อันว่า เมื่อให้แล้วพึงตัดใจ เสมือนตัดบัวไม่เหลือใย

กระทู้สนทนา


คงจะมีเรื่องราวดีๆในพระพุทธศาสนามาแบ่งปันบ่อยๆ  ที่รับมาจากไลน์ แม้เป็นพระราชา ก็หาได้มีความสุขไม่ ยังมีความทุกข์โศกมาเยือน นับประสาอะไรกับเราๆ ท่านๆ แต่ต้องหาวิธีจัดการให้ได้ มาสดับกันเถิดครับ
ขอขอบคุณ : อรุณสว่างยามเช้า กับ พุทธพจน์เตือนใจ  ตอนที่ 3,667

..................................................

   ในครั้งที่สมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น คือ มีอุบาสกท่านหนึ่งซึ่งมีครอบครัวแล้ว ได้เห็นโทษในการครองเรือน ทั้งกับมีศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงตัดสินใจสละชีวิตทางโลกเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ฝ่ายภรรยาของท่านยังทำใจกับการบวชของท่านไม่ได้ จึงไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ ทำให้ท่านเกิดความคิดอยากจะสึก

     เมื่อพระศาสดาทรงรู้เรื่องนี้และเล็งเห็นอุปนิสัยที่จะบรรลุธรรมของท่าน จึงเสด็จไปหาและตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอถูกภรรยาเก่ายั่วยวนจนอยากจะลาสิกขาหรือ” ภิกษุรูปนั้น กราบทูลตามความเป็นจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า “ภิกษุ ไม่เพียงแต่ภพชาตินี้เท่านั้น แม้ในอดีต เธอก็เคยถูกหญิงนี้ทำจนแทบเป็นบ้ามาแล้ว แต่อาศัยบัณฑิต จึงรอดชีวิตมาได้” จากนั้นพระองค์ทรงนำอดีตมาเล่าว่า

     เมื่อพระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ ญาติทั้งหลายพากันตั้งชื่อว่า เสนกกุมาร เป็นผู้มีปัญญามาก ครั้นเติบโตขึ้นได้ศึกษาศิลปวิทยาจนสำเร็จแตกฉาน หลังจากเรียนจบแล้วก็กลับมารับราชการเป็นอำมาตย์ของ พระเจ้ามัททวะ ความเป็นบัณฑิตของพระโพธิสัตว์ เป็นที่เล่าขานกันมาก

     วันหนึ่ง บุตรชายของปุโรหิตมาเข้าเฝ้าพระราชา เห็นอัครมเหสีของพระองค์เข้า เกิดจิตปฏิพัทธ์ชนิดที่ว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับ นอนอดอาหารอยู่ที่บ้าน ทำให้ล้มป่วยอยู่หลายวัน พระราชาไม่เห็นบุตรปุโรหิตมาเฝ้าจึงตรัสถามว่า “บุตรปุโรหิตหายไปไหนเล่า ทำไมจึงไม่มาเข้าเฝ้า”

     เมื่อพระองค์ทรงรู้เรื่องราวทั้งหมด จึงรับสั่งให้เรียกบุตรปุโรหิตมา พลางตรัสว่า “เราจะมอบมเหสีของเราให้ท่าน 7 วัน ท่านพามเหสีไปอยู่ที่บ้านได้วันที่ 8 ให้นำมาคืนเราก็แล้วกัน” เมื่อได้ฟังพระดำรัสเช่นนี้ บุตรปุโรหิตดีใจเหมือนได้แก้วทีเดียว ได้นำมเหสีไปอยู่ที่บ้าน เมื่อได้อยู่อย่างใกล้ชิด ทั้งสองยิ่งรู้สึกผูกพันแน่นแฟ้นมากขึ้น จึงวางแผนหนีออกจากเมือง ไปอาศัยอยู่ที่เมืองอื่นโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้เส้นทางของคนทั้งสอง

     ครั้นครบ 7 วัน พระองค์ไม่เห็นมเหสีกลับมา จึงสั่งให้ป่าวประกาศไปทั่วแว่นแคว้น ก็ไม่มีใครพบบุคคลทั้งสอง ต่อมาพระองค์ทรงเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์นี้มาก พระหทัยรุ่มร้อนถึงกับพระโลหิตไหลออก ทรงอาพาธอย่างหนัก ไม่มีหมอหลวงใดสามารถเยียวยาได้

     พระโพธิสัตว์รู้ว่า ที่พระราชาเป็นเช่นนี้ เพราะเจอเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจมาก อันที่จริงพระองค์ไม่ได้เป็นโรคอะไร เพียงแต่ไม่เห็นพระมเหสีเท่านั้น พระโพธิสัตว์จึงคิดหาอุบายช่วยพระราชา โดยเรียก อายุรอำมาตย์ และ ปุกกุสอำมาตย์ มาพลางบอกว่า “ท่านอำมาตย์ทั้งสอง แท้ที่จริงพระราชาไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไร เพียงเพราะพระองค์มีพระหทัยอ่อนแอ เราจะออกอุบายรักษาพระราชาให้หายดีดังเดิม”

     มหาเสนกอำมาตย์ ผู้ทรงปัญญาได้นัดแนะว่า “พวกเราจะให้สร้างฉากแสดงขึ้นที่พระลานหลวง แล้วจัดแสดงการละเล่น โดยให้ผู้ที่รู้วิธีการกลืนดาบแสดงให้พระราชาทอดพระเนตร แล้วเราจะผูกปัญหาตอบโต้กับพระราชา จะทำให้พระองค์ได้พระสติกลับคืนมา” หลังจากนัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามพากันเดินทางไปเข้าเฝ้าพระราชาที่ท้องพระโรง

     บัณฑิตทั้งสาม ถวายบังคมพระราชาแล้วได้กราบทูลว่า “ข้าแต่มหาบพิตร ตอนนี้ที่พระลานหลวงมีการแสดง เมื่อมหาชนพากันดูการละเล่น ที่เป็นทุกข์ก็จะลืมความทุกข์ ขอพระองค์โปรดเสด็จไปทอดพระเนตรเถิดพระเจ้าข้า” จากนั้นทั้งสามได้พาพระราชาไปทอดพระเนตรที่ช่องพระแกล ในบรรดาคนที่แสดงการละเล่น มีชายคนหนึ่งกลืนกินดาบที่ยาวถึง 33 นิ้ว เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็น ทรงแปลกพระทัย จึงตรัสถามอายุรบัณฑิตว่า “ท่านอายุระ ชายคนนี้น่าอัศจรรย์นัก สามารถกินดาบที่แหลมคมได้ ยังมีสิ่งที่ทำได้ยากกว่านี้หรือไม่”

     อายุระฟังดังนั้นรีบตอบว่า “ข้าแต่มหาบพิตร ผู้ใดก็ตามที่กล่าวว่า จะให้ แล้วตัดใจให้ไป ผู้นั้นได้ชื่อว่า ทำสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งกว่าการกลืนดาบพระเจ้าข้า สิ่งอื่นๆ ชื่อว่าง่ายหมดทีเดียว”

     พระราชาฟังดังนี้แล้ว ฉุกใจคิดขึ้นมาว่า คำพูดว่าจะให้ เราเองก็เคยพูด ว่าจะให้ราชเทวีแก่บุตรปุโรหิต แม้เราก็เป็นผู้ทำสิ่งที่ทำได้ยากหนอ เมื่อคิดได้เช่นนี้ความโศกที่ทับถมอยู่ค่อยบางเบาลงบ้าง พระราชาทรงจึงตรัสถามต่อไปว่า “แล้วสิ่งที่ทำได้ยากกว่าการพูด ว่าจะให้นั้น มีอยู่ไหม”

     ปุกกุสบัณฑิตรีบตอบว่า “มหาบพิตร คนที่ไม่รักษาคำพูด สิ่งที่พูดออกไปก็ไม่มีผล ผู้ที่ให้ปฏิญญาแล้วบั่นทอนความโลภได้ จัดว่าทำสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งกว่าการกลืนดาบ และการให้ปฏิญญานั้นอีก” พระราชาฟังแล้วก็ฉุกคิดว่า แม้แต่ตัวเราเองก็ได้ให้พระเทวีตามคำสัญญา เราทำสิ่งที่ทำได้ยากหนอ คิดดังนี้แล้ว ความโศกก็เบาบางลงกว่าเดิม  พระองค์ฉุกคิดขึ้นอีกว่า คนที่ฉลาดเกินเสนกบัณฑิตไม่มี เราถามเสนกะบ้างดีกว่า ทรงเอ่ยถามเสนกบัณฑิตว่า “พ่อเสนกะ สิ่งที่ทำได้ยากยิ่งกว่านี้มีอีกไหม”

     พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นรีบกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช คนควรที่จะให้ทานไม่ว่าน้อยหรือมากก็ตาม ยังไม่ยากกระไรนัก แต่ผู้ใดก็ตามครั้นตัดใจให้แล้ว ไม่เดือดร้อนใจในภายหลัง การกระทำเช่นนั้นได้ชื่อว่า ทำสิ่งที่ทำได้ยากกว่าสิ่งใดทั้งหมดพระเจ้าข้า”

     พระราชาฟังดังนั้นทรงได้คิดทันทีว่า การที่เราตัดสินใจให้ไปแล้วเดือดร้อนเช่นนี้ ไม่สมควรแก่เราอย่างยิ่ง เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว โรคที่เป็นอยู่ก็หายเป็นปลิดทิ้งโดยฉับพลันทันที ครั้นจบพระธรรมเทศนา ภิกษุนั้นก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล

     จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า การที่บุคคลใด จะให้นั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ยากอยู่แล้ว สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักคำว่าให้ แม้เคยให้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะขาดจากใจได้อย่างง่ายๆ การให้แล้วตัดขาดจากใจในเรื่องที่นำมาเล่านี้ เป็นเพียงอุทาหรณ์ให้ทุกท่านคิดเปรียบเทียบถึงการบำเพ็ญทานบารมีของพวกเรา ในขณะที่เราให้ทาน สภาวะใจของเราเป็นเช่นไร หากเราให้แล้วตัดขาดจากใจเหมือนตัดบัวไม่เหลือใย ไม่มีอะไรเหลือติดอยู่เลย ให้แล้วก็ปลื้มปีติยินดี ไม่นึกเสียดายในภายหลัง บุญกุศลที่เกิดขึ้นย่อมจะยิ่งใหญ่ไพศาล เราต้องทำให้ได้อย่างนี้ เพื่อจะได้บุญอย่างเต็มเปี่ยมไม่มีหกไม่มีหล่นเลยแม้แต่น้อย

*มก. เล่ม ๕๙ หน้า ๒๕๕

"จากส่วนหนึ่ง ของรายการธรรมะเพื่อประชาชน โดย หลวงพ่อธัมมชโย"
#เพจพุทธพจน์เตือนใจ
Facebook|https://www.facebook.com/Ven.Apirak/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่