/กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 138 บาท ต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 140-145 บาท, กุ้งขนาด 50 ตัว/กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 145 บาท ต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 165 บาท, กุ้งขนาด 45 ตัว/กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 155 บาท ต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 170 บาท, กุ้งขนาด 38 ตัว/กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 167 บาท ต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 192 บาท, กุ้งขนาด 31 ตัว/กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 182 บาท ต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 210 บาท ส่วนกุ้งขนาด 40, 70 และ 100 ตัว/กิโลกรัม ขณะนี้ไม่มีคนซื้อ ไม่มีตลาด แพไม่ต้องการ
ประธานกรรมการสหกรณ์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจังหวัดตรัง จำกัด กล่าวต่อว่า โดยทางเครือข่ายผู้เลี้ยงกุ้งทั่วประเทศ รอฟังคำตอบจากรัฐบาลภายในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ หากไม่มีมาตรการออกมา ผู้เลี้ยงกุ้งทั่วประเทศรวมทั้งหมด 23 จังหวัด พร้อมเคลื่อนไหวใหญ่ที่บริเวณสะพานเปรมติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา ในวันที่ 20 มิถุนายนนี้ คาดว่าจะมีเครือข่ายผู้เลี้ยงกุ้งมารวมตัวกันไม่ต่ำกว่า 2,000 คน
เนื่องจากจังหวัดสงขลามีผู้เลี้ยงกุ้งจำนวนมาก และเป็นแหล่งรวมแพ และห้องเย็นที่รับกุ้งจากเกษตรกร ขณะที่จังหวัดตรัง เกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จำนวน 245 ราย แต่ทั้งจังหวัดมีเกษตรกรรวมกันกว่า 311 ราย เฉพาะจังหวัดตรังจากปัญหาราคาตกต่ำทำให้มีกุ้งค้างในบ่อไม่ต่ำกว่า 1,000 ตัน เพราะขายไม่ได้ แพ ห้องเย็นกดราคา ของตนก็มีค้างอยู่ประมาณ 4-5 บ่อ ทำให้เดือดร้อนอย่างมาก เกษตรกรเลิกเลี้ยงไปแล้วจำนวนมาก ส่วนที่เลี้ยงก็เพื่อประคองสถานการณ์ลดจำนวนบ่อลง เพราะต้องดูแลคนงานซึ่งเป็นลูกจ้างประจำของบ่อ หากเลิกเลี้ยง คนงานจะต้องตกงาน และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีก็จะเสียหายทั้งหมด
นายมานิตย์กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้ราคากุ้งตกต่ำขณะนี้ เชื่อว่าเกิดจากลักลอบนำเข้ากุ้งมาจากต่างประเทศ ทำให้ห้องเย็นและแพงดการรับซื้อกุ้งจากเกษตรกรภายในประเทศ และถูกกดราคา รวมทั้งกุ้งไทยส่งออกไม่ได้เพราะมีต้นทุนสูงกว่ากุ้งต่างประเทศ เนื่องจากปัจจัยการผลิตทั้งอาหาร เคมีภัณฑ์ วัสดุอุปกรณ์ น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซหุงต้ม โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซหุงต้มต้องใช้ในการเดินเครื่องตีน้ำให้ออกซิเจนแก่กุ้งตลอดเวลา และค่าไฟฟ้าก็มีการปรับขึ้น ทั้งหมดทำให้เกษตรกรเดือดร้อน รวมทั้งแม่ค้ามาเลเซียก็เปลี่ยนตลาดที่เดิมเคยซื้อกุ้งจากไทย ไปสั่งนำเข้าจากประเทศเอกวาดอร์แทนแล้ว
“ขอวิงวอนไปยังรัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหาตามข้อเรียกร้องทั้งหมด เพราะหากแก้ปัญหาล่าช้ากว่านี้อีกประมาณ 2-3 เดือนข้างหน้า เชื่อว่าธุรกิจเลี้ยงกุ้งจะล้มกันทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ คือ บริษัทที่ผลิตลูกกุ้งคงเลิกผลิตเพราะขายไม่ได้ เกษตรกรไม่มีแล้ว คนงาน แพ ห้องเย็น กระทบธุรกิจส่งออก สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจประเทศโดยรวม” นายมานิตย์กล่าว