วันดับสูญ บทที่ 9 โลกใหม่

กระทู้สนทนา
9. โลกใหม่
 
         เสร็จสิ้นจากการชื่นชมความยิ่งใหญ่อลังการของยานอวกาศโนอาห์ ซึ่งชายชราผู้นำโครงการอวดโอ่ไว้ว่าคือสุดยอดเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต และจะเป็นหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ จากจุดซึ่งมองเห็นได้ในระยะไกลเรียบร้อยแล้ว ศรัทธาจึงขับเคลื่อนรถจิ๊ปให้วนอ้อมกลับมายังจุดทางเข้าโดมอีกครั้งหนึ่ง

         เมื่อหนุ่มคนขับบังคับให้ยานพาหนะขับเคลื่อนสี่ล้อ ชะลอตัวจนกระทั่งจอดสนิทตรงตำแหน่งที่หมาย เขาก็กระโดดลงจากรถและเดินไปยังป้อมรักษาการณ์ เพื่อพูดคุยเจรจากับเจ้าหน้าที่ซึ่งประจำอยู่ในนั้นอย่างแคล่วคล่องว่องไว ด้วยรู้บทบาทหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี

         ครู่หนึ่งที่กลับมาประจำตำแหน่งบนรถจี๊ปอีกหน ประตูโลหะสีเขียวทึบขนาดใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่ปิดกั้นอาณาเขตระหว่างภายในและภายนอก ก็ขยับเลื่อนออกทางด้านข้าง เปิดทางให้บุคคลทั้งสามที่กำลังรออยู่ได้ผ่านเข้าไปสู่พื้นที่ชั้นใน

         ไม่กี่อึดใจที่รถจี๊ปเคลื่อนผ่านบานประตูเหล็กกล้าและเครื่องสแกนระบุตัวบุคคล ทั้งหมดก็มาถึงทางเข้าอาคารบัญชาการ

         “ขอบใจมาก ศรัทธา ผมขอเวลาสักหน่อยสำหรับพูดคุยแนะนำที่นี่ให้แก่แขกของเรา เอ่อ...แบบเป็นการส่วนตัวนะ ระหว่างนี้คุณก็ไปทำธุระของคุณเถอะ เรียบร้อยแล้วผมจะติดต่อไปหาเอง” โทมัสพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อเขาและวิวัฒน์ลงจากรถมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

         “ครับ ดอกเตอร์” ผู้รับคำสั่งตอบอย่างแข็งขันด้วยเสียงดังฟังชัด แล้วจึงค่อยถอนเท้าจากเบรกมากดที่คันเร่ง บังคับรถให้เคลื่อนตรงไปยังโรงจอดยานพาหนะ ซึ่งไกลจากจุดนี้ออกไปหลายร้อยเมตร

         “เชิญครับ ดอกเตอร์วิวัฒน์” เมื่อรถที่โดยสารมาเคลื่อนห่างออกไปแล้ว โทมัสจึงเอ่ยปากเชื้อเชิญให้อดีตครูหนุ่มเข้าสู่ภายในด้วยกัน

         อาจจะเป็นเพราะว่าอาคารทรงโดมแห่งนี้ ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อไว้ใช้อวดโชว์หรือต้อนรับแขกคนสำคัญคนใด ดังนั้น ขนาดยิ่งใหญ่อันน่าประทับใจและรูปทรงโค้งมนชวนตื่นตา อย่างที่ได้เห็นและรับรู้เมื่อได้มองจากภายนอก กลับไม่มีอะไรให้ได้รู้สึกใกล้เคียงกับแบบนั้นเลยสักนิด ยามเมื่อได้เหยียบย่างผ่านพ้นบานประตูเข้ามาจริง ๆ

         เพราะนอกจากห้องโถงเล็ก ๆ ที่ร้างผู้คน ซึ่งปราศจากแม้เพียงความโอ่อ่าหรูหราทันสมัยแล้ว ทุกอย่างทุกจุดในระยะที่สังเกตเห็นก็ล้วนเรียบราบอย่างไร้ความโดดเด่นสะดุดตา ไม่มีอะไรเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ตื่นใจเลยสักนิด

         หากมีสิ่งใดที่วิวัฒน์พอจะสัมผัสรับรู้ถึงมันได้ ก็คงเป็นความเงียบเชียบเข้มขลังที่ราวกับกำลังลอยล่องเคลือบแฝงอยู่ในอณูอากาศ ซึ่งบีบรัดอัดแน่นจนทำให้อึดอัดกดดัน และรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจสบายกายขึ้นมานั่นเอง

         “ผิดคาดเยอะเลยใช่ไหมครับ” ชายชราพูดพลางหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ อย่างคนที่เข้าถึงความนึกคิดของอีกฝ่าย “อย่างไรเสีย...ที่นี่ก็เป็นแค่ของชั่วคราวที่จะต้องถูกปล่อยทิ้งในอนาคตอันใกล้น่ะครับ”

         และแน่นอนว่าของชั่วคราวที่ต้องถูกทิ้งย่อมไม่จำเป็นต้องใส่ใจพิถีพิถัน หรือต้องละลายงบประมาณไปกับมันให้มากเกินควร แค่ขอให้ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์และตามต้องการก็เพียงพอแล้ว...ถึงไม่มีใครพูดเสริมเติมอะไรออกมาอีก แต่แน่นอนว่าทั้งคู่ต่างก็คิดและเข้าใจได้เหมือน ๆ กัน

         “ในภาพรวมอาคารแห่งนี้มีทั้งหมดสิบชั้น ชั้นหนึ่งถึงชั้นหกเป็นห้องทำงาน การทดลองทดสอบ การเพาะเลี้ยงเพื่อขยายและรักษาพันธุ์ การเก็บรวบรวมตัวอย่างทั้งหมด เราจะทำกันที่หกชั้นแรกนี้ ชั้นเจ็ดเป็นห้องประชุม แปดกับเก้าเป็นห้องพัก ส่วนชั้นสิบเราใช้เป็นส่วนบัญชาการครับ”

         ในขณะที่ออกเดินมาตามทางเดินด้วยกัน ชายชราเจ้าของสถานที่ก็ได้แนะนำจุดและห้องต่าง ๆ ที่เดินผ่านมาอย่างคร่าว ๆ ไปด้วย ใช้เวลาไปไม่นานก็มาถึงห้องจุดหมายบนชั้นสูงสุด ที่บุคคลอันเป็นเจ้าบ้านต้องการพามาให้ได้เห็น

         มันเป็นห้องขนาดใหญ่ที่นอกจากผนังฝั่งประตูทางเข้าออกซึ่งเพิ่งเดินผ่านกันเข้ามาแล้ว อีกสามด้านที่เหลือนั้นเต็มไปด้วยแผงควบคุมและจอมอนิเตอร์จำนวนมาก ซึ่งถูกติดตั้งไว้จนเต็มพื้นที่ไปหมด

         กวาดสายตามองคร่าว ๆ จอทางด้านหน้าเต็มไปด้วยบรรทัดตัวอักษรและชุดรหัสเลขหลายหลักจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งเลื่อนไหลสลับสับเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว ดูคล้ายมันกำลังวิเคราะห์ ประมวลผล หรือไม่ก็รันโปรแกรมอะไรบางอย่างอยู่

         จอทางด้านขวาฉายให้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิด หลายหน้าจอที่วิวัฒน์คุ้นและจำได้ว่าเคยผ่านตามาแล้ว ซึ่งก็ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นภาพภายในตึกบัญชาการแห่งนี้นี่เอง

         ส่วนจอทางด้านซ้ายที่แม้จะมีบรรยากาศคล้ายกัน หากแต่จุดแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอมีให้ได้สังเกตเห็น ก็ทำให้ชายหนุ่มรับรู้ว่ามันคือคนละสถานที่กัน ซึ่งจอมอนิเตอร์ชุดนี้ก็คือสิ่งที่โทมัสต้องการให้คู่สนทนาได้มาเห็นด้วยกัน

         “ตอนนี้เรากำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบและเตรียมความพร้อมขั้นสุดท้าย ก็เลยพาคุณเข้าไปเยี่ยมชมในตัวยานโดยตรงไม่ได้ เอาเป็นว่าผมขอแนะนำอย่างคร่าว ๆ จากมอนิเตอร์นี้แทนก็แล้วกันนะครับ”

         เว้นจังหวะหน่อยหนึ่งหลังกล่าวจบ เมื่ออีกฝ่ายแสดงปฏิกิริยาตอบรับแล้ว จึงค่อยใช้ภาพจากหน้าจอเพื่ออธิบายต่อไปว่า ภายในยานโนอาห์นั้นออกแบบให้มีส่วนใช้งานหลายส่วน โดยในแต่ละส่วนก็จะแยกย่อยออกเป็นห้องน้อยใหญ่อีกหลายห้อง ตามความเหมาะสมและจุดประสงค์การใช้งาน

         “ส่วนแรกจะเป็นห้องทั่วไป ห้องนอน ห้องอาหาร ห้องสันทนาการ ห้องพักผ่อน ห้องออกกำลังกาย ห้องควบคุมแรงโน้มถ่วง จะรวมอยู่ในส่วนนี้ครับ” พูดอธิบายพร้อมชี้แนะนำและเปลี่ยนภาพในหน้าจอ ให้ตรงกันกับห้องที่กำลังกล่าวถึงอยู่ “โดยในส่วนนี้เราได้ติดตั้งระบบจำลองกลางวันกลางคืน ฤดูกาล ตลอดจนสภาพดินฟ้าอากาศไว้ด้วย”

         “ห้องควบคุมแรงโน้มถ่วง ระบบจำลองสภาพแวดล้อม อย่างนั้นหรือครับ” วิวัฒน์เอ่ยแทรกเมื่อได้ยินชื่อห้องและอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดสะดุดหูขึ้นมา

         “ใช่ครับ...เพื่อที่จะใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นบนโลกใบใหม่ พวกเราเองก็ต้องฝึกฝน ต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงอะไรหลาย ๆ อย่างเหมือนกัน และระบบจำลองสภาพแวดล้อม รวมถึงห้องที่สามารถปรับแรงโน้มถ่วงได้ ตั้งแต่ศูนย์จนถึงสามเท่าของแรงโน้มถ่วงของโลก ก็จะเป็นอีกตัวช่วยสำหรับการณ์นั้น”

         เมื่อเห็นว่าสีหน้าของชายหนุ่มยังคงมีคำถามหลงเหลืออยู่ โทมัสก็ผ่อนลมหายใจพร้อมทั้งระบายยิ้มออกมา “อีกสักครู่คุณจะได้รู้ครับดอกเตอร์ ว่าทำไมมันถึงได้จำเป็นจนเราต้องสร้างขึ้นมา แต่ตอนนี้ผมขออนุญาตแนะนำส่วนอื่น ๆ ภายในตัวยานที่เหลือให้ได้เห็นก่อนดีกว่าครับ”

         เห็นท่าทีสงบนิ่งเป็นเชิงเปิดทางให้พูดต่อของคู่สนทนา โทมัสจึงเริ่มอธิบายส่วนส่วนถัดไปซึ่งเป็นโซนของห้องทำงาน โดยห้องทดลองและทดสอบ ห้องเพาะเลี้ยง ห้องวิเคราะห์และสังเคราะห์ ห้องผลิตสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต อย่างเช่นอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องนุ่มห่ม และของใช้ในชีวิตประจำวันต่าง ๆ รวมถึงห้องประชุม ห้องบัญชาการก็จะรวมอยู่ในส่วนนี้ทั้งหมด

         ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากห้องหรืออาคารที่ใช้สำหรับทดลองทั่วไป ซึ่งวิวัฒน์เคยเห็นเคยได้สัมผัสมาแทบจะตลอดชีวิต ดังนั้น ภาพของห้องบนหน้าจอที่แฝงเอาไว้ด้วยบรรยากาศเรียบ ๆ ทว่าเงียบขรึมชวนอึดอัด จึงไม่ได้ให้ความรู้สึกเป็นพิเศษใด ๆ กับเขาเลยสักนิด

         “ส่วนที่สามซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของเราคือส่วนควบคุมพิเศษครับ” ผู้พูดใช้เสียงที่เน้นหนักมากเป็นพิเศษ คล้ายต้องการย้ำเพื่อเพิ่มระดับความน่าสนใจ ให้คู่สนทนาตั้งใจฟังในส่วนนี้มากขึ้น “และเพราะมันเป็นส่วนควบคุมพิเศษ เพื่อป้องกันความผิดพลาดหรือความเสี่ยงใด ๆ ก็ตาม หลายห้องในโซนนี้จึงจำกัดให้เข้าได้เฉพาะผู้มีสิทธิ์ในการเข้าถึง หรือต้องได้รับการอนุมัติเป็นครั้ง ๆ ไปเท่านั้นครับ”

         ชายชราเริ่มต้นโซนนี้ด้วยห้องจำศีล ซึ่งเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และกินพื้นที่มากที่สุดบนยานโนอาห์ลำนี้

         ภาพจากหน้าจอฉายให้เห็นสภาพภายในห้อง ซึ่งเรียงรายไปด้วยแคปซูลจำศีลจำนวนนับไม่ถ้วนแทบจะเต็มพื้นที่ ลักษณะคล้ายเตียงของเครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอที่ดูล้ำสมัยกว่านั้นมาก และถูกปิดครอบไว้ด้วยบานประตูโปร่งใส ที่เดาเอาว่าน่าจะทำมาจากวัสดุประเภทไฟเบอร์กลาส

         “การเดินทางอันยาวนานราวกับว่าจะไร้จุดสิ้นสุดหรือปลายทางให้ได้เห็น อาจทำให้คุณเบื่อที่จะต้องลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อเจอกับอะไรซ้ำ ๆ เดิม ๆ ทุกวัน เครื่องจำศีลพวกนี้จะช่วยให้คุณข้ามเวลาอันน่าเบื่อหน่ายเหล่านั้นไป คุณจะหลับอย่างสงบจนถึงปลายทางโดยที่ไม่แม้กระทั่งฝันเชียวละ”

         ขณะฟังเจ้าของสถานที่อธิบาย วิวัฒน์ซึ่งจับจ้องภาพอุปกรณ์เครื่องมือบนหน้าจออยู่อย่างไม่วางตา ก็กลับเกิดรับรู้ถึงความแปลกประหลาดบางอย่าง ที่เขาเองก็ไม่แน่ชัดในความหมายขึ้นมาในใจ

         อาจจะไม่มีอะไรพิเศษ บางทีคงแค่คิดมากหรือกังวลเกินไปเท่านั้นเอง...เขาสลัดอารมณ์ความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาอย่างปุบปับทิ้งไป และหันกลับมาโฟกัสยังชายชราที่กำลังเริ่มพูดในส่วนถัดไป ซึ่งต้องใช้สิทธิ์ในการเข้าถึงอีกครั้ง

         “ห้องนี้คือห้องเก็บตำราความรู้ และวิทยาการทุกอย่างของโลกใบนี้ เพื่อลดพื้นที่และน้ำหนักบรรทุกให้กับตัวยาน ทั้งหมดจึงเก็บไว้ในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยที่มีการสำรองข้อมูลเหล่านั้นไว้ถึงห้าชุด แน่นอนว่าเราสามารถอ่านหนังสือเหล่านั้นได้ผ่านระบบยืม จากแอปพลิเคชันที่ถูกติดตั้งไว้ให้ในแท็บเล็ต”

         ต่อจากห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่และมีตำรามากที่สุดในโลก ก็เป็นห้องเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อรวมถึงเซลล์ ที่ครอบคลุมสายพันธุ์และชนิดของสิ่งมีชีวิตบนโลกไว้มากที่สุด และต่อจากนั้นก็มาถึงห้องโคลนนิ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์เครื่องมืออันทันสมัยและก้าวล้ำที่สุดในโลก

         และแล้ว...การรับรู้ถึงสิ่งแปลกประหลาดที่เคยเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ก็ผุดโผล่และย้อนกลับมาให้วิวัฒน์ต้องระลึกถึงมันอีกครั้งหนึ่ง ทว่าที่ต่างกันออกไปกับครั้งก่อนก็คือ เขาจับสถานการณ์ทางอารมณ์ได้ชัดเจนมากขึ้น แยกแยะสิ่งที่ปรากฎอยู่ภายในของตัวเองได้ละเอียดขึ้นนั่นเอง

         ความคุ้นเคยและความเคลือบแคลง มันคือสองความรู้สึกซึ่งแยกตัวออกจากกันอย่างชัดเจนภายในม่านหมอกแห่งความคลุมเครือในใจ

         ทั้งที่เพิ่งเคยมาสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก แต่เขากลับรู้สึกราวกับว่าเคยเห็นห้องแบบนี้หรือคล้ายกันกับแบบนี้ เคยได้สัมผัสบรรยากาศทำนองนี้หรือใกล้เคียงกับทำนองนี้มาก่อน

         อาจดูเหมือนเป็นปรากฏการณ์เดจาวู อาจรู้สึกว่าคุ้นเพราะสิ่งที่เห็นอยู่นี้ บังเอิญไปคล้ายบทบรรยายในนิยาย หรือใกล้เคียงกับในภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์สักเรื่อง แต่เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่ เพราะมันชัดเจนยิ่งกว่านั้นมาก

         และนั่นก็คือความคุ้นเคยที่เขากำลังพูดถึงและรู้สึกอยู่

         อีกความรู้สึกหนึ่งนั้นมันยังไม่ชัดเจนนัก เพียงแต่ว่าตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับชายชราโทมัสผู้นี้ เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างผิดเพี้ยนแปลกไป อีกทั้งยังรู้สึกแบบนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่เดินทางมาถึงสถานที่แห่งนี้

         รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง มีอะไรสักอย่างไม่สอดคล้องสมเหตุสมผล แต่มันก็คงจะเล็กน้อยมากเสียจนนึกไม่ออก ทำให้ละเลยแม้แค่จะเก็บเอามาใส่ใจครุ่นคิด ทว่าในเวลาเดียวกัน มันก็กลับสำคัญมากพอที่จะทำให้เขาไม่ลืมเลือน และรบกวนสะกิดใจอยู่เสมอยามเมื่อนึกขึ้นมาได้

         และสิ่งนี้ก็กลายเป็นความเคลือบแคลงสงสัย ที่ติดแน่นฝังตรึงอยู่ในใจจนสลัดไม่หลุดอยู่จนถึงเวลานี้

         “เอาละ ผมคงจะจบการแนะนำยานโนอาห์ไว้คร่าว ๆ แต่เพียงเท่านี้ แต่ยังมีเรื่องสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่คุณควรต้องได้รู้ครับ ดอกเตอร์วิวัฒน์”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่